โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม

นิยาย Dek-D

อัพเดต 07 ก.พ. เวลา 02.02 น. • เผยแพร่ 07 ก.พ. เวลา 02.02 น. • คุณแย้ม
เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม
พาขวัญย้อนกลับมาในตอนอายุ 17 ปี อีกครั้ง เธอจะพาตัวเองและครอบครัวหลีกหนีจากชะตากรรมแสนสลดนั้นให้ได้

ข้อมูลเบื้องต้น

ปก : Anifa_ksl

พาขวัญย้อนกลับมาตอนอายุ 17 ปี ช่วงเวลาก่อนที่พ่อจะลงมือฆ่าคนในครอบครัว และยิงตัวตายตามเพื่อหนีคดี

ก่อนที่จะตายตามครอบครัวมา เธอก็ได้ทราบความจริงว่า แท้จริงแล้วการตายของคนทั้งบ้าน คือการฆาตรกรรมที่ถูกจัดฉากขึ้นมาโดยบ้านของสามี และเพื่อปกป้องความผิดของแม่ตัวเอง เขาถึงกับยืนดูเธอตายลงต่อหน้า อย่างเลือดเย็น…

ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพบว่าพ่อ แม่ และน้องสาวทั้งสองคนยังมีชีวิต เธอก็สัญญากับตัวเองว่า ชาตินี้จะไม่มีวันพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านอดีตสามีอีกเป็นอันขาด

แนะนำตัวละคร

e-book เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม เล่ม 1

e-book เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม เล่ม 2

e-book เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม เล่ม 3

[set] e-book เกิดใหม่ครั้งนี้ไม่ขอมีสามีคนเดิม เล่ม 1-3

ช่องทางติดตามกดได้เลยจ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=100086775450648

บทนำ

พาขวัญยังจำได้ดี

เมื่อก่อนครอบครัวของเธอค่อนข้างมีฐานะ พ่อเป็นถึงเจ้าของฟาร์มไข่ไก่ที่มีผลผลิตมากที่สุดในจังหวัด ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านที่จัดการทุกอย่างภายในบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม

บ้านของเรามีกันห้าคน พ่อ แม่ ตัวเธอ และน้องสาวอีกสองคน นับเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีแต่คนนับหน้าถือตา

ตอนที่เรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย เธอก็ได้คบหากับลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนร่วมรุ่น ตอนที่เธอเรียนจบสองครอบครัวยังได้ทำการหมั้นหมายกัน

แม่ของแฟนขึ้นชื่อเรื่องความใจบุญ นางชอบระดมทุนช่วยเหลือเด็ก คนพิการ คนยากไร้ ชาวบ้านชาวเมืองล้วนแต่เยินยอ สองตระกูลที่มีประวัติดีงามจะเกี่ยวดองกันมีแต่เรื่องน่ายินดี

เธอไม่ชอบงานที่ฟาร์มเท่าไหร่นัก ตอนเข้ามหาวิทยาลัยจึงเลือกเรียนสาขาบริหารจัดการ ไม่ใช่เพื่อกิจการที่บ้าน แต่เป็นเพราะคู่หมั้นแนะนำให้ศึกษาต่อทางด้านนี้

พี่มาร์คค่อนข้างเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัย มีผู้หญิงหลายคนมาชื่นชอบ แม้จะเปิดเผยกับทุกคนว่าพวกเรากำลังคบหากัน แต่ก็ยังมีคนเข้ามาพัวพันไม่หยุด

เพื่อมัดหัวใจเขา เธอถึงกับเก็บเสื้อผ้าย้ายไปอยู่หอเดียวกัน ละทิ้งความหัวโบราณ ยินยอมมีสัมพันธ์ทางกายต่อกัน โดยที่ยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ได้บอกกับคนทางบ้าน

ความสัมพันธ์ของพวกเราคืบหน้าไปได้ด้วยดี การอยู่ด้วยกันก็เหมือนเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราไม่เคยทะเลาะมีปากเสียงเหมือนคู่รักอื่น ส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นฝ่ายยินยอม ทำให้เราไม่ค่อยมีปัญหา

หลังจากที่จบการศึกษา พวกเราก็แต่งงานกันทันที พ่อแม่ของพวกเราทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นที่รู้จัก วันงานจึงมีแขกเหรื่อมากถึงสามพันคน สินสอดทองหมั้นก็ล้วนตระการตา พ่อซื้อบ้านราคาหลายล้านในเมืองให้เป็นเรือนหอ ส่วนพ่อกับแม่สามีก็มอบรถหรูให้เป็นของขวัญ

พาขวัญหลงยินดีความสุขในครั้งนี้ เรื่องราวมันช่างสมบูรณ์แบบราวกับภาพฝัน พระเอกนางเอกต่างได้ลงเอยใช้ชีวิตร่วมกัน

เพียงแต่ชีวิตไม่ใช่ละคร

การแต่งงานเป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังไม่ใช่ตอนจบ

ในด้านการทำงานสามีเดินตามรอยผู้เป็นพ่อที่เป็นนักการเมือง ส่วนเธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลเรือน

น้องสาวคนรองไม่ค่อยชอบหน้าสามี น้องสาวมักพูดว่าสามีมีผู้หญิงอื่น แต่ลักษณะงานของเขาต้องพบปะผู้คน จะให้ตามหึงหวงเหมือนสมัยเรียนคงไม่เหมาะ พวกเราเคยสัญญากันแล้วว่าจะเชื่อใจซึ่งกันและกัน เธอจึงไม่ค่อยชอบใจพฤติกรรมจับผิดของน้องสาวนัก บางครั้งก็ปัดไปคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้น้องสาวเข้ามาวุ่นวาย

จนปีที่ห้าของการแต่งงาน ที่บ้านเก่าก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ พ่อโดนหมายจับในคดีฉ้อโกงประชาชน ตอนที่ทราบข่าวครั้งแรกก็ถึงกับทรุด พ่อที่เธอรู้จักไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียเหมือนที่คนอื่นกล่าวหา ที่บ้านวุ่นวายเป็นอย่างมากน้องสาวโทรมาบอกว่าแม่เป็นลมวันละหลายรอบ ส่วนพ่อก็ถูกคุมตัวไป

วันนั้นเธอรีบเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดพร้อมสามี ขอให้เขาช่วยไปประกันตัวพ่อ แต่สถานการณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะมีผู้เสียหายอีกหลายคนเข้าแจ้งความ มันไม่ใช่คดีเล็กที่เป็นปัญหาของคนสองคนอย่างที่เธอเข้าใจ

พ่อสีหน้าไม่ค่อยดี เธอไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี พ่อในตอนนี้ดูแก่ชราลงมาก เมื่อสอบถามผู้เป็นพ่อก็ได้ความว่า หลายปีมานี้ทำธุรกิจกับเพื่อนคนนึง เป็นการเชิญชวนให้ผู้คนเอาเงินมาลงทุนกับกิจการของเพื่อน โดยมีปันผลที่เป็นดอกเบี้ยสูงเป็นสิ่งตอบแทน พ่อรู้จักคนเยอะเลยชักชวนคนมาได้เยอะ ซึ่งที่ผ่านมากิจการก็เป็นไปได้ด้วยดี เพิ่งจะมาไม่ปัญหาไม่กี่เดือนก่อนหน้า

ยิ่งได้ฟังสีหน้าของเธอและสามีก็ยิ่งแย่

พ่อโดนหลอกเสียแล้ว

อีกทั้งเพื่อนคนที่ว่าก็ดันหนีหายติดต่อไม่ได้ คาดว่าคงหอบเงินหนีการจับกุม

เรื่องค่อยๆ ลุกลามใหญ่โต เริ่มมีคนมาทำข่าว คนที่เสียเงินก็ออกมาทวงถามกับพ่อ

เดิมทีพาขวัญอยากยืนหยัดเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ตอนที่วิ่งวุ่นเตรียมเอกสารสติก็ดับวูบ ฟื้นอีกทีเธอก็มาอยู่โรงพยาบาลพร้อมกับผลการตรวจว่ากำลังตั้งครรภ์

คงเป็นเรื่องน่ายินดีหากทางบ้านไม่ได้กำลังเผชิญกับมรสุม อีกทั้งครรภ์นี้ก็ยังสุ่มเสี่ยง มีภาวะแท้งคุกคาม เรื่องของทางบ้านจึงต้องยกให้สามีช่วยจัดการ

แต่ใครจะคาดคิด พ่อที่แสนดีของเธอกลับยิงตัวตาย!

อีกทั้งก่อนตายยังใช้ปืนพรากชีวิตแม่และน้องสาวทั้งสองด้วยคนไปด้วย

พาขวัญวูบโหวงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกาย

ไม่อยากเชื่อว่าพ่อกับคนที่บ้านจะตายหมดแล้ว

เมื่อต่อสายหาสามีก็ไม่มีการตอบรับ เธอรอฟังข่าวจากเขาทั้งวันจนหมดความอดทน ถอดสายน้ำเกลือออกจากข้อมือด้วยตัวเอง แล้วออกจากโรงพยาบาลโดยยังไม่ได้รับอนุญาต

ช่วงเวลาพอดีกับที่สามีมารับ พอได้เห็นหน้าเขาความอัดอั้นตันใจมากมายก็ไหลหลั่ง ถามทั้งน้ำตาว่ามันเกิดเรื่องอะไรกับคนที่บ้านกันแน่

สามีตีหน้าเศร้า เขาบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เห็นในข่าว

พ่อ แม่ และน้องสาวทั้งสองคนไม่อยู่แล้ว

รวมถึงลูกในท้องก็จากไปเช่นกัน

พาขวัญปวดหน่วงที่ท้องน้อย จากนั้นก็รับรู้ถึงความอุ่นร้อนที่ค่อย ๆ ไหลลงมาจากต้นขา เธอพิงร่างแนบกับลำตัวสามีด้วยความอ่อนล้า

ทำไมพ่อถึงได้คิดสั้นด่วนจากกันไป

ทำไมพ่อถึงต้องพาแม่กับน้องสาวจากไปด้วย…

เธอคิดว่าเรื่องพวกนี้มันหนักหนา แต่ยังไม่เท่ากับความจริงที่ได้ทราบภายหลัง

สองปีหลังการจากไปของคนทั้งบ้าน เธอก็บังเอิญเปิดอีเมลเก่าที่ไม่ได้ใช้งานมานาน มันเป็นเมลที่เธอสมัครใช้งานกับน้องสาวคนรองครั้งแรก มีไม่กี่คนที่รู้อีเมลนี้ ในกล่องขาเข้ามีจดหมายที่ไม่ได้อ่านฉบับหนึ่ง วันที่ส่งคือวันที่เกิดเหตุเธอคาดว่าเป็นการตั้งเวลาส่งล่วงหน้า

เมื่อคลิกเข้าไปอ่านก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งกาย

สี่ชีวิตที่จบไปไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่เป็นการฆาตกรรม!

ถึงพี่ขวัญ

ถ้าพี่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้แปลว่าหนูอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้ มีรถขับเข้ามาในฟาร์มสองคันมันดูไม่น่าไว้ใจ ขอให้มันเป็นแค่เรื่องที่หนูคิดไปเอง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่บ้าน ขอให้พี่รู้ไว้ว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับพ่อแม่สามีของพี่ เอกสารที่ช่วยให้พ่อพ้นผิดหนูฝากไว้กับปู่แล้ว

พวกเรารักพี่

เพราะอีเมลก่อนตายจากน้องสาว ทำให้เธอต้องมาค้นหาความจริงด้วยตัวเองอีกครั้ง เอกสารสำคัญที่น้องสาวเก็บไว้อยู่ในเจดีย์เก็บอัฐิของปู่ ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งโกรธเคือง หลงซาบซึ้งในน้ำใจครอบครัวของสามีมาเสียนาน คิดว่าพวกเขาเป็นคนดี แต่ต้นเหตุของเรื่องก็ล้วนเป็นคนจากบ้านสามีทั้งนั้น

พาขวัญไม่คิดเลยว่าเงินจะทำให้คนเป็นถึงขนาดนี้ เพื่อปัดสวะให้พ้นตัวถึงกับต้องฆ่าแกงกัน กระทั่งสามีที่รักก็ยังมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย เขาอาศัยเส้นสายช่วยกันปกปิดความผิดให้แม่ตัวเอง

เธอย่อมรับไม่ได้กับเรื่องนี้ สี่ชีวิตที่ต้องสูญเสียไปพวกเขาต้องรับผิดชอบ

พวกเราทะเลาะกันครั้งแรกตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมา เธอมีหลักฐานพร้อมแล้ว คนบ้านเขาเตรียมตัวไปชดใช้กรรมกันในคุก

เพียงแต่เธอไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่พูด กระสุนปริศนาเจาะเข้าที่กะโหลกจากด้านหลัง เธอกลายเป็นวิญญาณเฝ้าเรือนหอ ได้แต่ลอยดูพวกคนชั่วเสพสุขบนกองเงินกองทองที่ฉ้อโกงคนอื่นมา

ชั่วช้าสามานย์กันทั้งโคตร!

พ่อสามีเป็นนักการเมืองมือไม่สะอาด เพื่อชื่อเสียงและอำนาจทำได้ทุกอย่าง

แม่สามีคือเจ้ามือแชร์ลูกโซ่ที่แท้จริง ครอบครัวของเธอต้องมาสังเวยชีวิตเพราะรู้มาก

กระทั่งสามีที่รัก ก็ยังยืนดูเธอถูกฆ่าจนตัวตายต่อหน้าอย่างเลือดเย็น

กว่าเธอจะได้รู้สันดานของคนพวกนี้มันก็สายไปเสียแล้ว พ่อ แม่ น้องสาว ตัวเธอเองและลูกต้องมาจบชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ตายไปพร้อมกับชื่อเสียงฉาวโฉ่

สวรรค์ไม่มีตา เวรกรรมไม่มีอยู่จริง

เพราะถ้ามี สัตว์นรกพวกนี้ย่อมไม่ได้เสวยสุขอย่างที่เป็นอยู่

แต่ละวันเธอได้แต่สาปแช่งขอให้พวกมันไม่ตายดี จนจิตวิญญาณจมดิ่งลงในความมืด ในตอนที่กำลังจะกลืนหายไปในห้วงอนธกาล ก็ได้มีแสงสว่างดวงหนึ่งมานำทาง

ชายใส่ชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอน ภาพมันดูเลือนรางเธอมองไม่ชัดว่าชายคนนี้คือใคร แต่เขาตรงมาที่เก็บอัฐิของเธอแล้วมาพูดคุยราวกับว่าสนิทสนมกัน

"ผมมารับแล้วนะขวัญ”

น้ำเสียงของเขานุ่มทุ่มฟังไม่คุ้นหูเลยสักนิด แต่ก็ดีใจเพราะนานมาแล้วไม่เคยมีใครเข้ามาพูดคุยกับเธอเลย เขาหยิบโกศที่ถูกปล่อยทิ้งมานาน หยิบผ้าเช็ดหน้ามาปัดเช็ดฝุ่น ที่กรอบรูปของเธอก็เช่นกัน เขาทำมันอย่างทะนุถนอม ราวกับว่าของที่อยู่ในมือคือสิ่งล้ำค่า

“คนชั่วพวกนั้นผมจัดการมันให้หมดแล้ว"

ว่าไงนะ จัดการแล้วเหรอ จัดการยังไงล่ะ

พวกคนชั่วหลายปีนี้ที่รู้จักก็มีแต่ครอบครัวสารเลวของสามีเท่านั้น ได้ฟังเขาพูดแบบนี้ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

"ผมให้มันตายแบบเดียวกันกับที่ขวัญและครอบครัวได้รับ”

พวกผู้ดีจอมปลอมตายแล้วงั้นเหรอ

“ทรัพย์สินของพวกมันผมไม่เหลือให้พวกมันใช้สักสลึงเดียว”

เงินที่มาจากการฉ้อโกงผู้คนแบบนั้นเอาไปชดเชยผู้เสียหายให้หมดเถอะ ถ้ายังมีเหลือก็บริจาคช่วยเหลือคนยากไร้ให้หมด

“ความเลวที่พวกมันทำชาวบ้านก็ได้รู้กันหมด จากนี้จะมีแต่คนสาปแช่ง”

พาขวัญอยากมองหน้าเขาให้ชัดเหลือเกิน ชายคนนี้คือใครกันแน่ หรือเขาก็จะเป็นหนึ่งในครอบครัวที่บ้านสามีทำชั่วช้าไว้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ได้แต่ขอบคุณแล้ว การมาของเขาทำให้ความหนักอึ้งภายใจจางหายไป

"ภพภูมินี้ได้จบลงแล้ว เกิดชาติหน้าก็อย่าตาบอดใจบอดเลือกผิดคนอีกล่ะ"

เธอจะจำให้ขึ้นใจ…

"ไปสู่สุคติเถอะนะ…"

ประโยคสุดท้ายของเขาเหมือนคำอำนวยพร ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง ทุกสิ่งอย่างขาวโพลน ภาพสุดท้ายก่อนที่จะเลือนหายไปคือสร้อยประคำไม้ที่มีพู่สีแดงประดับนั่นเอง

กลับมายังจุดเริ่มต้น

วันนี้ฟาร์มไก่นายปวีร์ครึกครื้นกันตั้งแต่เช้า เจ้าของฟาร์มกำลังร้องเพลงคลอเสียงวิทยุอย่างอารมณ์ดี พลางใช้สายยางฉีดรดน้ำต้นไม้บริเวณรอบตัวบ้าน เหล่าลูกจ้างช่วยกันลำเลียงไข่ไก่ที่เก็บไว้ในช่วงหลายวันมานี้ขึ้นรถ จุดมุ่งหมายคือการนำไปแจกจ่ายตามชุมชน ทำบุญทำทานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดลูกสาวคนโตของนายปวีร์

"พี่ขวัญ สุขสันต์วันเกิดตื่นได้แล้ว!"

เสียงเคาะประตูปัง ๆ ดังลั่นบ้าน ปลุกคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นจากนิทรา

พาขวัญเผลอขานรับเสียงเรียกนั้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหรี่มองแสงแดดที่ลอดผ่านม่านสีขาวเข้ามา เพียงแค่มุมเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นห้องนอนสมัยที่ตนยังเป็นนักเรียน

คิดถึงเหลือเกิน…

บรรยากาศเก่า ๆ ตอนที่เรายังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เธอถึงกับได้ยินเสียงพ่อร้องเพลงลูกทุ่งดังแว่วมา

หรือที่คนเขาบอกว่าตายแล้วขอให้ไปที่ชอบ ๆ ก็คือที่แบบนี้?

พอได้กลับมาที่บ้านของตัวเองอีกครั้ง ขนาดเสียงไก่ขันที่บ่นว่าน่ารำคาญทุกวันก็ยังรู้สึกว่าไพเราะขึ้นมา

สองเท้าเดินไปที่หน้าต่างด้วยความเคยชิน มือแหวกผ้าม่าน มองออกไปนอกบ้านก็เห็นพ่อกำลังเดินลากสายยางไปโดยรอบ พื้นหญ้าบริเวณนั้นเปียกฉ่ำปากก็ร้องเพลงโบราณสมัยคุณปู่คุณย่า

ไม่รู้ทำไมพอเห็นภาพนี้แล้ว ขอบตามันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา "พ่อ!"

เธอตะโกนออกไปไม่ได้หวังให้คนหูตึงได้ยิน เพราะมีเสียงรบกวนจากวิทยุและเสียงน้ำ แต่ใครจะคิดว่าคนที่ยิงตัวตายไปแล้วคนนั้นจะหันกลับมา ทั้งยังฉีกยิ้มจนเห็นฟันครบทั้งปาก "สุขสันต์วันเกิดคนสวยของพ่อ"

พอได้เห็นหน้าผู้ให้กำเนิดเต็มตาหยาดน้ำที่กลั้นไว้ก็พรั่งพรูลงมาเป็นสาย

นั่นคือพ่อของเธอ

พ่อยังไม่ตาย

พาขวัญวิ่งตึก ๆ ลงจากชั้นสอง วิ่งผ่านน้องสาวสองคนที่กำลังนั่งดูการ์ตูนยามเช้า กระทั่งดาริณที่กำลังยืนทำกับข้าวในครัวยังชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความประหลาดใจ ลูกสาวคนโตเสียอาการแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ๆ

ทั้งหมดเลิกสนใจธุระของตน พากันเดินตามคนที่ใส่ชุดนอนลายแมวสีชมพูไปนอกบ้าน

ด้านนอกพาขวัญกำลังกอดผู้เป็นพ่อพร้อมกับร้องไห้โฮ สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้คน

ปวีร์ตกตะลึงไปแล้ว เขาปล่อยสายยางทิ้งลงพื้น มือข้างหนึ่งวางบนไหล่ลูก อีกข้างยกขึ้นลูบศีรษะ ปากก็พร่ำบอกขวัญเอ้ยขวัญมา พลางส่งสายตาถามภรรยาว่าเกิดเรื่องอะไร ทำไมลูกสาวที่น่ารักถึงได้ร้องไห้หน้าแดงปาดจะขาดใจ

ฝ่ายภรรยาเองก็ไม่ทราบ แต่ตามเข้ามากอดปลอบลูกสาวเหมือนกัน

เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของพ่อและแม่พร้อมกันน้ำตาก็ยิ่งไหล ทั้งเสียใจและดีใจผสมปนเปกัน เนิ่นนานกว่าที่จะสงบสติอารมณ์ลง คนทั้งบ้านพากันเป็นห่วงตามกัน

"ใครทำให้อะไรให้ลูกแม่เสียใจเนี่ย" ดาริณนั่งกอดลูกสาวพลางใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อน

ตอนนี้ทุกคนได้เข้ามานั่งในบ้านแล้ว และอยากถามคนที่กำลังร้องไห้เหลือเกินว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไร

พาขวัญเมื่อได้ระบายจนพอใจก็เริ่มรู้สึกตัว ตรงนี้มีทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ทุกคนยังมีชีวิตมีลมหายใจ พวกเขากำลังพูดคุยและมองมาที่เธอด้วยความเป็นห่วง

พวกเขายังไม่ตาย!

เมื่อมองสำรวจสีหน้าของทุกคนของพบว่ายังแข็งแรงแจ่มใสดี เพียงแต่น้องสาวทั้งสองดูเด็กกว่าในความทรงจำ

ไม่ใช่ว่าทุกคนจากกันไปหมดแล้วเหรอ?

ทำไมทุกคนยังมานั่งพูดคุยกับเธอ ยังมองมาที่เธอด้วยสายตาเป็นห่วง เธอยังรับรู้ถึงการสัมผัส ยังรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของพ่อแม่ได้ หรือว่าเรื่องร้ายนั่นคือความฝัน

ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ!

"พี่ขวัญเสียใจที่พ่อจะเอาไข่ไก่ไปแจกคนอื่นเหรอ"

พาดาในวัยเจ็ดขวบเอ่ยถาม เด็กน้อยก็รู้สึกปวดใจเหมือนกันเพราะตื่นเช้าไปช่วยเก็บไข่ทุกวัน อยากฟักไข่ เพราะชอบให้ในฟาร์มมีไก่น้อยตัวสีเหลือง พวกมันน่ารักทั้งยังยอมให้อุ้มอีกด้วย

"แจกไข่เหรอ?"

"ใช่…เดี๋ยวเราจะไปแจกไข่เนื่องในวันเกิดพี่กัน"

พาเพลินช่วยเสริม รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเจ้าของวันเกิดเสียอีก เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวเอาไข่จำนวนมากไปแจกจ่าย ก่อนหน้านี้ก็แจกที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน คุณครูดีใจมากดีได้ประหยัดงบอาหารกลางวัน ถึงจะเรียนจบชั้นประถมปีที่หกมาแล้ว แต่ก็ยังมีรุ่นน้องในโรงเรียนที่คิดถึง

จำได้แล้ว!

พาขวัญร้องอ๋อในใจพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันวาน

ตอนที่เธออายุใกล้ครบสิบเจ็ดปี มีหมอดูคนหนึ่งทำนายทายทักมากับพ่อว่า เธอกำลังจะมีเคราะห์ ให้รีบสั่งสมบุญกุศลทำบุญทำทานให้มาก สิ่งที่ร้ายจะได้กลายเป็นดี

ตัวเธอเองในขณะนั้นยังหัวเราะเยาะ บอกว่าพ่อจะไปเชื่ออะไรกับคำพูดของหมอดู หมอดูก็แค่หมอเดา เธอไม่ได้สอบถามพ่ออย่างละเอียดว่าหมอดูทำนายไว้อย่างไร แต่ปรากฎว่าปีนั้นพ่อเอาไก่ไข่จากฟาร์มไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านตามชุมชนเป็นจำนวนหลายพันฟอง ทั้งยังคะยั้นคะยอให้เธอเดินทางไปช่วยแจกจ่ายด้วย ในตอนนั้นเธอไม่ได้ไป ปล่อยให้พ่อกับคนที่บ้านไปทำบุญกัน ส่วนตัวเองไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อน

พอมาคิดดูแล้ว สิ่งที่หมอดูทำนายไว้อาจเกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นพ่อผู้มีความคิดแสนธรรมดา จะหาเรื่องทำบุญให้ใหญ่โตไปทำไมกัน อย่างดีมากก็แค่พาเข้าวัดไปถวายสังฆทานอย่างทุกที

นี่ก็เท่ากับว่าเธอได้กลับมาใช้ชีวิตในตอนอายุสิบเจ็ดอย่างนั้นหรือ

พาขวัญไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อลองจิกต้นขาตัวเองก็พบว่ารู้สึกเจ็บจริง ไม่ใช่ความฝัน

มันเหลือเชื่อที่ฟ้าให้โอกาสให้เธอได้กลับมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต

"แล้วลูกร้องไห้ทำไม พ่อกับแม่ตกใจไปหมดแล้ว" น้ำเสียงของแม่ยังอ่อนโยนเหมือนในความทรงจำ

"หนูว่าพี่อกหักแน่ ๆ " พาเพลินกล่าวอย่างมั่นใจ สร้างความหมั่นไส้ให้คนเป็นพี่เป็นอย่างมาก แก้มพองกลมโดนบีบไปหลายที แต่ก็ไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองให้คนเป็นน้อง

กลับดีใจเสียอีกที่พี่สาวยอมหยอกล้อกับตน

"หนูฝันร้ายค่ะ ฝันว่าพ่อแม่กับน้องตา…ไม่อยู่แล้ว" พาขวัญเกือบหลุดคำว่าตายออกมา แต่ก็รีบกลืนคำที่ไม่มงคลนั้นไปเสียก่อน

"มันเหมือนจริงมากหนูเลยเสียใจ"

รสชาติการสูญเสียนั้นยังติดอยู่ในใจ เธอไม่มีทางลืมความรู้สึกตอนที่รู้ว่าทุกคนจากไป

ไม่มีใครหัวเราะเยาะกับสิ่งที่เธอพูด พวกเขานั่งฟังอย่างสงบ นี่คือคนที่รักและห่วงใยจากใจจริง กลุ่มคนที่เธอมองข้ามความรู้สึกในชาติก่อน

คนเป็นพ่อเป็นแม่รับรู้ถึงคลื่นอารมณ์ของลูกสาว เสียงร้องไห้เมื่อครู่มันยังบีบคั้นหัวใจของคนฟังไม่หาย ทั้งสองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ผลัดกันปลอบประโลมลูกสาวคนโตด้วยใจที่เป็นห่วง

เดิมทีคิดจะแจกไขไก่ไม่กี่พันฟอง แต่พอเห็นว่าลูกสาวฝันร้ายมีเรื่องไม่สบายใจ จำนวนไข่ที่จะบริจาคก็พุ่งทะลุไปหลักหมื่นเสียแล้ว วันนี้แจกไม่หมดก็แจกวันอื่น ขายได้น้อยหน่อยก็ไม่เสียดาย ใครใช้ให้เผลอไปฟังคำทายทักจากคนผู้นั้นมา จะเมินเฉยก็รู้สึกไม่สงบใจ ใครต่อใครก็พูดว่าหมอดูคนนี้ทำนายได้แม่นนัก

"ไม่เป็นไรแล้วนะลูก"

"แม่กับพ่อยังอยู่"

"พวกเราก็อยู่"

พาขวัญมองทุกคนด้วยความตื้นตัน ดีเหลือเกินที่มีครอบครัวอยู่เคียงข้าง

สวรรค์ให้โอกาสแล้ว

ชาตินี้พวกเขาคือสิ่งสำคัญที่สุด เธอจะไม่ทำตัวเหลวไหลเหมือนชีวิตก่อน ความรักหนุ่มสาวที่ไร้สาระ กับสามีคนนั้นจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกเป็นอันขาด ชีวิตต่อจากนี้ก็เพื่อสี่คนนี้เท่านั้น เธอจะปกป้องพวกเขาทั้งหมดเอง

พาขวัญเช็ดน้ำตา กลับขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เธอจะไปทำบุญร่วมกับคนที่บ้าน

บาปบุญเธอนั้นล้วนเห็นมากับตา เผชิญมากับตัว

บางทีการที่เธอสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง อาจเป็นผลบุญจากชาติปางก่อนที่เคยสั่งสมไว้ก็เป็นได้

แจกไข่ไก่

เพื่อทำบุญวันเกิดพ่อทุ่มทุนให้ลูกสาวที่เอาแต่ใจอย่างเธอเป็นอย่างมาก ทำไมหนอ…ชาติที่แล้วเธอจึงไม่ให้ความสำคัญกับคนที่บ้าน วันเกิดตัวเองก็ไม่ยอมใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

แผงไข่มากมายถูกเคลื่อนย้ายขึ้นบนรถอย่างระมัดระวัง เพื่อความสะดวกในการแจกจ่าย ทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในแผงกระดาษ ไม่ต้องกลัวว่าไข่จะได้รับความเสียหาย นี่เป็นแผงไข่อย่างดีที่ถูกทำมาใช้ทดแทนแผงพลาสติก เป็นโครงงานของนักเรียนโรงเรียนอะไรสักอย่าง พ่อพูดมันหลายครั้งแต่เธอดันใจลอยไม่ได้ตั้งใจฟัง

“วันนี้พี่ดูเปลี่ยนไป”

น้องสาวทั้งสองพากันมองมาอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเธอสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ปกติเธอจะชอบสวมใส่กระโปรง แต่งตัวเรียบร้อยอ่อนหวาน

ทั้งสองเคยเห็นเธอในรูปแบบทะมัดทะแมงที่ไหน

“แต่หนูชอบพี่สาวที่เป็นแบบนี้จัง”

“ดูไม่เป็นลูกคุณหนูแล้ว”

พาเพลินกับพาดา พากันวิจารณ์การแต่งตัวคนเป็นพี่ต่อหน้า เมื่อก่อนพี่สาวแต่งตัวสวยก็ดีอยู่หรอก แต่เวลาแต่งสวยพี่สาวจะไม่ยอมมาเล่นสนุกด้วยกัน พวกเธอจึงรู้สึกว่าแต่งแบบนี้ดีกว่านั่นเอง

ด้านคนเป็นพี่ก็หลุดยิ้ม เมื่อก่อนเธอทำตัวแบบนั้นจริง ๆ เชิดหน้าชูคอทั้งที่คนที่บ้านล้วนแต่เป็นคนติดดิน เธอยังเคยรบเร้าให้พ่อสร้างบ้านใหม่เพราะรังเกียจบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้หลังนี้ รวมถึงยังอยากให้พ่อซื้อรถใหม่ไว้ใช้รับส่งตัวเองไปโรงเรียนอีกด้วย

ช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจเสียจริง

ทั้งที่เป็นแบบนี้ แต่พ่อก็ยอมทำทุกอย่างตามที่เธอขอในชาติที่แล้ว เพราะอย่างนี้หรือเปล่าพ่อถึงต้องขวนขวายเงิน เพื่อที่จะให้ลูกของตัวเองเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ต้องอับอายเมื่อพูดคุยกับเพื่อน

เธอเองก็เป็นเหตุที่ทำให้ครอบครัวต้องประสบเภทภัย ถ้าคิดจะเปลี่ยนก็ต้องเป็นเธอคนแรกที่เปลี่ยน

"แน่ใจนะว่าไม่ไปกับเพื่อน"

"แน่ใจค่ะ วันนี้หนูจะไปแจกไข่กับพ่อ" ทั้งที่เป็นการทำบุญในวันเกิดของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครบีบบังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่ชอบ

พวกเขานึกถึงความรู้สึกของเธอเสมอ พาขวัญได้แต่สัญญากับตัวเองว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยก็แบ่งทีมกัน แม่ไปกับน้องสาวสองคน ส่วนเธอขึ้นรถไปกับพ่อ จุดหมายแรกคือย่านชุมชนใกล้บ่อนชนไก่ พ่อบอกว่าตรงนี้คนอาศัยอยู่มาก เจ้าของร้านขายของชำที่รู้จักแนะนำมา บอกว่ามีหลายครอบครัวค่อนข้างลำบาก

ไข่ไก่ท้ายกระบะมีประมาณสองร้อยกว่าแผง พ่อตัดสินใจจะมอบให้ครอบครัวละหนึ่งแผงไปเลย

พาขวัญพยักหน้า ในใจก็แอบคิดว่าพ่อจะรู้ได้ไงครอบครัวไหนเป็นใคร ตอนคิดจะมาแจกก็ไม่ได้ติดต่อกับผู้ใหญ่บ้านไว้ก่อน พอโทรเชิญมาอีกฝ่ายก็ติดธุระเสียแล้ว

แล้วมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้

บางบ้านหอบลูกหอบหลานซ้อนมากันเป็นแถว แบบนี้ของที่มอบให้มันก็จะไปกระจุกอยู่ที่บางครอบครัว คนเห็นแก่ตัวก็มีอยู่ทุกที่ ถึงจะมาทำบุญแต่เธอก็ไม่ยอมให้เอาเปรียบ

ตอนที่กำลังใช้ความคิด สายตาเหลือบเห็นพวกเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มอยู่ใกล้จุดแจกของ พาขวัญเดินเข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้น

"นี่บ้านพวกเธออยู่แถวนี้รึเปล่า"

เหล่าเด็กน้อยปกติก็ซุกซนเกเรกันไปทั่ว วันนี้พอมีพี่สาวคนสวยพูดเพราะ เข้ามาทักทายก็รู้สึกประหม่าพยักหน้ากันงึกงัก

"แล้วรู้พวกเธอรู้จักพวกคนที่กำลังเข้าแถวรับไข่ไก่ตรงนั้นมั้ย" หญิงสาวชี้ไปทางที่รถกระบะของตนจอดอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มทำการแจกจ่าย

"รู้ ๆ นั่นป้านิด ป้าแวว ยายแดง พี่ชัย กิ่งแก้ว น้าหวาน…" หลายชื่อถูกร่ายออกมาจากปากของเด็กน้อย มีบางคนที่พวกเขาไม่รู้จักก็ช่วยกันนึก

พาขวัญยิ้มหวานหยด รู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายแล้ว

"งั้นพี่สาวขอจ้างเด็ก ๆ ให้ไปช่วยงานได้มั้ย ไปช่วยพี่สาวแจกไข่ไก่ แล้วเดี๋ยวจะให้เงินค่าขนมกันทุกคน"

"ได้..อุ๊บ" เด็กคนหนึ่งที่ได้ยินว่าจะได้เงินรีบตอบรับ แต่ว่าคนที่เหมือนจะเป็นหัวโจกภายในกลุ่มรีบตะครุบปากเขาไว้เสียก่อน ทั้งห้าคนจับมือกันไปคุยกันที่มุมหนึ่ง เหมือนกำลังตกลงบางอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินมาหา

"พวกเราคุยกันแล้วว่าจะยอมรับงาน"

"อื้อ..เยี่ยมไปเลย"

"แต่ว่า..พวกเราไม่เอาแบงก์ยี่สิบนะ พวกเราขอแบงก์ร้อย" ทั้งหมดยื่นข้อต่อรอง ท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจนั้นทำเอาพาขวัญแอบหัวเราะในใจ แต่เธอก็โตพอที่จะไม่แสดงท่าทีออกมา ซ้ำยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความคิดของพวกเขาอีกด้วย

"ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว…แต่พวกเธอต้องช่วยพี่สาวจับคน"

"จับยังไงอ่ะ" เหล่าลูกจ้างตัวน้อยทำหน้าฉงน

"เดี๋ยวเราจะแจกไข่ให้บ้านละหนึ่งแผง ถ้าบ้านไหนได้รับไปแล้วเราก็ไม่แจกให้ พอจะทำกันได้มั้ย พวกเธอบอกว่ารู้จักทุกคนนี่"

"อ้อออ…พวกเรารู้" เหมือนว่าจะเข้าใจกันแล้ว แววตาของลูกจ้างจับจ้องไปยังแถวที่เริ่มยาวอย่างหมายมาด

พาขวัญกลับมาที่ท้ายรถกระบะพร้อมกับกลุ่มเด็กน้อย ซึ่งตอนนี้พ่อผู้แสนใจดีกำลังยืนเหงื่อตกเพราะจำนวนคนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็เห็นได้ชัดว่าเป็นบ้านเดียวกัน พ่อกำลังลำบากใจ

"ขอให้อยู่ในความสงบกันด้วยนะคะ เนื่องในวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด พ่อกับหนูเลยเอาไข่ไก่จากฟาร์มมาแจก แต่เพราะคนมีจำนวนมาก เราจะแจกให้ครอบครัวละหนึ่งแผงเท่านั้น ถ้าทุกคนรับทราบแล้วก็ขอให้ตั้งแถวใหม่ตรงนี้"

ตรงนี้ก็คือตรงหน้าพาขวัญและกลุ่มเด็กน้อย ที่มายืนเป็นผู้ช่วยอย่างขยันขันแข็ง

ชาวบ้านบางคนได้ฟังก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย มีของฟรีมาให้ถึงที่ใครบ้างจะไม่อยากได้ แต่ก็ยังมีบางคนที่หัวใสให้เมียมายืนหัวแถว ส่วนสามีไปต่อท้ายแถว ทำแบบนี้คิดว่าจะรอดพ้นสายตาและความจำอันดีของกลุ่มเด็กน้อยไปได้ เด็กน้อยตะโกนบอกเสียงดังว่าบ้านนี้ได้แล้ว พวกเขาจำได้ ทำให้ผู้ใหญ่บางคนต้องขายขี้หน้าแล้ว

แจกเสร็จแล้วทุกคนก็มานั่งพักที่ร้านค้าชุมชน พาขวัญซื้อไอศกรีมแจกผู้ช่วยตัวน้อยที่ยืนช่วยกันเกือบหนึ่งชั่วโมง ซ้ำยังทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด

"พวกเอ็งก็เป็นเด็กดีกับคนอื่นเขาได้นี่นา"

เจ้าของร้านขายของชำเอ่ยชม ปกติเจ้าพวกนี้ก่อแต่เรื่อง ยิงนกตกปลา วันดีคืนดีก็ไล่จุดปะทัดแกล้งหมา ตอนเข้าร้านมาซื้อของยังต้องคอยระวังกลัวว่าจะหยิบขโมยของด้วยซ้ำ

ทางด้านคนที่ได้รับคำชมเป็นครั้งแรกก็นั่งสงบเสงี่ยมกันที่โต๊ะหินอ่อน ในมือมีไอศกรีมคนละหนึ่งแท่ง

เมื่อเห็นเด็ก ๆ กินกันเสร็จแล้ว พาขวัญก็หยิบแบงก์สีแดงที่ได้เตรียมมา เธอยื่นไปตรงหน้าคนที่เป็นหัวโจกก่อน เด็กน้อยยื่นมือมารับอย่างว่องไว แต่เมื่อเห็นสายตาของเธอเด็กน้อยสงบลง พนมมือขึ้นกลางอกแล้วพูดว่าขอบคุณครับ

ท่าทางอ่อนน้อมทำให้พวกผู้ใหญ่ยิ้มเอ็นดู พาขวัญไล่แจกไปทีละคนจนครบ เด็กน้อยยกมือไหว้แล้วกล่าวขอบคุณตามลูกพี่ ใบหน้าของทุกคนที่ได้รับค่าตอบแทนประดับไปด้วยรอยยิ้ม ต่างรีบเก็บเงินที่ได้ใส่กระเป๋าของตนเองในทันที

"จะเอาไปซื้ออะไรกันบ้างเหรอ" เธอไม่ได้อยากรู้ แต่แค่นึกเอ็นดูการแอบซ่อนเงินไว้ในจุดต่าง ๆ ของเด็กน้อย

คำตอบก็เป็นไปตามคาด ซื้อขนมซื้อของเล่น แต่มีตัวน้อยที่สุดในกลุ่มพูดว่าจะเอาไปซื้อนมให้น้อง จึงอดถามไม่ได้ว่าตอนนี้น้องของเจ้าตัวกี่ขวบแล้ว

"น้องยังเดินไม่ได้ ร้องกินนมทั้งวัน" น้องยังเล็กนี่เอง แม่ของเจ้าเด็กคนนี้เลยไม่มีเวลามาดูแลเจ้าพวกเกเรน้อยทั้งหลาย

เมื่อพูดคุยกันสักพักก็เตรียมแยกย้าย แต่พาขวัญก็นึกได้ถามพวกเด็ก ๆ ว่าที่บ้านได้รับไข่ไก่ไปแล้วหรือยัง ทุกคนพยักหน้าบอกว่าคนที่บ้านรับไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าตัวเล็กที่แม่ต้องเลี้ยงน้องนั่นเอง

พาขวัญอาสาเอาไข่ไปส่ง ทั้งยังให้เด็กน้อยขึ้นรถมาพร้อมกัน

บ้านของเด็กน้อยอยู่ท้ายชุมชน เป็นห้องแถวขนาดเล็กที่มีหลายห้องเรียงต่อกัน มาถึงก็ตะโกนเรียกแม่เสียงดัง ถือแผงไข่ไก่ไปห้องริมสุดด้วยตัวเอง เมื่อประตูเปิดออกพาขวัญก็ได้เห็นหน้าแม่ของเด็กชาย ที่ดูยังไงก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวเอง

ถึงกับลูกสองแล้วนี่นะ!

ชาติก่อนเธอก็แต่งงานไปตั้งหลายปี ยังไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

สายตาเหลือบเห็นกระป๋องนมข้นหวานหน้าห้องพัก ไม่ได้มีแค่กระป๋องเดียวแต่วางเรียงกันเป็นแถว ทั้งหมดถูกเปิดใช้จนเหลือแค่กระป๋องเปล่า ในใจก็ได้แต่แอบภาวนาว่านมที่เจ้าเด็กน้อยจะซื้อให้น้องคงไม่ใช่นมข้นหวานพวกนี้

"พี่สาวยังมีไข่อีกมั้ยครับ"

"ทำไมเหรอ" ในรถก็ยังมีเหลืออีกสองแผง ถ้าเจ้าเด็กคนนี้อยากได้จะให้ก็แล้วกัน

"บ้านยายก็ยังไม่ได้ไข่ไก่ครับ" มือน้อยชี้ไปทางห้องเช่าที่อยู่ตรงกลาง ด้านหน้าประตูมีผ้าที่เพิ่งซักแขวนไว้เต็มราวตาก น้ำยังไหลเปียกเป็นทางยาว

พาขวัญเห็นชุดพละจากโรงเรียนเดียวกันกับตัวเองแขวนอยู่บนราว จากสีเสื้อคงเป็นนักเรียนชั้นม.ปลายสักคน เธอไม่คิดว่าจะมาเจอบ้านเพื่อนในโรงเรียนเดียวกัน ถ้าได้เห็นจำนวนดาวที่ปกเสื้อคงรู้ว่านักเรียนคนนี้อยู่ชั้นไหน แต่เธอก็ไม่ได้อยากสอดรู้เรื่องชาวบ้านมากนัก หันหลังไปหยิบแผงไข่ท้ายกระบะส่งให้เด็กชายช่วยจัดการ พร้อมกล่าวอำลาและขอบคุณที่ช่วยงานเธอในวันนี้

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น