โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

7 โบรกเชียร์ซื้อ NER ฟอร์มสวย ชี้กำไรแกร่ง-ปันผลเด่น ชูเป้าสูงสุด 5.85 บาท

ข่าวหุ้นธุรกิจ

อัพเดต 30 พ.ค. เวลา 10.45 น. • เผยแพร่ 30 พ.ค. เวลา 10.45 น. • ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมอง Neutral” ต่อ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER หลังจากข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์เนื่องจากบริษัทยังคงเป้าหมายการขายที่ 500,000 ตัน เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าและการเลื่อนเปิดโรงงานเป็นไปตามที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาด

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่ากลยุทธ์ของ NER มีความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับโมเมนตั้มไตรมาส 2/68 คาดกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจากปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่คาดลดลงจากไตรมาสก่อน จากปัจจัย ฤดูกาล คงประมาณการกําไรสุทธิ 68 ที่ 1,974 ลบ. (เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า) คงคำแนะนํา "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 5.85 บาท

โดยมีประเด็นสำคัญ คือ บริษัทคงเป้าปริมาณการขายปี 68 ที่ 500,000 ตัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าจาก 439,179 ล้านตันในปี 67 ผลักดัน โดย Demand ยางที่ใช้ในรถ EV จีนและยางที่ใช้เปลี่ยนแทนรถเก่ายังคงเพิ่มขึ้นและคาดคำสั่งซื้อจากอินเดียเพิ่มขึ้น

ขณะที่ Supply ในตลาดโลกลดลงจาก Supply อินโดนีเซียและเวียดนามลดลง ทั้งนี้มีการเลื่อนแผนขยายโรงงานในไทย (โรงงาน 3) ออกไปอย่างน้อย 6 เดือน จากเดิมบริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างกลางปี 68 เนื่องจากสถานการณ์ภาพรวมของโลกมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนําเข้าของสหรัฐ (Reciprocal tariff) แม้ยางแท่งและยางแผ่นจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากที่ลูกค้าผลิตยางล้อรอดูสถานการณ์

บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุว่า NER กำไรดีกว่าคาดโตทั้งจากปีก่อนหน้าและจากไตรมาสก่อน โดยไตรมาส 1/68 กําไรขยายตัวทั้งจากปีก่อนหน้า และจากไตรมาสก่อน ดีกว่าคาด 13.1% จากปริมาณขายมากกว่าคาด ส่วนความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายทรัมป์ มีแนวโน้มปรับประมาณการลง และงบดี ปันผลสูง P/E เพียง 3.3 เท่า ยังพอเก็งกำไรสั้นๆ ได้ระหว่างนี้ ซึ่งไตรมาส 1/68 กําไรสุทธิ 609 ล้านบาท ขยายตัว 34% จากปีก่อนหน้าและ 69% จากไตรมาสก่อน หลังปริมาณขายมากกว่าคาด ได้แก่

ยอดขาย 8,698 ล้านบาท ขยายตัว 33% จากปีก่อนหน้า แต่หด 3% จากไตรมาสก่อน ภายใต้ปริมาณขายอยู่ที่ 127,090 ตัน เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้าแต่หด 7% จากไตรมาสก่อน ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 68.44 บาท/ กิโลกรัม เพิ่ม 20% จากปีก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน ส่วนราคาขายที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าต้นทุนส่งผลให้อัตรากําไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 10.6% จาก 8.8% ในไตรมาส 4/66 แต่ยังต่ำกว่า 11.6% ในไตรมาส 1/67

บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง NER รายงานกําไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ระดับ 608.84 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 34.22% จากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญของรายได้จากการขายที่เติบโตกว่า 32.96% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท

โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ สัดส่วน 69.87% ของยอดขายทั้งหมด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.81% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท และรายได้จากต่างประเทศ 30.13% ของรายได้ทั้งหมด เติบโต 56.71% จากปีก่อนหน้าสู่ระดับ 2.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 10.88% มาอยู่ที่ระดับ 1.27 แสนตัน รวมถึง ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19.9% จากปีก่อนหน้า ส่วน SG&A to Sales ในช่วงไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 2.01% ลดลงจาก 2.33% ใน 1/67 จากการลดลงของค่าใช้จ่ายกิจกรรม CSR

ส่วน Gross Profit Margin ในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 10.61% ลดลงจาก 11.64% ในไตรมาส 1/67 โดยได้รับผลกระทบจากราคายางที่มีการเพิ่มขึ้นกระทบต่อสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบยางเมื่อเทียบกับรายได้มีต้นทุนสูงขึ้น

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3 จะยังเติบโตต่อและยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariff โดยบริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 500,000 ตัน และมี Demand ยังเป็นบวกจากแนวโน้มยอดขายรถ EV ที่ยังเพิ่มขึ้นรวมถึงสัดส่วน Replacement Ratio ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ Supply ที่ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นจะหนุนปริมาณการผลิต

ส่วนผลกระทบต่อมาตรการภาษี ลูกค้าโรงงานจีนในไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากปริมาณส่งออกยางรถยนต์จากโรงงานจีนในไทยไปยังสหรัฐฯคิดเป็นเพียง 4% ของทั้งหมด ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามอยู่ที่การเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีซึ่งจะมีผลต่อยอดขายในช่วงปลายไตรมาส 3/68 –ไตรมาส 4

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุถึง NER กําไรไตรมาส 1/8 ออกมาดี แต่ช่วงที่เหลือของปีอาจจะชะลอตัว ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูความชัดเจนของภาษีปรับคำแนะนําลงเป็นถือและปรับราคาเป้าหมายลงมาเป็น 4.50 บาท อิง Avg PER 4.5 เท่า แนวโน้มกําไรอาจจะชะลอลงในช่วงถัดไปและความไม่แน่นอนของภาษีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อปริมาณขายได้ โดยราคาหุ้นเคยทำจุดสูงสุดในปีที่ 5.05 บาท ก่อนปรับลดลงกว่า -15% ในช่วงเดือนเมษายนที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี

โดย NER รายงานกําไรในไตรมาส 1/68 สุดโดดเด่นที่ 609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 69% จากไตรมาสก่อน ซึ่งไตรมาสก่อนมีผลของ Fx Loss ค่อนข้างมาก ในขณะที่ไตรมาสมีผลของ Hedging gain ถ้าไม่รวมผลของรายการดังกล่าวกําไรปกติอยู่ราว 595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น จากปีก่อนหน้าจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากราคาขายปรับขึ้น

ส่วนแนวโน้มครึ่งหลังปี 68 ยังท้าทาย ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูของภาษีสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้บริหารยังคงเป้าที่ 5 แสนตัน ยังคงประมาณการกําไรทั้งปีที่ 1.8 พันล้านบาท แต่อาจจะมี Downside ถ้าผลของภาษีสหรัฐฯ พ้น 90 วันแล้วไม่มีข้อยุติ

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง NER กําไรยังแกร่งถึงไตรมาส 3/68 ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/68 เบื้องต้นคาดปริมาณขายลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 1.2 แสนตัน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยคาดปรับสูงขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับ GPM ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน คาดเบื้องต้นที่ราว 10.0% จาก 10.6% ในไตรมาส 1/68 จากต้นทุนที่ขยับขึ้นจากราคาในไตรมาส 1/68 ขณะที่ราคาที่ลดลงในไตรมาส 2/68 มีวัตถุดิบให้ซื้อไม่มากทำให้ถัวเฉลี่ยราคาลงไม่ได้มาก คาดกําไรสุทธิที่ 500 ลบ.+/- ลดลง 10 – 15% จากไตรมาสก่อนแต่ยังเติบได้จากปีก่อนหน้า

ส่วนผลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯต่อไทยและจีนทำให้ลูกค้ากลุ่ม Trader ซึ่งบริษัทฯ มียอดขาย ผ่านกลุ่มนี้ราว 60 – 70% ชะลอการซื้อ แม้ว่าแท้จริงแล้วลูกค้าจีนโดยตรงจะได้รับผลกระทบจํากัด เพราะยางล้อที่ผลิตในจีนมีการส่งออกไปสหรัฐฯเพียง 4% แต่ลูกค้ากลุ่ม Trader มักมีความอ่อนไหวต่อประเด็นเศรษฐกิจมหภาค แต่หลังจากที่สหรัฐฯและจีนมีการเจรจาและลดภาษีระหว่างกันลงชั่วคราวทำให้ลูกค้าเริ่มกลับมาทำการซื้อมากขึ้น แต่ยังอยู่ที่ระดับประมาณ 75% ของระดับปกติก่อนประกาศภาษีวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งผลกระทบนี้จะกระทบเต็มที่ในไตรมาส 4/68 แต่ถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้เดิมว่าอาจจะเริ่มกระทบชัดเจนในไตรมาส 3/68 เลย เนื่องจากยอดขายในไตรมาส 3/68 มากกว่า 70% มีการปิดการขายไปแล้วก่อน 2 เม.ย.

NER มีลูกค้ายางล้ออินเดียรายใหม่ 1 ราย คาดว่าจะเริ่มทำการซื้อขายไตรมาส 4/68 และจะไปหนุนรายได้ ไตรมาส 1/69 เป็นต้นไป และคาดว่าจะมีเพิ่ม1ราย ซึ่งเป็นรายใหญ่กว่ารายแรกจะทดสอบเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ค

แผนขยายกําลังการผลิต บริษัทขอเลื่อนการพิจารณาออกไปอีก 6 เดือน หากสถานการณ์คลี่คลายได้ภายใน 90 วัน จะกลับมาเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ในไตรมาส 1/69 ด้วยกำไรไตรมาส 1/68 ที่ดีกว่าคาดและไตรมาส 2-3 ยังถูกกระทบจำกัด ประมาณการปัจจุบันเทียบเท่าคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/68 อยู่ที่ระดับ 300 ลบ +/- ซึ่งถือว่ามี Downside risk จํากัด

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ภาพรวมปี2025 มีเป้าการขายที่ระดับ 500,000 ตันเริ่มมีความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าบางส่วน มีการชะลอคำสั่งซื้อจากผลกระทบ เรื่องภาษีของสหรัฐฯ และทำให้ทางบริษัทมีการเลื่อนการสร้างโรงงานใหม่เป็นต้นปี 26 แทน อย่างไรก็ตามระยะยาว NER มองว่าจากการที่ไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก ทำให้ได้ข้อสรุป เรื่องภาษีแล้วคำสั่งซื้อจะทยอยกลับมา ทั้งนี้จากกําไรขั้นต้นในช่วงไตรมาส 1/68 ที่มีเพียง 10.2% ทำให้เราปรับสมมติฐานทั้งปีลง จากเดิม 11% เหลือ 10.2%

จึงประเมินกําไรสุทธิได้ใหม่ที่ 1,863 ล้านบาท ยังแนะนํา “ซื้อ” เพราะยังมีจุดเด่นเรื่องเงินปันผลที่คาดผลตอบแทนเกือบ 10% แต่แนะนําให้รอความชัดเจนเรื่องภาษีก่อนเข้าลงทุน และยังคงแนะนํา “ซื้อ” แต่ปรับกําไรลงเล็กน้อย มีปัจจัยบวกมาจากการที่ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางพาราเบอร์ 1 ของโลก ทำให้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ แต่บริษัทล้อยางยังคงต้องการยางพาราอยู่ ทำให้การขายยังมีโอกาสเติบโตได้

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง NER ไตรมาส 1/68 ทำได้ดีกว่าคาด ประมาณการรายได้ที่ 3.17 หมื่นล้านบาท กําไรสุทธิ 1.92 พันล้านบาท ทั้งนี้ ไตรมาส 1/68 มีกําไรสุทธิ 608.8 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.2% จากปีก่อนหน้า) รายได้จากการขาย 8,698.0 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33.0% จากปีก่อนหน้า) ที่ปริมาณขาย 1.27 แสนตัน (เพิ่มขึ้น 10.9% จากปีก่อนหน้า)

ขณะที่ ผู้บริหารยังตั้งเป้าปริมาณขาย 5 แสนตัน แนวโน้มไตรมาส 2/68 รายได้และปริมาณขาย ทรงตัวจาก ไตรมาส 1/68 ช่วงไตรมาส 3-4 ด้านราคาขายปริมาณขายและมีแนวโน้มลดลงจากครึ่งปีแรก คงประมาณการณ์รายได้ที่ 3.17 หมื่นล้านบาท และกําไรสุทธิ 1.92 พันล้านบาท และคงคำแนะนํา ชื้อ ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ราคา 6.00 (ไม่เปลี่ยนแปลง)

โดยก่อนหน้านี้ บริษัทรายงานกําไรสุทธิไตรมาส 1/68 เท่ากับ 608.8 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.2% จากปีก่อนหน้า , เพิ่มขึ้น 69.4% จากไตรมาสก่อน) ในงวดมีรายได้จากการขาย เท่ากับ 8,698.0 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33.0%จากปีก่อนหน้า, แต่ลดลง 2.6% จากไตรมาสก่อน) มีปริมาณขาย 127,090 ตัน เพิ่มขึ้น 12,470 ตันหรือ เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1/67 แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 69.9% และ รายได้จากการขายต่างประเทศ 30.1% ด้านอัตรากําไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 10.6% ลดลงจากช่วงไตรมาส 1/67 ที่ระดับ 11.6% ขณะที่ในงวดมีผลกระทบขาดทุนจากอัตรา แลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจริง 13.3 ล้านบาท

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...