โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

'ก้าวไกล' เสนอแก้ ป.แพ่งและพาณิชย์ ห้ามผู้ปกครอง 'เฆี่ยนตีเด็ก' ยกผลวิจัยชี้การลงโทษรุนแรง 'เสียพัฒนาการเด็ก-สร้างปัญหาสังคม'

THE STATES TIMES

อัพเดต 11 ก.ค. 2567 เวลา 03.52 น. • เผยแพร่ 11 ก.ค. 2567 เวลา 06.00 น. • Hard News Team

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) เกี่ยวกับการลงโทษเด็ก โดยแก้ไขจากการบัญญัติว่า “ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน” เป็น “ผู้ใช้อํานาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทําทารุณกรรม หรือทําร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทําโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า”

โดย ภัสริน รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 7 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผล ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2519 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีอยู่ และในกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review) รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559-2563) ประเทศไทยก็ได้ตอบรับให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับแก้กฎหมายและควบคุมบทลงโทษด้วยความรุนแรงต่อบุตร แต่การแก้ไขก็ไม่เคยเป็นรูปธรรมเสียที

ภัสริน กล่าวว่า คำว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” หรือคำว่า “ไม้เรียวสร้างคน” ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกต่อไปแล้ว ความรักของผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านความรุนแรง และมีข้อพิสูจน์มากมายว่าการตีเด็กไม่ได้ทำให้เด็กได้ดี อีกทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กไปจนจวบสิ้นชีวิตได้

ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่า การลงโทษเด็กด้วยการตีส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการของเด็ก รวมถึงกระบวนการสร้างคลื่นบริเวณเยื่อหุ้มสมองที่เป็นสัญญาณของการถูกคุกคามและหวาดกลัว การทำโทษบ่อยครั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการของระบบประสาทในวัยรุ่น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นตรงกันว่าการเฆี่ยนตีและทำร้ายเด็กไม่สามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการได้อย่างสมควร และเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในครอบครัว มักจบลงด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวเสมอ

การลงโทษเด็กจนเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว โดยประเทศไทยยังคงมีช่องว่างเกี่ยวกับการลงโทษเด็ก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร, พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 61 ที่ระบุให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควรเพื่อการอบรมสั่งสอน, กฎกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการลงโทษเด็ก พ.ศ.2548 ที่ระบุว่าหากจำเป็น ให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควร

ภัสรินกล่าวต่อไปว่า จากรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ มีข้อกังวลหนึ่งที่คณะกรรมการสิทธิเด็กแสดงความกังวลต่อประเทศไทยมาโดยตลอด นั่นคือบทบัญญัติเรื่องการให้อำนาจผู้ปกครองตามมาตรา 1567 ประเทศสมาชิกหลายประเทศก็ให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยไม่ให้มีการลงโทษเด็กทุกรูปแบบและทุกสถานที่ ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมรับมาโดยตลอดว่าต้องแก้ไขปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม

“เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง พวกเขารอไม่ได้อีกแล้ว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้ห้ามการลงโทษ แต่สังคมต้องปรับวิธีคิดในการอบรมสั่งสอนลูก เราต้องสร้างนิสัยเชิงบวกให้ลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่อธิบายด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอดทนอดกลั้น ขอให้มองว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือโอกาสที่พ่อ แม่ และลูกจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ภัสรินกล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...