โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

'การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว' วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี

แนวหน้า

เผยแพร่ 24 มี.ค. 2564 เวลา 12.30 น.

"การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว" วิสัชนาธรรมโดย…พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

ปุจฉา - การทำบุญอุทิศให้ผู้มีพระคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญเหล่านั้นจะเป็นของใคร

วิสัชนา - ปัญหาเรื่องนี้กินความกว้างขวางมาก มีผู้ถามปัญหาข้อนี้กับผู้เขียนตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ จนมาได้บวชพระนับเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีคนถามอยู่นี่แหละผู้เขียนหวังว่าถึงผู้เขียนตายไปแล้ว ถ้ายังมีการทำบุญให้ผู้ตายไปแล้วอยู่คงจะมีปัญหาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดผู้เขียนจะตั้งประเด็นไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และกันความหลงลืม ดังนี้ (๑) ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว (๒) ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า (๓) ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร

(๑) ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย มีบิดามารดาเป็นต้น 

ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลายแล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้นถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมดการทำความดีคือบุญกุศลนี้ ย่อมทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่นทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วย และทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมองไม่ผ่องใสและก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง

ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไปอีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเองบุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆ แต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหากเปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่ แล้วไปขอต่อจากคนอื่นเทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็นคนมากี่ร้อยกี่พัน เอาหัวใจของตนมาตักตวงเอาบุญในพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีหมด บุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิมถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง

(๒) ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าผู้ตายไปนั้นได้รับหรือเปล่า

เรื่องนี้เป็นของพูดยาก เพราะผู้ที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนเราส่งจดหมายไปหากันอนึ่ง บุญนั้นก็มิใช่จะส่งไปได้อย่างพัสดุไปรษณีย์ เพราะเป็นของไม่มีตัวตนเป็นความรู้สึกภายในใจว่าบุญที่ตนทำนี้ต้องถึงผู้ตายไปแน่และเราเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่าทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วต้องทำในพระภิกษุผู้มีศีลและเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้บริโภคอาหาร ก็ต้องทำบุญถวายอาหารเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้เครื่องนุ่งของห่ม ก็ถวายผ้าผ่อนเครื่องนุ่งของห่มแล้วอุทิศกุศลนั้นไปให้แก่เขาเหล่านั้นแล้วของเหล่านั้นก็จะปรากฏแก่เขาเหล่านั้นเองโดยที่ไม่มีใครนำไปให้เขา

(๓) เรื่องนี้บอกได้ชัดเลยว่า บุญเป็นของผู้ทำแน่นอน

เพราะผู้ทำเกิดศรัทธาเลื่อมใสพอใจในการกระทำบุญบุญก็ต้องเกิดในหัวใจของผู้นั้นเสียก่อนแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้มีอุปการคุณที่ตายไปแล้วได้ชื่อว่าทำบุญสองต่อ คือเราได้ทำบุญแล้วเพราะศรัทธาเลื่อมใสจึงทำบุญแล้วเราอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้แก่ผู้ตายไปอีก เป็นอีกต่อหนึ่ง

ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อแต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่งท่านเปรียบไว้ สมมุติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วนแล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วนผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วน เท่านั้น ฟังดูแล้วน่าใจหายเพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาทในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ มีสิ่งใดควรจะทำก็ให้รีบทำเสียตายไปแล้ว เขาทำบุญไปให้ ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน เพราะคนตายแล้ว เขาเรียกว่าเปรตไม่ได้เรียกว่า บิดา มารดา ป้า น้า อา ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก

ในบรรดาเปรตเหล่านั้นมี ๑๑ พวกมีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมากเพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มีเสวยผลกรรมของตนที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้นฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละ มนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับเปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับนับประสาอะไร บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับพวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไม่รู้กันใหญ่ ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามากทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่หรือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งก็เหมือนกัน เขากำลังเสวยผลบุญของเขาอยู่เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร

 

 

ปรทัตตูปชีวีเปรต ดังเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารมีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระเจ้าพิมพิสารเกิดอาเพศตอนกลางคืนมีเสียงดังขลุกๆ ขลักๆ ทั่วไปหมดในห้องพระตำหนักพระเจ้าพิมพิสารกลัวจะเกิดเหตุเป็นอันตรายแก่ราชบัลลังก์จึงเข้าไปกราบทูลเหตุอันนั้นแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่าไม่มีอันใดเลย พวกเปรตที่เป็นญาติของพระองค์แต่ครั้งพระพุทธเจ้าชื่อว่าพระปุสสะ โน่น เขามาขอส่วนบุญกับพระองค์ขอมหาบพิตรจงทำบุญให้เขา แล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้เขาเสีย เสียงนั้นก็จะหายไปพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงกระทำทักษิณานุประทาน ทำบุญอุทิศให้แก่เปรตเหล่านั้นแล้วพวกเปรตเหล่านั้นได้รับส่วนบุญแล้วก็มีกายอ้วนท้วนสมบูรณ์แต่ยังไม่มีผ้าเครื่องนุ่งห่ม ทีหลังก็มาปรากฏให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นอีกพระเจ้าพิมพิสารก็นำเอาเรื่องพฤติการณ์อันเปรตมาแสดงนั้นไปกราบทูลพระพุทธเจ้าอีกพระองค์จึงตรัสว่าเพราะมหาบพิตรไม่ได้ทำบุญผ้าพระเจ้าพิมพิสารจึงทรงทำบุญถวายผ้าแก่พระสงฆ์และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปรตเหล่านั้นพอเปรตเหล่านั้นได้รับแล้วก็ไปเกิดในสุคติภพในสวรรค์

ที่มาเล่าสู่กันฟังพอเป็นทัศนคติที่ว่า ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับหรือไม่เพราะผู้เขียนก็ไม่สามารถจะไปล่วงรู้เขาได้และผู้ตายไปแล้ว แม้แต่โยมบิดามารดาของผู้เขียนก็ไม่เคยบอกว่าบุญที่ทำแล้วอุทิศไปให้ได้รับหรือเปล่า แต่ผู้เขียนก็ทำบุญอุทิศไปให้เสมอเป็นแต่ได้ฟังมาจากตำรา จะหาว่าเล่านิทานหลอกเด็กให้กลัวเฉยๆแต่ถ้าผู้ใหญ่กลัวอย่างเด็กๆ แล้ว บ้านเมืองก็ไม่เป็นอย่างทุกวันนี้เด็กเชื่อง่ายหัวอ่อน สั่งสอนน้อมใจเชื่อเร็ว ผู้ใหญ่จึงชอบสอนเด็กๆแต่เมื่อโตขึ้นมาแล้ว ถือว่าเรามีสิทธิเสรีเต็มที่ไม่ต้องเชื่อความคิดของคนอื่นเชื่อความคิดของตนเอง หรือเข้าสมาคมกับผู้ใหญ่เลยเป็นผู้ใหญ่ไปหมดความเชื่อและความคิดเมื่อยังเด็กอยู่ที่อบรมไว้เลยหายหมดเลยกลายมาเป็นผู้ใหญ่อย่างผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

อนึ่ง เรื่องการทำบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ จึงตอบไม่ได้ขอผู้รู้ทั้งหลายได้เมตตาแนะแนวให้ผู้เขียนได้ทราบบ้าง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่วผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเองมิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่งคล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการ เพื่อให้เป็นสินน้ำใจแล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้ เป็นต้นหรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้วไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น

คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้ว เมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาดมิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริต ด้วยจิตที่เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้นมาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาปจึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้น เพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้ดังนี้ เป็นการไม่ยุติธรรม เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้วทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้

การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมากอธิบายมาก็มากพอสมควร พอที่ผู้ฟังจะเข้าใจบ้างตามสมควรจึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้เสียก่อนเพื่อจะได้ตอบปัญหาคนอื่นต่อไป

……………………………….

คัดลอกจากหนังสือปุจฉาวิสัชนาในประเทศและต่างประเทศ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) ขอบคุณล่านธรรมจักร
 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0