โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

อะไร ๆ ก็ “เงินเฟ้อ” มัดรวมคำศัพท์น่ารู้เพื่อเข้าใจความต่างของเงินเฟ้อ

ธนาคารแห่งประเทศไทย

อัพเดต 05 มิ.ย. เวลา 07.03 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 07.51 น. • วรวลัญช์ ญาณอาภา ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.

เราอาจเคยได้ยินคำว่า “เงินเฟ้อ” เวลาฟังข่าวหรือบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุน ทั้งเงินเฟ้อสูง เงินเฟ้อต่ำ เงินเฟ้อนั่น เงินเฟ้อนี่ เพื่อความเข้าใจและให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงขอเล่าความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ พร้อมยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริง โดยแบ่งคำศัพท์ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ตั้งแต่สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ ประเภทของเงินเฟ้อที่น่ากังวล ผลของเงินเฟ้อ ไปจนถึงรูปแบบของเงินเฟ้อแฝงที่ทุกคนอาจพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน

จะมีคำว่าอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ต้นทุน (cost) & ความต้องการ (demand) : สาเหตุสำคัญของการเกิดเงินเฟ้อ

Cost-push inflation คือ ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากราคา “ต้นทุน” การผลิตและวัตถุดิบปรับสูงขึ้น ตัวอย่างของเงินเฟ้อจากต้นทุนที่เกิดขึ้นล่าสุดคือ ในช่วงการระบาดของโควิด 19 โรงงานในหลายประเทศถูกปิดหรือเปิดได้เพียงบางส่วน อีกทั้งยังมีข้อจำกัดด้านระบบโลจิสติกส์ เช่น การปิดท่าเรือ ทำให้เกิดเป็นภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (supply disruption) และกดดันต้นทุนสินค้าและค่าขนส่งให้สูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าหลายชนิดปรับเพิ่มขึ้นมาก เช่น รถยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จนทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกในปี 2565 ปรับสูงขึ้นถึง 8.7%

สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูงขึ้นจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงราคาเนื้อหมูที่สูงขึ้นจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Flu) ล้วนเป็นตัวอย่างของ cost-push inflation ที่มีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยในปี 2565 ปรับสูงขึ้นถึง 6.1%

Demand-pull inflation คือ ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจาก “ความต้องการซื้อ” ที่มากเกินกว่ากำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาของสินค้าหรือบริการปรับสูงขึ้น

ตัวอย่างของการเกิด demand-pull inflation ที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้คือ ในปี 2565-2566 อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น ส่วนหนึ่งจากการที่รัฐบาลแจกเช็คเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิด 19 ทำให้ครัวเรือนมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าเร่งสูงขึ้นจนเกินกำลังการผลิต นอกจากนี้ การทำงานที่บ้าน (work from home) ยังทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มขึ้นของบริการขนส่งอาหารและสินค้า จึงทำให้ราคาอาหาร ค่าเช่าบ้าน และราคาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการทำงานที่บ้านเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงดังกล่าว

รู้หรือไม่ ? นอกจากต้นทุนและความต้องการแล้ว เงินเฟ้อยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปจาก “เงินเฟ้อคาดการณ์” หรือ Inflation expectations ได้ด้วย

Inflation expectations คือ อัตราเงินเฟ้อที่ประชาชนคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ เช่น การบริโภค ลงทุน และการกำหนดค่าจ้าง จนทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงตาม

กรณีที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ครัวเรือนและผู้ประกอบการจะเร่งกักตุนสินค้าและวัตถุดิบ ส่งผลให้ปริมาณสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนสินค้าต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้น และทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อสูงค้างนานกว่าที่ควรจะเป็น ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ ปี 2508 ที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นจากภาวะสงคราม แต่ประชาชนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจึงปรับขึ้นราคาสินค้าในวงกว้าง รวมทั้งแรงงานก็เรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จนทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นอีกระลอกตามต้นทุนค่าจ้างแรงงาน ทั้งหมดนี้ ทำให้ราคาสินค้าและบริการในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงเป็นระยะเวลานานร่วม 10 ปี

เหตุการณ์ที่ลูกจ้างต่อรองค่าจ้างเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวของที่แพงขึ้น และส่งผลให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยจนเป็นวงจรที่ราคาและค่าจ้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนี้ เรียกว่า wage-price spiral ซึ่งเคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องและสูงค้างเป็นเวลานานจากสาเหตุนี้ยังเคยเกิดขึ้นในอาร์เจนตินาเมื่อปี 2566 ด้วย ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงถึง 211.4%

อีกกรณีคือกรณีที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงในอนาคต ครัวเรือนและผู้ประกอบการก็จะเลื่อนการซื้อสินค้าและวัตถุดิบออกไปในอนาคต ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับลดลง เนื่องจากความต้องการสินค้าในปัจจุบันต่ำกว่าปริมาณสินค้าในตลาด และนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง

จะเห็นว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนทิศทางของอัตราเงินเฟ้อได้ ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องให้ความสำคัญกับการยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อ เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น ในปี 2565 ที่ไทยเผชิญอัตราเงินเฟ้อสูงจากการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบอย่างน้ำมัน และอาหารสด (Cost-push inflation) ธปท. ได้มีการส่งสัญญาณสื่อสารถึงการเข้าดูแลเงินเฟ้อต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อของไทยจึงไม่ได้สูงค้างนาน และกลับเข้ามาอยู่ในกรอบได้ภายใน 7 เดือน

ประเภทของเงินเฟ้อที่น่ากังวล : สูงไป ต่ำไป หรือไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจ

Hyperinflation (ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง) หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่า 50% ต่อเดือน เช่น จากที่เคยซื้อเนื้อหมูกิโลกรัมละ 100 บาท เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ต้องใช้เงิน 150 บาท (เพิ่มขึ้น 50%) ในการซื้อเนื้อหมูน้ำหนักเท่าเดิมในเดือนถัดมา

ตัวอย่างภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในอดีต ได้แก่ ซิมบับเว ในช่วงวิกฤตการณ์การเงิน (2008 Financial Crisis) ที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2551 ปรับสูงขึ้น 79,600,000,000% หรือคิดเป็น 98% ต่อวัน! ซึ่งหมายความว่า ทุก ๆ วันราคาสินค้าในประเทศจะปรับสูงขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ การเพิ่มปริมาณเงินในระบบของรัฐบาลเพื่อให้สอดรับกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการทุจริตภายในประเทศ ส่งผลให้ในท้ายที่สุด ค่าเงินดอลลาร์ซิมบับเวอ่อนค่าลงมากจนถูกยกเลิกไปและประเทศต้องนำค่าเงินต่างประเทศมาใช้ทดแทน

Deflation (ภาวะเงินฝืด) หมายถึง ภาวะที่ระดับราคาโดยรวมในประเทศปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัวลง แม้ว่าในระยะแรก เงินฝืดอาจดูเหมือนเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงก็ตาม แต่ในระยะยาว เงินฝืดอาจส่งผลเสียให้ปรับลดการผลิตลง เพราะเมื่อสินค้าราคาถูกลงผู้ผลิตก็ขาดแรงจูงใจในการผลิตสินค้า ส่งผลกระทบต่อความต้องการแรงงาน อัตราการว่างงานสูงขึ้น และรายได้ผู้บริโภคลดลง

ยกตัวอย่างสถานการณ์ของสหรัฐฯ ในช่วงปี 2472-2476 ที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง (the Great Depression) ทำให้จีดีพีปรับลดลง -30% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปหดตัว -33% ในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งอัตราการว่างงานยังสูงขึ้นจาก 3% ไปอยู่ที่ 25% ขณะเดียวกันตลาดหุ้นก็ปรับลดลงกว่า 90% จากจุดสูงสุดในปี 2472 เพราะเศรษฐกิจที่หดตัวและราคาสินค้าที่ลดลงอย่างมาก จนมีบริษัทหลายแห่งต้องปิดกิจการ ส่งผลให้ค่าแรงปรับลดลง ประชาชนจำนวนมากตกงานและกลายเป็นผู้ไร้บ้าน

Stagflation (ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ) หมายถึง สภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อกลับปรับสูงขึ้น โดยคำว่า Stagflation มาจากการรวมกันของคำว่า Stagnation ที่หมายถึงเศรษฐกิจเติบโตช้าหรือไม่เติบโต (จีดีพีน้อยกว่า 2% ต่อปี) และคำว่า Inflation ซึ่งหมายถึงภาวะที่เงินเฟ้อสูง

อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีตัวเลขชัดเจนว่าเงินเฟ้อต้องสูงเท่าไหร่จึงจะเกิดภาวะ Stagflation โดยจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า เงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่สูงกว่า 5% อาจเป็นสัญญาณของ Stagflation เพราะปกติแล้วเงินเฟ้ออ่อน ๆ (ไม่เกิน 3%) มักสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว ขณะที่ Stagflation จะเป็นการประกอบกันของภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่โตต่ำ และอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

คำว่า Stagflation กำลังเป็นที่พูดถึงมากในปัจจุบัน เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ โดยในเดือนเมษายน 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการจีดีพีปี 2568 ของสหรัฐฯ ไว้ที่ 1.8% ลดลงจากปี 2567 ที่ 2.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของทรัมป์ ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปี 2568 อยู่ที่ 3.0% เมื่อเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ จึงทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Stagflation จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นจากภาษีนำเข้าและต้นทุนการผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น

การส่งผ่านของราคา : เงินเฟ้อไม่ได้กระทบกับทุกคนเท่ากัน

ในแง่ของผลกระทบของการปรับราคานั้น เงินเฟ้อสามารถส่งผลต่อไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้บริโภค ภาคธุรกิจ ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับคนทั่วไป แน่นอนว่าการที่ราคาสินค้าแพงขึ้น ย่อมส่งผลต่อกำลังซื้อและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งคุณภาพชีวิตได้ ขณะที่ในแง่ของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ราคาวัตถุดิบ ค่าดำเนินการ หรือค่าการตลาดต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้นโดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมเพิ่มความไม่แน่นอนต่อการบริหารจัดการต้นทุนและกำไรของบริษัท และอาจกระทบต่อยอดขายได้ ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงที่มากและผันผวนเกินไปย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพของราคา และกลายเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมได้

นอกจากนี้ หลายท่านอาจจะไม่เคยทราบว่า แท้จริงแล้วเงินเฟ้อก็มีแง่มุมของความเหลื่อมล้ำ โดยมักมีผลกระทบกับกลุ่มคนรายได้น้อยที่มักใช้จ่ายไปกับสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด อีกทั้งยังมีความแตกต่างของ pattern ในการปรับราคาสินค้าที่อาจส่งผลกับคนกลุ่มต่าง ๆ ไม่เท่าเทียมกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น

Cheapflation หมายถึง การที่สินค้าราคาประหยัดมักมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในอัตราที่มาก กว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่อยู่ในกลุ่ม premium ส่งผลให้กลุ่มคนรายได้ต่ำได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากกว่ากลุ่มคนรายได้สูง ตัวอย่างเช่น ในปี 2565-2567 ที่ราคาเนื้อไก่ในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 17.6% แต่ราคาเนื้อไก่ในห้างซูเปอร์มาร์เก็ตที่ปกติแล้วราคาแพงกว่ากลับปรับเพิ่มขึ้นเพียง 4.2% เท่านั้น

สาเหตุของการปรับขึ้นราคาสินค้าที่ไม่เท่ากันนี้ อาจเกิดจาก

1. สินค้าราคาประหยัด/ต่ำ มักจะมีสัดส่วนของกำไรสุทธิต่ำกว่าสินค้าราคาสูง/premium ส่งผลให้เมื่อต้นทุนวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตจึงไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มได้ และต้องขึ้นราคาเพื่อส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวมายังผู้บริโภค

2. เมื่อราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น กลุ่มคนรายได้สูงสามารถเปลี่ยนไปซื้อสินค้าชนิดเดียวกันแต่ราคาต่ำกว่าที่ตนเคยซื้อ อย่างไรก็ดี กลุ่มคนรายได้ต่ำไม่สามารถขยับไปซื้อสินค้าที่ราคาต่ำกว่าที่ตนเคยซื้อได้ เนื่องจากสินค้าที่ซื้อในปัจจุบันเป็นสินค้าราคาต่ำอยู่แล้ว

Greedflation เป็นคำที่ใช้อธิบายราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นจากการที่ธุรกิจขึ้นราคาเกินความจำเป็นเพื่อเพิ่มกำไร โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น

ปรากฏการณ์นี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในช่วงการระบาดโควิด-19 โดยจากผลการศึกษาของ The Institute for Public Policy Research พบว่า ในช่วงปี 2565 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ เยอรมัน บราซิลและแอฟริกาใต้ โดยเฉลี่ยมีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด โดยพบว่าในหลายบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและอาหาร กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการขึ้นราคาที่สูงกว่าการเพิ่มของต้นทุนวัตถุดิบในช่วงนั้น

รูปแบบเงินเฟ้อแฝง : ราคาเท่าเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม

ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจเจอกับ “เงินเฟ้อที่ไม่ได้มาในรูปแบบของราคา” ในชีวิตประจำวันได้ด้วย เพราะถึงแม้ว่าราคาสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคก็อาจกำลังซื้อของที่แพงขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือเรียกได้ว่าเป็นเงินเฟ้อแฝง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ยังได้รับคุณภาพหรือปริมาณสินค้าที่เท่าเดิมนั่นเอง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

Shrinkflation หมายถึง การที่ผู้ผลิตปรับลด “ขนาดหรือปริมาณ” ของสินค้าลง แต่ยังคงขายในราคาเท่าเดิม เปรียบเสมือนกับผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้สินค้าในปริมาณเท่าเดิม เช่น ขนมคุกกี้ที่ยังคงขายในราคา 50 บาท แต่ลดขนาดจากการให้ปริมาณ 100 กรัม เป็น 85 กรัม

Skimpflation หมายถึง การที่ผู้ผลิตลด “คุณภาพ” ของสินค้าและบริการลง เพื่อประหยัดต้นทุนแต่ ยังคงขายในราคาเท่าเดิม ซึ่งเท่ากับว่าลูกค้าต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อของชิ้นเดิม เช่น การใช้แป้งปริมาณมากขึ้นในลูกชิ้นหมู เพื่อขายก๋วยเตี๋ยวที่ 50 บาทเท่าเดิม หรือข่าวในสหรัฐฯ เมื่อปี 2564 ที่ผู้บริโภคแสดงความไม่พอใจต่อบริษัทเดอะวอลท์ดิสนีย์ ที่เก็บค่าตั๋วเข้าสวนสนุกในราคาเดิม แต่ลดการบริการลงโดยยกเลิกรถรับส่งระหว่างสวนสนุกกับลานจอดรถ

สุดท้ายนี้ หวังว่าคำศัพท์เศรษฐกิจ ฉบับเงินเฟ้อ ที่เราได้มัดรวมมาเสิร์ฟให้ในครั้งนี้ จะช่วยให้ทุกท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับ “เงินเฟ้อ” ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และสามารถเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินได้อย่างเข้าใจมากขึ้น รวมถึงสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการเงิน การจับจ่ายใช้สอย และการลงทุนได้อย่างเท่าทันกับสถานการณ์

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

วิดีโอแนะนำ

ข่าว ไอที ธุรกิจ อื่น ๆ

รอชม 10 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ น่าติดตามปี 2569

MATICHON ONLINE

ปีใหม่นี้ ตั้งเป้าการเงินยังไงให้ ‘ทำได้จริง’

Wealth Me Up

RECAP 2025 : สรุปสถิติปลดพนักงาน บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก

ฐานเศรษฐกิจ

‘โลตัส เซฟพลัส’ เปิดโมเดลใหม่สาขาแรกในประเทศไทย เน้นราคาโดน คุ้มใกล้บ้าน

กรุงเทพธุรกิจ

สมช. แถลง 7 ข้อ ไทยเดินหน้าตาม Joint Statement หากถูกรุกราน มีสิทธิป้องกันตนเอง

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ไทยส่งทหารกัมพูชา 18 คนกลับประเทศ ตามข้อตกลงหยุดยิง มี ICRC–AOT ร่วมสังเกตการณ์

ข่าวหุ้นธุรกิจ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...