ข้อมูลเบื้องต้น
เวยซินตายเพราะช่วยเด็กน้อยที่กำลังจะถูกรถชน เกิดมาอีกทีก็มาอยู่ในร่างหญิงสาวที่โดนสามีทุบตีจนตาย แถมยังมีลูกสาวอีกสองคนที่โดนแม่สามีทุบตีอีก ในเมื่อฉันมาอยู่ในร่างของเธอแล้ว ลูกสาวสองคนฉันจะดูแลเอง คิดจะตบตีกันหรือถามมือถามเท้าข้าหรือยัง
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายฟิวกู๊ด นางเอกฉลาด เก่งทันคน พระเอกคลั้งรัก เป็นนิยายไม่เครียด อ่านชิว ๆกันไปเลยจ้า
*นิยายเรื่องนี้นักเขียนแต่งขึ้นมาจากจิตนาการของนักเขียนเท่า บุคคล สถานที ไม่มีอยู่จริง เนื้อหาบางช่วงบางตอนอาจไม่สนเหตุสมผล สร้างขึ้นมาเพื่อความบรรเทิงเท่านั้น*
**ห้ามคัดลอก ดัดแปลง เนื้อหา และปก หากไม่ได้รับการอนุญาติจากเจ้าของผลงานเป็นลายลักษณ์อักษร**
***เข้ามาอ่านแล้ว ฝากกดหัวใจ กดเข้าชั้น และคอมเม้มเป็นกำลังใจให้นักเขียนบ้างนะคะ ขอให้นักอ่านทุกท่านสนุกไปกับนิยายเรื่องนี้คร่า***
###มีอีบุ๊คแล้วนะคะ คุณนักอ่านสามารถหาซื้ออ่านได้แล้งจ้า###
**ไรท์จะมีการติดเหรียญอ่านล่วงหน้า และจะเปิดอ่านฟรีทุกวัน วันล่ะตอนจนจบ**
ที่นี่ที่ไหน
“ฮึก ท่านแม่ ท่านแม่ตื่นสิเจ้าคะ”
“ฮือ.. ท่านแม่ ท่านแม่ตื่นเจ้าค่ะ”
เสียงเรียกของเด็กน้อยสองคนที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวและห่วงว่ามารดาที่ถูกบิดาทุบตีจนนอนแน่นิ่งจะเป็นอะไรไป หากไม่มีมารดา
แล้วพวกนางจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แม้พวกนางทั้งสองคนจะพยายามส่งเสียงร้องเรียกและเขย่าตัวของมารดาเท่าไร ก็ไร้เสียงตอบกลับ ร่างที่ไร้วิญญาณของมารดายังคงนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
ทว่าขณะที่เด็กน้อยทั้งสองคน กำลังกลัวจนถึงขีดสุดว่าจะเสียมารดาอันเป็นที่รักไป ร่างที่นอนแน่นิ่งมาเนิ่นนานของมารดาก็ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา
“หนวกหูจัง ส่งเสียงดังอะไรกันนัก” เวยซินรู้สึกลำคานเธอไม่ชอบให้ใครกวนเวลาที่เธอนอนหลับ เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ภาพตรงหน้าคือเด็กผู้หญิงสองอายุประมาณสามถึงห้าขวบ รูปร่างผอมบาง คล้ายเด็กที่ขาดสารอาหารนั่งร้องไห้ฟูมฟาย
ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้เธอพึ่งจะช่วยเด็กที่กำลังจะโดนรถชนในขณะที่กำลังจะข้ามถนน เธอช่วยเด็กไว้ได้ แต่เธอกลับโดนรถคันนั้นชนแทน แล้วสติของเธอก็ดับไป
ทว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไง ที่นี่ที่ไหน เธอพยายามเพ่งในความมืดไปรอบด้านที่มีเพียงแสงจันทร์จากนอกประตูสาดส่องเข้ามาเท่านั้น
กลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้
แล้วเธอก็มองไปชุดที่เด็กสองคนนี้ใส่ก็ไม่ใช่ชุดในยุคของเธอ มันเป็นชุดในยุคโบราณ ในตอนนั้น ตาเธอเบิกโพลงขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ
นี่หรือว่าเธอทะลุมิติมาหรือนี่ อ่านนิยายมาตั้งเยอะไม่คิดว่าตัวเองจะทะลุมิติมาได้เหมือนกัน แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน ฉันมาอยู่ในร่างของใคร
จู่ ๆ ภาพความทรงจำต่าง ๆ ของเจ้าร่างก็ไหลเข้ามาในหัวเธอไม่หยุด ทำให้เธอรู้สึกปวดหัว จนต้องส่งเสียงร้อง ซี๊ด ออกมา
เด็กน้อยสองคนเห็นมารดาได้สติก็ดีใจ แต่พอเห็นมารดาร้องด้วยความเจ็บปวดก็รู้สึกเป็นห่วง
“ท่านแม่ ท่านแม่ปวดหัวหรือเจ้าคะ”
“ท่านแม่ปวดหัวมากหรือเจ้าคะ”
เด็กน้อยสองคนต่างส่งเสียงถามมารดาด้วยความเป็นห่วง ไม่นานนักความทรงจำทุกอย่างก็ได้ถูกถ่ายทอดมาในหัวเธอจนหมด อาการปวดหัวก็หายไป ร่างนี้มีชื่อว่า “เวยซิน” เป็นชื่อเดียวกับเธอ ชีวิตนางน่าสงสารมาก
นางแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ตั้งแต่อายุสิบห้าหนาว มีสามีชื่อว่า หลี่ฮาว แม่สามีชื่อว่า หลี่จง แรกเริ่มสามีก็ดูรักใคร่นางดี
คอยช่วยเหลือนางทุกอย่าง แต่พอมีลูกคนแรกเป็นลูกสาวชื่อว่า หลี่ถิง เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยใส่ใจนางเหมือนเก่า ยิ่งตอนมีลูกสาวคนที่สองชื่อว่า หลี่ถัง
คราวนี้เขายิ่งไม่ไยดีนางเลย
นับตั้งแต่นางคลอดบุตรสาวคนที่สองมา นางก็โดนแม่สามีใช้งานอย่างหนัก
งานทุกอย่างนางทำอยู่คนเดียว เพราะมีลูกชายให้ไม่ได้ แม่สามีบ่นด่านางทุกวัน ว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์
ให้กำเนิดบุตรชายที่แข็งแรงสักคนให้ตระกูลหลี่ยังไม่ได้ ขู่แต่จะให้หลี่ฮาวหย่าร้างกับนาง หากว่านางทำงานได้ไม่ถูกใจ
เวยซินก็คิดว่าเป็นความผิดของตนที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้สามีได้ จึงได้ตั้งใจทำทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้านเป็นอย่างดี
เพื่อทำให้สามี และแม่สามีพอใจ ของกินดี ๆ ก็ไม่เคยตกถึงปากนางกับลูกทั้งสอง พวกนางแม่ลูกไม่เคยกินอิ่มท้องเลยสักวันนางก็ไม่เคยบ่น
แต่ความดีของนางไม่เคยทำให้สองแม่ลูกนี้รู้สึกพอใจเลยสักครั้ง มีแต่ยิ่งทำร้ายร่างกายนางรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็น เวยซินทำนาทั้งวันไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำ พอกลับมาถึงบ้านก็รีบทำกับข้าวให้สามีและแม่สามีกิน
แต่ด้วยความหิว นางจึงแอบกินหมั่นโถวกับไก่ไปหนึ่งชิ้นเล็ก ๆ แล้วถูกแม่สามีจับได้ เลยด่าทอนางยกใหญ่
ทั้งยังเรียกสามีนางเข้ามาฟ้อง พอสามีรู้เรื่องก็โกรธจัด คว้าไม้ฟืนท่อนใหญ่ ฟาดนางไม่ยั้ง ด้วยความที่ร่างกายของเจ้าร่างบอบบางอยู่แล้ว ประกอบกับไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอ
โดนทุบตีด้วยไม้ขนาดใหญ่เท่าแขนด้วยแรงของผู้ชายเต็มแรง ไม่กี่ทีนางก็ขาดใจตาย
แต่สามีกลับคิดว่านางสำออย โดนตีไม่กี่ทีก็แกล้งเป็นลม เลยด่าทออีกสองสามประโยค ถ่มน้ำลายใส่นางแล้วลากร่างที่ไร้ลมหายใจของนางมาไว้ที่ห้องเก็บฝืน ภาพทุกอย่างเด็กหญิงสองคนเห็นทั้งหมด
พวกนางเป็นแค่เด็กน้อยพยายามเข้าไปห้ามบิดาไม่ให้ทำร้ายมารดาก็โดนย่าดึงไว้แล้วตบตี ด่าว่าพวกนางเป็นพวกล้างผลาญ
ไร้ประโยชน์ อยู่ไปก็ไร้ค่าเหมือนกันมารดาของพวกนาง ทั้งสองคนเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ จะไปสู้แรงของผู้ใหญ่ได้อย่างไร
นางจึงถูกผู้เป็นย่าตบตีไปหลายที หลี่ถิงกอดน้องสาวไว้ทำให้นางโดนหลี่จงตีมากกว่า เด็กทั้งสองคนจึงได้แต่กอดกันร้องไห้
รอจนบิดาและย่าจากไป ถึงได้ตามเข้ามานั่งร้องไห้ เรียกมารดาด้วยความกลัวและเป็นห่วงในห้องเก็บฝืน เวยซินเห็นเด็กน้อยสองคนร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงมารดา
ในใจก็พลันอ่อนยวบ เด็กตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ ผอมแห้ง จนผิวเหลือง เสื้อผ้าก็มอมแมม เก่าและมีรอยปะชุนแทบจะไม่มีส่วนที่ดีเหลืออยู่
ดูแล้วช่างน่าสงสารจับใจยิ่งนัก นางเลยเอ่ยเสียงพูดปลอบเด็กทั้งสองคนว่า
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องนะ หิวหรือไม่” เด็กสองคนฟังมารดาพูดก็พยายาม หยุดร้องไห้ แต่ยังคงสะอื้นอยู่
ช่างเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายนัก ทั้งสองคนพยักหน้า ยิ่งทำให้เวยซินรู้สึกเจ็บปวด
เด็กสองคน คนหนึ่งอายุ หกขวบ อีกคนอายุแค่สี่ขวบ เหตุใดคนเป็นย่ากับพ่อถึงได้ใจดำขนาดนี้
“ป่ะ เดี๋ยวแม่ไปทำอะไรให้กิน” พอได้ยินประโยคนี้เด็ก ๆ ทั้งสองคนก็รีบส่ายหน้า หลี่ถังคนพี่รีบพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ยังสะอื้นอยู่
“พวกข้าไม่หิวแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ พวกเราไม่กินแล้ว” หลี่ถังรีบพยักหน้ารับคำพูดของพี่สาวทั้งที่ความจริงพวกนางหิวมาก
ทำให้เวยซินรู้สึกจุกในอก นางรู้ดีว่าที่เด็กสองคนนี้พูดแบบนี้เพราะอะไร เด็กสองคนนี้กลัวว่าหากนางไปทำให้อะไรให้พวกนางกิน มารดาจะโดนบิดาทำร้ายอีก
เลยเลือกที่จะบอกว่าไม่หิว ทั้งที่ทั้งวันมานี้แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องพวกนางเลย เวยซิน ยิ้มหวาน ยกมือลูบศีรษะลูกสาวทั้งสองคนแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องกลัวนะ ตั้งแต่นี้ต่อไป แม่จะไม่ยอมให้ลูกทั้งสองคนต้องอดอยาก เชื่อแม่หรือไม่” หลี่ถังกำลังจะพูดแย้งเพราะกลัวว่ามารดาจะถูกทำร้าย
แต่ยังไม่ทันที่นางจะอ้าปากเอ่ยอะไร ท้องของนางก็ทรยศนางเสียแล้ว ท้องของเด็กทั้งสองร้อง โคกคราก ด้วยความหิว เวยซินยกยิ้ม
“ป่ะ แม่จะต้มข้าวให้พวกเจ้ากิน” เวยซินขยับตัวจึงรู้สึกว่าร่างกายระบมไปทั้งร่าง แทบจะไร้เรี่ยวแรง
การที่นางได้มาอยู่ในร่างนี้คงเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของผู้เป็นมารดา ที่อยากให้นางมาช่วยเหลือเด็กทั้งสองคนนี้
นางสัญญากับร่างในใจ ว่าต่อจากนี้นางจะทำให้ชีวิตของเด็กทั้งสองคนนี้ดีขึ้น และจะไม่ยอมปล่อยให้เด็กทั้งสองคนนี้อดอยากอย่างแน่นอน
เวยซินพยายามกัดฟันพยุงร่างตัวเองที่รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง เข้าไปที่ห้องครัวเพื่อที่จะต้มข้าวต้มให้เด็กทั้งสองคนได้กินรวมถึงตัวนางด้วย
ในครัวไม่เหลือกับข้าวที่เจ้าร่างทำไว้เมื่อเย็นเลย สองแม่ลูกนั้นใจดำยิ่งนัก เวยซินแอบกำมือแน่น นางต้มข้าวต้ม แล้วก็ผัดผักง่าย ๆ หนึ่งอย่าง พยายามทำทุกอย่างให้เบา เพื่อไม่ให้สองคนแม่ลูกนั้นตื่นขึ้นมา
หากเป็นในยามที่ร่างกายปกตินางไม่กลัวหรอก เพราะนางในชาติก่อนได้เรียนศิลปะป้องกันตัวมาหลายอย่าง
และเก่งมากในระดับหนึ่ง สามารถสู้กับผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่านางได้ถึง10คน
แต่ตอนนี้ร่างกายนี้พึ่งโดนทำร้ายมา แถมร่างกายนี้ยังขาดสารอาหารผอมแห้ง ไม่อาจมีแรงต่อสู้สองคนแม่ลูกนั้นได้แน่นอน
แต่หากนางได้กินอิ่ม นอนหลับสักคืน พรุ่งนี้แรงของนางน่าจะพอรับมือกับสองแม่ลูกคู่นี้ได้
หลังจากกินอาหารเสร็จเวยซินก็พาเด็ก ๆ ไปเข้านอน ในห้องนอนของเด็ก ๆ ทั้งสามคนนอนด้วยกันบนเตียงหลังเล็ก เด็ก ๆ หลังจากท้องอิ่ม ได้นอนกอดมารดาที่รัก
นอนไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เวยซินเองก็เช่นกัน ร่างกายนี้ต้องการ การพักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่นานก็หลับลึกลงสู่ห้วงนิทราไป
ภาพของเด็กหญิงสองคนนี้ทำให้นางสะเทือนใจ ในห้วงแห่งความฝัน ทำให้เวยซินย้อนกลับไปเห็นเรื่องราวในตอนที่สูญเสียบิดามารดาไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกันต่อหน้านาง
ครอบครัวของเวยซินไปท่องเที่ยวประจำปีกันอย่างมีความสุข ขากลับมีรถที่คนเมาแล้วขับ ขับปาดหน้าทำให้รถของครอบครัวนางพลิกคว่ำ มีพลเมืองดีเข้ามาช่วย
แม่ของทเวยซินร้องขอให้ช่วยเวยซินออกไปก่อน แต่เพียงแค่อุ้มร่างของเวยซินที่อายุเพียงแปดขวบไปได้ไม่ไกลมากนัก รถของครอบครัวนางก็ระเบิด บิดามารดาเสียทันทีทั้งคู่
หลังจากจัดงานศพให้บิดามารดานางเสร็จก็ไม่มีญาติคนไหนรับเลี้ยงนาง จากเด็กที่เคยสดใสร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา
ญาติทุกคนหวังแต่ผลประโยชน์ในบริษัทของบิดานาง แล้วเข้ามาหุบไป ส่งเวยซินน้อยไปที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
เธอเติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าด้วยความที่เป็นคนมีความสามารถและเรียนเก่งที่สำคัญเวยซินชอบทำอาหาร
พออายุครบสิบแปดปี มีเจ้าหน้าที่จากธนาคารมาติดต่อเวยซินแจ้งเรื่องที่บิดามารดาได้ทำการฝากเงินก้อนระยะยาว
ในนามของเวยซินไว้จำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวน และเงินส่วนนี้จะเปิดใช้ได้ต่อเมื่อเวยซินมีอายุครบสิบแปดแล้วเท่านั้น
เวยซินตกตะลึงเมื่อได้ฟัง ความรู้สึกอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ นางไม่คิดว่า
บิดามารดาจะคิดเพื่อนางไว้มากเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางรู้ว่าบิดามารดารักนางมากเท่าใด น้ำตาแห่งความสุขและเสียใจไหลอาบสองแก้มของนางไม่หยุด
เวยซินบริจากเงินให้กับบ้านเด็กกำพร้าที่นางเติบโตมายี่สิบล้าน เพราะนางรู้ดีว่าคุณแม่อธิการดีมากแค่ไหนเสียสละอะไรไปมากมาย
เพื่อเลี้ยงดูนางและเด็กๆ ทุกคนในสถานที่นี้ และหากไม่มีที่นี่นางยังไม่รู้เลยว่านางจะเติบโตมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
เวยซินย้ายออกจากบ้านเด็กกำพร้า นางไปซื้อคอนโดที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่อยู่ในตัวเมือง เวยซินลงเรียนคอร์สทำอาหารและการต่อสู้ นางหลงใหลในทั้งสองแขนงวิชานี้
เมื่อเรียนจนพอใจแล้วนางก็เปิดร้านอาหาร แล้วให้เพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันในบ้านเด็กกำพร้าช่วยบริหาร
ส่วนนางใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปตามป่าเขา และหมู่บ้านตามชนบท เวยซินหลงใหลชีวิตที่เรียบง่ายของคนในชนบท
ร้านอาหารที่นางเปิดก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนเพื่อนสนิทโทรตามให้นางกลับมาเที่ยวดูร้านบ้าง
เวยซินถึงยอมกลับมา เพราะรู้สึกผิดที่ทิ้งร้านไว้ให้เพื่อนดูแลคนเดียวนานแล้ว
พอกำลังจะข้ามถนนไปที่ร้านก็เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้นางต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว เวยซินฝันเห็นว่าเพื่อนนางและคุณแม่อธิการร้องไห้เสียใจอยู่หน้าหลุมศพของนาง
เวยซินสะดุ้งตื่นจากห้วงความฝันเพราะเสียงปลุกของหลี่จงแม่สามีเจ้าร่าง ตะโกนดังลั่นบ้าน
“นังตัวดี สายขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่ลุกมาทำหน้าที่ของตัวเองอีก คิดว่าตัวเองเป็นใครกันห๊ะ”
หลี่จงตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล ที่สายขนาดนี้แล้วเวยซินยังไม่ลุกมาทำอาหารไว้ให้นางกับลูกชายกิน เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับจากเวยซิน ก็ยิ่งทำให้นางโมโห
เมื่อวานยังโดนน้อยไปสินะ ถึงได้กล้ากำเริบสืบสานไม่ฟังคำแม่สามีอย่างข้า เดี๋ยวได้เห็นดีกัน เมื่อคิดได้อย่างนั้น หลี่จงก็ตะโกนขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อ
“หลี่ฮาว ลุกมาดูเมียของเจ้านี่ ข้าตะโกนเรียกนางตั้งนานแล้ว ทำหูทวนลมไม่สนใจคำพูดของแม่ แม่แก่ขนาดนี้แล้ว
สายป่านนี้ยังไม่ลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้แม่กับเจ้ากินเลย สงสัยนางอยากให้แม่หิวจนตายอยู่ตรงนี้แล้ว”
หลี่ฮาวได้ยินมารดาพูดแบบนั้นก็รีบลุกออกมาจากเตียงด้วยความโกรธ กล้าดียังไงมาทำให้แม่ข้าหิว นังตัวดีนี่ไม่โดนมือโดนไม้คงไม่คิดจะขยับสินะ
หลี่ฮาวเดินออกมาด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราด มองไปที่ห้องเก็บฝืนเห็นประตูห้องเก็บฝืนเปิดอยู่ก็รู้เลยว่าเวยซินไปนอนที่ห้องของลูกสาว
เวลานี้ในห้องเด็ก ๆ ทั้งสองคนรวมถึงเวยซินตื่นแล้ว เด็ก ๆ กอดแขนมารดาไว้แน่นตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
เวยซิน ปลอบลูก ๆ ทั้งสอง แล้วบอกให้นั่งรออยู่ที่เตียง เด็ก ๆ ทั้งสองทำตามคำสั่งของมารดาอย่างเชื่อฟังขยับเข้ามานั่งกอดกันทั้งที่ตัวสั่นอยู่
เวยซินลูกขึ้นยืดเส้นยืดสายรอ ร่างกายนี้ยังคงปวดระบม เมื่อยล้าไปหมด นางจงใจทำให้หลี่จงอาละวาด เพื่อเรียกให้หลี่ฮาวมาจัดการนาง
เป็นไปตามคาดไม่นาน หลี่ฮาวก็ถีบประตูห้องเข้ามาด้วยความรุนแรง กำลังจะเอ่ยปากด่าเวยซิน แต่เสียงยังไม่ออกจากปากสักคำ
ผลัก!!
ก็กลับโดนเวยซิน ถีบสวนจนหงายหลังไปเสียก่อน เวยซินไม่รอให้หลี่ฮาวตั้งตัวได้ คว้าไม้ฟืนที่หลี่ฮาวใช้ตีเจ้าร่างไว้เมื่อคืน
มาฟาดหลี่ฮาวไม่หยั่ง หลี่ฮาวได้แต่นอนดิ้นร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
หลี่จงตกตะลึงอยู่พักใหญ่พอได้สติก็ส่งเสียงกรีดร้อง แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปเพื่อจะช่วยลูกชายของตัวเอง
“นังสารเลว กล้าดียังไงมาตีลูกชายข้า” หลี่จงพุ่งเข้ามาง้างมือสุดแรง แต่ยังไม่ทันที่มือของนางจะไปถึงตัวเวยซิน
เพี้ย!
หลี่จงโดนเวยซินตบเต็มแรงจนหน้าหันล้มกลิ้งลงไปนอนคู่กับหลี่ฮาวที่พื้น มองดูเวยซินด้วยความตกใจตาค้าง
น้องไม่ได้ยอมคนนะจ๊ะ ตบตีมาก็ถีบกลับไม่โกง
ฝากกด❤️ กดเข้าชั้น แล้วคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้นักเขียนคนนี้บ้างนะคะ
ร้องขอความเป็นธรรม
ร่างนี้ยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้จริง ๆ เวยซินยืนหอบด้วยความเหนื่อย จ้องมองสองแม่ลูกที่นอนคู่กันอยู่ที่พื้น ยกไม้ขึ้นชี้ไปที่หน้าทั้งสองแม่ลูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบแฝงไปด้วยไอสังหารว่า
“คิดว่าพวกเจ้ามีมือมีเท้ากันแค่สองคนหรืออย่างไร เห็นข้ายอมให้มากหน่อย ก็คิดว่าข้าไม่ใช่คนแล้วหรือ ถึงได้โขกสับข้าตามอำเภอใจแบบนี้”
หลี่ฮาวและหลี่จงไม่เคยเห็นเวยซินเป็นแบบนี้มาก่อน ในใจพลันรู้สึกกลัว หรือว่านังนี่มันบ้าไปแล้ว
เสียงกรีดร้องโวยวายเสียงดังของบ้านตระกูลหลี่ ทำให้เพื่อนบ้านพากันมามุงดู หลายคนเป็นห่วงเวยซิน ทั้งหมู่บ้านรู้ว่านางเป็นคนดี ขยัน
ทำงาน แต่กลับโดนแม่สามีอย่างหลี่จง และสามีอย่างหลี่ฮาวทุบตีทำร้ายอยู่เป็นประจำ
แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นคนนอกไม่สะดวกที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัว
ทุกคนต่างเห็นใจเวยซินและลูก ๆ ที่น่ารักและรู้ความของนางนัก มีโอกาสก็ทำได้แค่เพียงแบ่งอาหารหรือขนมให้บ้างเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น
ครั้งนี้เสียงทะเลาะกันรุนแรงมาก ทำให้พวกเขาเป็นห่วงว่าหลี่ฮาวจะลงไม้ลงมือกับพวกนางแม่ลูกมากเกินไป
เลยปากต่อปากบอกกันและพากันมาที่บ้านของหลี่ฮาว ทั้งยังให้คนไปตามผู้ใหญ่บ้านมาด้วย เผื่อมีเหตุการณ์ใหญ่โตไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ทว่าพอพวกชาวบ้านพากันมาถึงหน้าบ้านตระกูลหลี่ ทุกคนต่างพากันตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
ที่เห็นว่าสองแม่ลูกตระกูลหลี่พากันนอนกลิ้งอยู่ที่พื้นมีสภาพสะบักสะบอม โดยมีเวยซินยืนอยู่ใกล้ ๆ ยกท่อนไม้ชี้หน้าพวกเขา
ทุกคนต่างพากันนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ กว่าจะตั้งสติกลับมาได้ หลี่จงเห็นว่าคนในหมู่บ้านมากันเต็มหน้าบ้านก็ร้องตะโกนขึ้นมา
“พวกเจ้ามาช่วยพวกข้าด้วย นังสารเลวเวยซินมันบ้าไปแล้ว มันจะฆ่าพวกข้าสองคนแม่ลูก” หลี่ฮาวได้ยินมารดาพูดดังนั้นก็ได้สติ พูดสำทับมารดาทันที
“ใช่ เวยซินนังคนชั่วนี่เป็นบ้าไปแล้ว อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาตีข้ากับท่านแม่” เวยซินกับยังยืนหอบไม่ได้ตอบโต้อะไร ชาวบ้านหลายคนต่างแอบพากันสะใจ และก็แปลกใจที่เวยซินกล้าลงมือกับหลี่จงและหลี่ฮาว
หลายคนคิดว่าเวยซินคงเหลืออดแล้วจริง ๆ ถึงได้กล้าตอบโต้สองแม่ลูกนั้น ไม่มีใครในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนมุงอยู่นี้เห็นใจสองแม่ลูกตระกลูหลี่สักคน
หลี่ฮาวและหลี่จงค่อย ๆ คลานออกมาให้ห่างจากเวยซินแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น
ชาวบ้านพากันส่งเสียงซุบซิบนินทา ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็มาถึง รีบสาวเท้าเข้าไปในบ้านแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบเพราะรีบวิ่งมา
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น ถึงได้ส่งเสียงดังโวยวายกันเช่นนี้” ผู้ใหญ่บ้านนามว่า หวังจางหย่ง อายุสี่สิบเก้าปี
เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชางเวยมาแล้วสิบปี เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถซื่อตรงและเป็นธรรม เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านชางเวยมาก
เดิมที่ผู้ใหญ่บ้านหวังก็พอจะรู้เรื่องของเวยซินมาบ้างแล้ว แต่ก็เหมือนกับชาวบ้านที่ไม่อาจก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวได้
บางครั้งจึงทำได้เพียงแค่ตักเตือนหลี่ฮาวไปบ้างว่าอย่าได้ทำรุนแรงกับเวยซินมากนัก แต่หลี่ฮาวกับคิดว่าผู้ใหญ่บ้านสนใจเวยซินเลยเข้าข้างนาง
พาลให้หลี่ฮาวคอยพูดให้ร้ายผู้ใหญ่บ้านให้คนอื่น ๆ ฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของหลี่ฮาวเลยสักคน เพราะรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นคนอย่างไร แล้วหลี่ฮาวเป็นคนอย่างไร
หลี่จงเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านมาก็ได้ใจ เอามือกุมหน้าตัวเองแสร้งทำว่าตัวเองเจ็บปวดมากพร้อมกับบีบน้ำตา
“ท่านผู้ใหญ่บ้าน โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าและลูกชายด้วยเจ้าค่ะ นัง..” หลี่จงชี้หน้าเวยซินกำลังจะด่านาง พอเห็นเวยซินจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาที่ดุดัน นางก็กลืนคำพูดลงไปแล้วพูดต่อว่า
“เวยซิน ไม่รู้ว่านางเป็นอะไร ตอนเช้าข้าก็ปลุกนางให้มาทำหน้าที่ของนางดี ๆ นางก็ทำหูทวนลม
ข้าตะโกนตั้งนานก็ไม่ออกมา ลูกฮาวเอ๋อร์ของข้าเลยจะเข้าไปดูนางว่าเป็นอะไรไปหรือไม่ กลับถูกนางถีบจนหงายหลัง ซ้ำยังใช้ไม้ฟาดลูกฮาวเอ๋อร์ของข้าไม่ยั้ง
ข้าตกใจจะเข้าไปช่วยก็โดนนางตบ และด่าว่าข้าสาดเสียเทเสีย มีลูกสะใภ้บ้านไหนเขาทำแบบนี้กับแม่สามีและสามีแบบนี้กัน อกตัญญูชัด ๆ”
หลี่จงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง เรียกร้องความสงสาร แต่กับมีเสียงชาวบ้านตะโกนเข้ามา เสียงนั้นคือเสียงของป้าข่งอินบ้านข้าง ๆ
“ข้าได้ยินแต่เสียงเจ้าด่าทอเสี่ยวเวยอยู่ฝ่ายเดียว ยังมีหน้ามาว่า ๆ นางด่าเจ้าอีก ทุกคนในหมู่บ้านเขาเห็นเขารู้กันหมด ว่าวัน ๆ
เสี่ยวเวยโดนพวกเจ้าสองคนแม่ลูกใช้งานหนักแค่ไหน เป็นผู้หญิงเหมือนกันแท้ ๆ ไยเจ้าช่างใจร้ายกับนางเยี่ยงนี้”
ชาวบ้านหลายคนส่งเสียงสนับสนุนคำพูดของป้าข่งอิน หลี่จงสบัดหน้ามองหน้าป้าข่งอิน เท้าสะเอวแล้วพูดสวนกลับด้วยความโกรธลืมความเจ็บปวดที่ตนแสร้งทำทันควัน
“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า ข้าเคยใช้งานนางหนักตรงไหน ทุกอย่างก็เป็นหน้าที่ ที่สะใภ้พึงกระทำทั้งนั้น” ป้าเฉียนเฟยที่เห็นเวยซินทำงานจนเป็นลมคาคันนามาแล้ว ก็พูดขึ้นบ้าง
“เหอะ หน้าที่สะใภ้ควรทำ เสี่ยวเวยทำนางก ๆ เจ้าไม่แม้แต่จะเอาข้าวเอาน้ำไปส่งนาง ปล่อยให้นางทำนาจนเป็นลมเป็นแล้ง
ดูสภาพพวกนางสามคนแม่ลูกกับเจ้าสองคนแม่ลูกสิว่าต่างกันมากแค่ไหน หลี่จงเจ้ามันพวกจิตใจอำมหิต”
หลี่ฮาวเห็นมารดาโดนด่า ก็พลันเดือดดาลขึ้นมาชี้หน้าด่าป้าเฉียนเฟยกลับ
“กล้าดียังไงมาว่าแม่ข้า ไม่อยากแก่ตายใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าลงโลงเอง”
ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มจะทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น ผู้ใหญ่บ้านเลยต้องรีบห้าม ตะโกนเสียงดังลั่น
“หยุดกันให้หมด โต ๆ กันแล้วมาทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” พูดจบผู้ใหญ่บ้านก็กวาดตามองทุกคน ทุกคนจึงนิ่งเงียบลง
เมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งเงียบลงแล้วผู้ใหญ่บ้านเลยเหลือบตาไปมองเวยซิน แล้วเอ่ยถามว่า
“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่เสี่ยวเวย” เวยซินได้พักเหนื่อยมาสักพักแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงพูดตอบไปว่า
“ข้าทำร้ายพวกเขาทั้งสองคนแม่ลูกจริง ๆ เจ้าค่ะ” พอคำพูดนี่ของเวยซินออกมาก็ทำให้เกิดเสียงฮือจากชาวบ้าน หลี่จงเชิดหน้าขึ้นด้วยความพอใจ
“แต่”
พอได้ยินคำว่าแต่ทุกคนก็พากันเงียบลงตั้งใจฟังคำที่เวยซินจะพูด
“เพราะว่าข้าทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ ถึงได้ลงมือลงไม้กับสามีและแม่สามี เมื่อวาน..”
เวยซินเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ทุกคนได้ฟัง พอทุกคนได้ยินก็พากันด่าทอ หลี่จงและหลี่ฮาว เวยซินเล่าเรื่องราวทั้งหมด
เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องเมื่อวานถึงกับทำให้เจ้าร่างตายไป บอกไปเพียงว่าทำให้นางเกือบตายเท่านั้น แต่เวยซินยังเล่าไม่จบดี หลี่ฮาวก็ตะคอกเสียงดังขึ้นมาด้วยความโมโห
“หุบปาก นางผู้หญิงสารเลว ข้าแต่งเจ้าเข้ามา แม้แต่บุตรชายเจ้าก็ให้กำเนิดให้ข้าไม่ได้ แค่ให้ทำงานแค่นี้เจ้ายังทำได้ไม่ดี
ยังจะแอบขโมยกิน ดีเลย ในเมื่อเจ้ากล้าให้ร้ายแม่ข้ากับข้า งั้นวันนี้ ข้าจะหย่ากับเจ้า ไสหัวออกจากบ้านข้าไปได้เลย”
หลี่ฮาวคิดว่าพูดเรื่องหย่าขึ้นมาจะทำให้เวยซินกลัวเหมือนทุกที พอพูดจบเขาก็ทำท่าเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง
เพราะยุคสมัยนี้หากผู้หญิงเป็นหม้ายเพราะการหย่าร้าง จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี จนทำให้ต้องตกระกำลำบาก
และไม่มีชายได้ต้องการอีก แม้แคว้นเวยจะสนับสนุนให้หญิงสาวที่โดนหย่าร้างสามารถแต่งงานใหม่ได้ก็ตาม
แต่ความเชื่อของคนโบราณส่วนมากก็ยังให้ความสำคัญกับผู้ชายและสามีมากกว่า หากบ้านใดไม่มีผู้ชายก็จะถูกผู้คนรังแกได้ง่าย
เลยทำให้หลี่ฮาวและหลี่จงทำท่าทางได้ใจ ชาวบ้านแต่ล่ะคนพอได้ยินแบบนั้นก็พากันยิ่งเห็นใจเวยซิน
และก็คิดว่านางคงต้องยอมให้สองแม่ลูกนี้โขกสับอีกเหมือนเคย เพราะคงไม่มีใครอยากเป็นแม่หม้าย
แต่พอได้ยินคำตอบของเวยซิน ก็ทำให้ทุกคนตกใจอ้าปากค้าง แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ตาม
“หย่าก็หย่าสิ”
เหอะ หย่าก็หย่าสิ ใครแคร์ ฝากกดหัวใจ กดเข้าชั้น คอมเม้นท์ให้กำลังใจไรท์บ้างนร้า
การหย่า
ทุกคนต่างนิ่งอึ้งกันไปพักใหญ่ โดยเฉพาะหลี่ฮาวและหลี่จง ที่ไม่คิดว่าเวยซินจะตอบกลับคำขู่ของพวกเขาเช่นนี้ กว่าจะได้สติกลับมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงของเวยซินพูดขึ้นมาอีกว่า
“จะหย้าข้าปลดข้าก็ได้ แต่ลูกทั้งสองคนต้องเป็นของข้า” พอได้ยินคำนี้ หลี่ถิงก็พาหลี่ถังเดินเข้ามาหามารดา
หลี่ถิงจับมือของเวยซินไว้แน่น หลี่ถังก็กอดขาของเวยซินไว้แนบแน่นเช่นกัน เด็กทั้งสองคนพูดพร้อมกันว่า
“พวกเราจะไปกับท่านแม่เจ้าค่ะ” หลี่จงได้ยินดังนั้นก็รีบส่งเสียงคัดคาดทันที
หากเสียเวยซินก็แทบไม่มีคนทำงานบ้านให้แล้ว เด็กสองคนพอช่วยงานบ้านได้ อีกไม่กี่ปีก็ทำงานบ้านได้สบาย นางไม่ยอมเสียเด็กทั้งสองคนนี้ไปแน่นอน
“ไม่ได้เด็ดขาด พวกเจ้าสองคนเป็นคนของตระกูลหลี่ ต้องอยู่กับพ่อของเจ้าเท่านั้น”
เวยซินคิดอยู่แล้วว่าคงไม่ง่ายที่จะหลี่จงจะปล่อยนางกับลูก ๆ ไปพร้อมกันจึงได้คิดหาทางออกไว้ก่อนแล้ว
“แล้วถ้าหากข้ามอบสินเดิมทั้งหมดที่มีให้กับพวกเจ้าเพื่อแลกกับเด็กทั้งสองคนนี้เล่า จะว่าอย่างไร”
หลี่จงได้ยินคำนี้ก็ตาลุกวาว นังสารเลวนี้ยังมีเงินแอบซุกซ่อนไว้โดยที่นางยังไม่รู้อีกหรือนี่ แต่มันจะเหลือสักเท่าไรกันเชียว หลี่จงจึงพูดขึ้นเพี่อหยั่งเชิง
“เหอะ อย่ามาพูดจาเหลวไหล เจ้าแต่งเข้ามาตั้งหลายปี ข้ายังไม่เคยเห็นสินเดิมของเจ้าเลย คิดจะหลอกใครกัน
ถึงต่อให้มีอยู่จริง จะมีเท่าไหร่กันเชียวจะมาแลกกับหลาน ๆ ข้าถึงสองคนได้อย่างไร ข้าไม่ใช่คนที่เห็นแก่เงินหรอกนะ” หลี่ฮาวพยักหน้าเห็นด้วย
“สิบตำลึงเงิน แลกกับลูกของข้าสองคน” หลี่จงและหลี่ฮาวได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง ไม่คิดว่าเวยซินจะแอบเงินจำนวนมากขนาดนี้ เล็ดลอดจากสายตาของพวกเขาไปได้
หลี่ฮาวเกิดความโลภคิดจะไม่หย่าร้างกับเวยซินแล้ว เพื่อจะได้เงินจำนวนนั้นไว้ใช้และยังมีเวยซินไว้ใช้งานเหมือนเดิม
ชาวบ้านทุกคนก็ต่างส่งเสียงพูดคุยกัน เรื่องที่เวยซินมีสินเดิมมากมายขนาดนี้เลยหรือ แถมยังต้องเอามาแลกกับลูกสาวทั้งสองคนของตัวเองอีก ช่างเป็นแม่ที่รักลูกยิ่งนัก
หากเป็นคนอื่น มีสินเดิมมากมายขนาดนี้ หย่าร้างแล้วก็ไปใช่ชีวิตอยู่คนเดียวได้สบาย แล้วนางยิ่งเป็นคนขยันขนาดนี้
คนในหมู่บ้านหลายคนยังอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้เลย ถึงต่อให้นางไม่มีสินเดิมต่อให้หย่าร้างไปก็ตาม
แต่นางเลือกที่จะพาลูกสาวสองคนติดตัวไปด้วย ก็เหลือน้อยคนแล้วที่จะอยากได้เด็กผู้หญิงเพิ่มถึงสองคนเข้าไปในครอบครัว ถึงแม้ว่าเด็กสองคนนี้จะว่านอนสอนง่ายก็ตาม
แต่บรรดาผู้หญิงที่เป็นแม่คนก็นับถือนางที่ไม่คิดจะทิ้งลูกสาวสองคนให้ต้องตกระกำลำบากอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่
เพราะรู้ดีว่าหลี่จงและหลี่ฮาวเป็นคนอย่างไร หากขาดเวยซินไปแล้วจริง ๆ เด็กสองคนนี้จะต้องถูกใช้งานหนักจนตายเป็นอย่างแน่นอน
เวยซินเห็นสองแม่ลูกสบตากัน พอจะเดาออกว่า สองแม่ลูกคู่นี้คิดอะไร เลยพูดขึ้นมาก่อนที่หลี่ฮาวจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“แต่หาก..เจ้าจะไม่หย่าร้างข้าแล้วก็ย่อมได้เช่นกัน แต่เงินสินเดินข้าจะไม่เอาออกมาใช้อย่างแน่นอน เพราะข้าจะเก็บไว้เป็นสินเดิมให้ลูก ๆ ของข้า”
แล้วเวยซินก็เปลี่ยนน้ำเสียงให้เย็นเหยียบลงพร้อมกับส่งไอสังหารออกมา จ้องมองหลี่จงและหลี่ฮาวด้วยสายตาที่ดุดัน
“แล้วการที่จะให้ข้าอยู่ต่อ…พวกเราคงต้องมาตกลงเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกันใหม่ เหมือนเช่นวันนี้”
เวยซินยกยิ้มมุมปาก แต่สายตาที่จ้องมองกลับทำให้หลี่จงและหลี่ฮาวรู้สึกกลัวจนขนอ่อนรุกทั่วทั้งร่าง
ภาพที่โดนเวยซินทุบตีเมื่อครู่เข้ามาให้หัวทันที ความเจ็บปวดที่โดนตบและโดนทุบตี ยังไม่หายไปเลย
หากเวยซินอยู่ต่อแล้วเป็นบ้าเหมือนวันนี้ พวกเขาไม่มีทางได้เงินสิบตำลึงนั้นมาแน่นอน
แล้วยังไม่รู้ว่าเวยซินจะทำร้ายร่างกายพวกเขาอีกหรือปล่าว เมื่อเทียบกับได้สิบตำลึงเงินแล้วให้นังบ้าแบบเวยซินออกไปจากชีวิต สองแม่ลูกสบตากันโดนไม่ต้องพูดจา หลี่ฮาวรีบตอบกลับทันที
“ตกลงข้าจะหย่ากับเจ้า แล้วก็สิบตำลึงแลกกับเด็กสองคนนี้ด้วย” เวยซินยกยิ้มพอใจ หันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน
“รบกวนท่านผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเขียนหนังสือหย่าให้ข้ากับหลี่ฮาว แล้วก็หนังสืบตัดความสัมผัสของลูก ๆ ข้ากับหลี่ฮาวให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ เมื่อพวกเจ้าตัดสินใจกันได้แล้ว ก็ตกลงตามนี้ ข้าจะเป็นพยานและเขียนหนังสือให้” ผู้ใหญ่บ้านให้คนไปนำกระดาษกับหมึกและพู่กันมาให้ แล้วนั่งเขียนในบ้านของหลี่ฮาว
ชาวบ้านต่างส่งเสียงนินทาต่อว่าหลี่ฮาวว่าเห็นแก่เงินทั้งที่เด็กทั้งสองคนก็เป็นลูกของเวยซิน ยังกล้าขายเด็กทั้งสองคนให้นางอีก
ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเลี้ยงดูหรือสนใจเด็ก ๆ ทั้งสองคนเลยด้วยซ้ำ แทนที่จะยกให้เวยซินไป กลับเอาเด็กมาแลกกับสินเดิมของนาง เป็นผู้ชายที่แย่จริง ๆ
ไม่นานนัก ผู้ใหญ่บ้านก็เขียนหนังสือหย่า และหนังสือตัดความสัมพันธ์เสร็จ หลี่ฮาวเขียนหนังสือไม่เป็นทำได้แต่ประทับรอยนิ้วมือ
เขารีบทำราวกับว่ากลัวว่าเวยซินจะเปลี่ยนใจแล้วจะไม่ได้เงินสิบตำลึงนั้น เวยซินเห็นดังนั้นก็ยกยิ้มขำในความโลภของคน
นางเองก็ไม่รู้หนังสือของยุคนี้เช่นกันเลยได้แต่ประทับรอยนิ้วมือ ผู้ใหญ่บ้านเลยต้องเป็นผู้เขียนชื่อของทั้งสองคนให้แทน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่ฮาวรีบทวงเงินทันที
“ไหนเงินของข้าล่ะ เจ้าอย่าได้คิดหลอกข้าเชียว ท่านผู้ใหญ่บ้านกับคนในหมู่บ้านก็อยู่กันมากขนาดนี้”
เวยซินส่งเสียง หึ ทีหนึ่งในลำคอ แล้วเดินเข้าไปในห้องของลูก ๆ ปิดประตู ไม่นานก็เดินออกมา ยืนถุงเงินให้หลี่ฮาว
หลี่ฮาวรีบคว้ามาด้วยความเร็ว เปิดเช็ดดู เมื่อมองดูแล้วว่าครบตามจำนวน ก็แอบกรนด่าเวยซินในใจว่าแอบเก็บเงินมากขนาดนี้มาตั้งนานโดยที่เขาไม่รู้
ความจริงแล้วเงินส่วนนี้เป็นเงินสินเดิมของเจ้าร่างส่วนหนึ่งจริง ๆ ส่วนที่เหลือนางแอบเก็บเล็กประสมน้อยบวกกับเงินที่แม่ของเจ้าร่างแอบนำมามอบให้นางอยู่เรื่อย ๆ เพื่อไว้กินไว้ใช้ เพราะสงสารที่บุตรสาวและหลานสาวต้องอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ
แต่เจ้าร่างเลือกที่จะเก็บไว้เพื่อไว้เป็นสินเดิมให้เด็ก ๆ เวยซินรู้ว่ายังไงหลี่จงและหลี่ฮาวจะไม่ปล่อยเด็ก ๆ ให้ไปกับนาง ง่าย ๆ แน่ ๆ
เลยต้องนำเงินส่วนนี้ออกมาเพื่อแลกกับเด็ก ๆ แล้วนางค่อยหาเงินใหม่ให้มากกว่าเดิมเพื่อมาเป็นสินเดิมให้ลูก ๆ ยามออกเรือน
และนางรับรองว่าจะต้องมากกว่านี้หลายเท่าแน่นอน นางถึงไม่เสียดายที่จะนำเงินนี้ออกมาแลกกับชีวิตของลูกสาวทั้งสองคน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เวยซินก็หันไปหาผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ข้ารบกวนท่านหาบ้านให้ข้ากับลูก ๆ สักหลังหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ ส่วนเรื่องค่าเช่าข้าจะรีบทำงานหาเงินมาจ่ายให้เจ้าค่ะ”
“ได้เดี๋ยวข้าจะดูให้ ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องรีบหรอก มีเมื่อไรค่อยจ่าย ในหมู่บ้านเราพอมีบ้านเก่าที่ไม่มีคนอยู่ ๆ หลายหลังเดี๋ยวข้าจะให้คนพาเจ้าไปดู”
“ขอบคุณท่านผู้ใหญ่มาก ๆ เจ้าค่ะ รบกวนท่านผู้ใหญ่แล้ว”
“เอาเถอะไม่เป็นไร เจ้าพร้อมเมื่อไรก็ไปหาข้าที่บ้านก็แล้วกัน” เวยซินตอบรับพร้อมพยักหน้า แล้วก็หันไปหาชาวบ้านที่มายืนมุง
“ขอบคุณ ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง ทุกท่านที่มาช่วยเหลือข้าในวันนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
เวยซินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มและก้มศีรษะคำนับ แล้วก็บอกให้ลูกสาวทั้งสองคนกล่าวขอบคุณด้วย
เด็กสองคนพูดพร้อมกันด้วยเสียงหวานเจื้อยแจ้วพร้อมรอยยิ้มที่ใสซื่อ ทำให้บรรดาผู้คนหัวใจอ่อนยวบ คนที่มามุงดูเพราะอยากดูเรื่องสนุกก็เลยรู้สึกละอายใจ
“ขอบคุณท่านลุงท่านป้าทุกคนเจ้าค่ะ” ป้าข่งอินเห็นความน่ารักของเด็ก ๆ ก็ยิ้มหวาน
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเสี่ยวเวยเอ้ย คนกันเองทั้งนั้น ต่อไปมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้ายินดีช่วย” ป้าเฉียวเฟยพูดสบทบ
“ใช่ ออกจากบ้านบ้า ๆ นี่ได้ก็ดีแล้ว ต่อไปก็จะมีแต่เรื่องดี ๆแล้ว”เวยซินยิ้มแล้วตอบรับคำพูดของป้าทั้งสองไปหนึ่งคำ
หลี่จงกำลังดีใจกับเงินสิบตำลึงเลยไม่สนใจที่จะตอบโต้พวกนาง
เรื่องจบแล้วชาวบ้านก็พากันแยกย้ายกลับบ้านของตัวเองกัน เวยซินก็เข้าไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเองกับลูกสาวทั้งสองคน
นางเอาไปเพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น ไม่คิดจะเอาของอื่น ๆ ของสองแม่ลูกนี้ติดตัวไป
จึงใช้เวลาไม่นานในการเก็บเพราะเสื้อผ้าของนางกับเด็กทั้งสองคนมีแค่เพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น
เวยซินจูงมือเด็กทั้งสองคนเพื่อจะเดินออกจากบ้านนี้ไป เพราะนางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป หลี่ฮาวก็พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยออกมาว่า
“แล้วเจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังล่ะ เพราะข้าไม่มีวันรับเจ้ากลับมาอีกแน่นอน ข้าอยากรู้เหมือนว่าไม่มีข้าแล้วเจ้าจะไปได้กี่น้ำ”
พูดจบหลี่ฮาวกับหลี่จงก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย เวยซินชะงักเท้า ยกยิ้มมุมปากแต่ไม่คิดที่จะหันกลับไปมอง แล้วพูดเสียงเรียบกลับไปว่า
“ใช่ จากนี้ไปพวกเจ้าอย่าได้เสียใจ แล้วคิดอยากได้ข้ากลับมา เพราะข้าไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีกแน่นอน”
พูดจบเวยซินก็สาวเท้าพาลูกสาวทั้งสองคนออกจากบ้านตระกูลหลี่ทันที
………………..
เดี๋ยวก็รู้ใครไม่มีใคร แล้วเดือดร้อน เหอะๆ
ฝากกด❤️ กดเข้าชั้น แล้วคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้นักเขียนคนนี้บ้างนะคะ