ในช่วงภาวะไวรัสระบาดแบบนี้เรียกว่าเกิดผลกระทบกันไปทั่วโลกนะครับ มันส่งผลกระทบไปทุก ๆ วงการ ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง การกีฬา เรียกว่าพังกันไปแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะการไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก็ทำให้บางคนต้องเจอกับภาวะวิกฤต หากไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากทางภาครัฐก็แทบที่จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย หนักหน่อยก็อาจจะถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายลาโลกกันไป ตามที่เราอาจจะพบเห็นข่าวอยู่ทุกวัน
แต่สำหรับในญี่ปุ่นนั้น ปัญหาเรื่องการฆ่าตัวตายในช่วงไวรัสระบาด กลับลดต่ำลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนที่มีการระบาดของไวรัสสูงที่สุดจนมีคำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ การฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นลดต่ำลงถึง 20% ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ ? ทั้ง ๆ ที่ช่วงนี้ออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำงานก็ไม่สะดวก ใครทำร้านทำธุรกิจก็แทบจะต้องปิดตัวแท้ ๆ
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสถิติการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากความเครียด ไม่ว่าจะเป็นความเครียดในการทำงาน ความเครียดในด้านการเรียน ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง รวมไปถึงการแข่งขันทางสังคม ตั้งแต่สงครามการสอบแข่งขันในหมู่เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ต้องแข่งขันกันทำผลงานในการทำงาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความเครียด และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด
พอเกิดไวรัสระบาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือไวรัสนั่นกระทบกับการดำเนินชีวิตแบบเดิม ๆ จากเดิมที่ต้องไปทำงาน หลาย ๆ บริษัทก็เปลี่ยนเป็นการทำงานจากที่บ้าน ลดการเข้าบริษัทลง ทำให้การพบปะสังสรรค์ระหว่างพนักงาน ลูกน้อง-เจ้านายก็ลดลง
ขณะที่นักเรียนต้องหยุดอยู่กับบ้านเป็นเวลานาน เพราะโรงเรียนยังไม่สามารถเปิดได้ ปกติสถิติการฆ่าตัวตายของนักเรียนที่สูงมากที่สุดก็จะเป็นช่วงที่โรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมใหม่ ๆ นี่แหละครับ จะมีนักเรียนอยู่จำนวนหนึ่งที่กลัวการไปโรงเรียนหลังจากปิดเทอมยาว เพราะว่าจะถูกเพื่อนกลั่นแกล้งหนักจนทนไม่ไหว
ซึ่งทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสระบาดที่ทำให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ก็กลับกลายเป็นการเป็นการบังคับให้ทุกคนได้อยู่กับบ้าน ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น มีเวลาที่จะพูดปัญหาที่ตัวเองเก็บไว้กับคนในครอบครัว พ่อแม่ลูกที่ปกติไม่ค่อยได้คุยกันก็ได้คุยกันมากขึ้น
ส่วนพนักงานบริษัทในช่วงนี้การทำงานก็จะเปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันกันในหมู่พนักงานก็น้อยลง แถมยังได้เจอกันน้อยลง บ้างก็เจอกันแต่ในหน้าจอ ทำให้บรรยากาศความเครียดจากการทำงานนั้นหายไป และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้การฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นนั้นลดลงมากในช่วงนี้ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้การฆ่าตัวตายจะลดลง แต่นี่ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะมันทำให้คาดการณ์ได้ว่า ถ้าเกิดกลับไปสู่ภาวะปกติหลังจากนี้ สถิติการฆ่าตัวตายก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว การทำงานที่เคยหยุดชะงักไป เมื่อต้องกลับมาทำงานอีกครั้งก็จะกลับมาตึงเครียดมากกว่าเดิม เพราะงานจะหนักและเครียดขึ้นเป็นเท่าตัว
เช่นเดียวกับนักเรียน หลังจากที่หยุดไปนาน เมื่อกลับมาก็อาจจะพบเจอการกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแม้การฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นจะลดน้อยลงทุกปี แต่การฆ่าตัวตายในหมู่เด็กและเยาวชนนั้นกลับเพิ่มสูงขึ้นในระยะหลัง ๆ
นอกจากนั้นในช่วงที่ไวรัสระบาดนี้ ก็เกิดคดีฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจหลายคดี หนึ่งในคดีที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดก็คือคดีของเจ้าของร้านหมูทอดทงคัตสึแห่งหนึ่งในโตเกียว ซึ่งเป็นร้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี ร้านนี้แม้จะมีปัญหาเรื่องการเงินอยู่บ้าง แต่ก็ยังประคับประคองมาได้จนถึงปีนี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับร้านของเขา
เพราะเจ้าของร้านวัย 54 ปีเป็นคนที่ชอบการวิ่งมาราธอนมาก พอเขาได้ยินว่าญี่ปุ่นมีการเปิดรับสมัครคนวิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิกในแต่ละเขตของญี่ปุ่น เขาก็เลยสมัครไปหลายรอบ ทั้งให้ลูกและภรรยาช่วยเขียนใบสมัคร และสุดท้ายก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกสมใจ ซึ่งเจ้าตัวก็ดีใจมาก โพสต์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กส่วนตัวของเขาว่ามันคือ “ความฝันที่เป็นจริง” เขากำลังจะได้วิ่งถือคบเพลิงผ่านเขตเนริมะ ในวันที่ 18 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เขาจะใช้มันเป็นการโปรโมตร้านทงคัตสึของเขา และมั่นใจว่าร้านของเขาจะต้องกลับมาขายดิบขายดีอีกครั้งอย่างแน่นอน โอลิมปิกครั้งนี้คือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
แต่ก็เป็นอย่างที่ทุกคนรับทราบ ว่าโอลิมปิก 2020 ถูกเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า เนื่องจากการระบาดของไวรัส จากที่เขาคาดหวังว่าการวิ่งถือคบเพลิงจะทำให้ร้านกลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะยอดขายของร้านยิ่งตกลงเรื่อย ๆ แต่เจ้าของร้านก็ยังประกาศที่จะสู้ “แม้จะไม่ได้วิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิกแล้ว แต่ฉันจะตั้งใจทำอาหารให้ดีที่สุดเป็นการชดเชย”
แม้ใจจะสู้ แต่สุดท้ายแล้วร้านของเขาก็ต้องถูกปิดลงเนื่องจากการประกาศภาวะฉุกเฉินในโตเกียว เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ร้านที่ปกติก็ประสบภาวะขาดทุนอยู่แล้ว เมื่อเจอการที่ต้องปิดร้านเพราะการระบาดของไวรัสเข้าไปอีก หนี้สินก็ท่วมท้นจนเขาไม่สามารถกลับมาขายทงคัตสึได้อีกต่อไป
เจ้าของร้านทงคัตสึแห่งนี้จึงตัดสินใจราดน้ำมันและจุดไฟเผาตัวเองเสียชีวิตในร้านทงคัตสึของเขา พร้อมกับจดหมายที่ว่า “เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ไม่ไหวแล้ว” โอลิมปิกที่ควรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขากลับถูกไวรัสเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตในช่วงเวลาไม่กี่เดือน
การระบาดของไวรัสในครั้งนี้นั้น สร้างความเสียหายให้กับสังคมเป็นอย่างมาก แม้ว่าสถิติการฆ่าตัวตายในบางที่จะลดลง แต่มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลยครับ มันแค่ชะลอปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ เพื่อรอวันที่จะปะทุออกมา ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อวันนั้นมาถึง แล้วเราจะพร้อมรับมือกับมันหรือไม่ …
อ้างอิงข่าวจาก headlines yahoo
ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ
ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม
Facebook :Eak SummerSnow
Youtube : Eak SummerSnow
ความเห็น 15
Mac
ใครที่บอกญี่ปุ่นดีอย่างโน้นอย่างนี้ จะบอกว่าไทยนี่ดีกว่าหลายเท่าตัว ญี่ปุ่นตึงเกินไป อะไรที่ตึงเกินไปมันก็ต้องขาดสักวัน คนทำงานญี่ปุ่นถึงเครียดฆ่าตัวตายเป็นว่าเล่น
23 พ.ค. 2563 เวลา 06.09 น.
กำลังใจคือสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยทำให้สภาวะของทางจิตใจดีขึ้นมาได้บ้าง.
23 พ.ค. 2563 เวลา 06.21 น.
คนประเทศนี้ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ เป็นธรรมดาที่เขาจะเครียดตาม
23 พ.ค. 2563 เวลา 09.14 น.
K:
ใครอยากให้ไทยเยียวยาคนเหมือนญี่ปุ่น ถามก่อนมึงจ่ายภาษีเท่าญี่ปุ่นไหม ญี่ปุ่นภาษีโหดพอสมควร
23 พ.ค. 2563 เวลา 15.23 น.
พังระนาวฉิบหายทั่วถึงมิต่างจากโนมิโนล้ม
23 พ.ค. 2563 เวลา 05.26 น.
ดูทั้งหมด