โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

4 ช่วงเวลาสำคัญของชีวิต - เพจบันทึกนึกขึ้นได้

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 07 พ.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • เพจบันทึกนึกขึ้นได้

ที่สุดแล้วในการมีชีวิต จะมีช่วงเวลาสำคัญ ๆ 4 ช่วง ที่เราต้องเคยผ่าน

หรือตกอยู่ในช่วงนั้น จนกว่าจะได้เดินทางไปถึงช่วงเวลาถัดไป

บางช่วงเรามีความสุขกับมัน บางช่วงเราไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้

ระหว่างที่อ่านข้อความถัดจากนี้ ผมอยากให้คุณถามตัวเองเบาๆ

ว่าตอนนี้เรากำลังเดินทางอยู่ในช่วงไหนของชีวิต

ยังอยากอยู่ที่จุดนี้ไหม แล้วจะก้าวต่อไปยังช่วงเวลาถัดไปอย่างไร

ช่วงที่ 1 : Mimicry - เวลาของการลอกเลียนแบบ

ช่วงเวลานี้เขานับตั้งแต่เราเกิดมา ตอนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ชี้นิ้วสั่งใครไม่ได้

หาข้าวกินเองก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนอื่นที่ดูแลเรา

แต่พอเราโตขึ้นมาหน่อย พฤติกรรมของเรา

เริ่มเปลี่ยนไปตามการเรียนรู้

ผ่านการเลียนแบบคนอื่นรอบ ๆ ตัว

แรก ๆ ก็เริ่มจากทักษะทางกายภาพก่อน 

เช่น หัดเดิน หัดพูด

ต่อจากนั้นเราก็เริ่มพัฒนาทักษะการเข้าสังคม

จากการดูว่าคนรอบ ๆ ตัวเราเนี่ยเค้าอยู่ในสังคมกันยังไง เราสังเกต แล้วก็ดูว่าควรจะเข้าหา

วิธีเข้าไปอยู่กับพวกเค้า

ผ่านพวกธรรมเนียม หรือกฏอะไรต่าง ๆ

แล้วก็พยายามทำตัวไปตามนั้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม

เป้าหมายของช่วงเวลานี้คือ มันจะสอนเราว่าควรจะปรับตัวอย่างไร

เพื่อที่จะดูแลตัวเองได้ แล้วก็อยู่ในสังคมได้

ซึ่งผู้ใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราจะเป็นตัวช่วยให้เราผ่านจุดนั้นไปได้

โดยการ Support เราให้เรามีความสามารถในการตัดสินใจ

แล้วก็เลือกที่จะทำอะไรด้วยตัวเราเอง

แต่จะว่าไป

เราก็เลือกไม่ได้ว่าคนรอบตัวเราที่เราจะเลียนแบบนั้น น่าเลียนแบบจริงมั้ย

ซึ่งบางทีพวกเขาไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเท่าไหร่

จะโทษพวกเค้าก็ไม่ได้ว่าเพราะการที่พวกเขาไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีในการเลียนแบบ

หรือไม่ได้ช่วยเราในการพัฒนาทักษะของช่วงเวลานี้

ทำให้เราติดอยู่ในด่านนี้ แล้วก็เลียนแบบพวกเค้าต่อไป แบบที่ไม่ได้น่าเอาอย่าง

แต่ไม่มีแบบที่ดีให้ดู

กลายเป็นคนที่ตามใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

เพราะเราต้องการการยอมรับจากพวกเค้า

ช่วงเวลาที่ 1 นี้จะอยู่กับเราจนกระทั่งช่วงวัยรุ่นตอนปลาย

จนถึงช่วยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่สำหรับบางคนอาจกินเวลานานกว่านั้น

บางคนตื่นมาตอนอายุ 45 แล้วยังพบว่า'

เค้าไม่เคยได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการเลย

แล้วก็มานั่งสงสัยว่า 40 กว่าปีที่ผ่านมามันหายไปกับอะไร

ช่วงเวลาที่ 1 นี้ เราต้องระมัดระวังเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม หรือการคาดหวังต่าง ๆ รอบตัว

แถมยังต้องทำตัวให้ปกติ แล้วก็ไหลตามไปตามสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น

ช่วงที่ 2 SELF-DISCOVERY – การค้นหาตัวเอง

มันคือการเรียนรู้ที่จะแตกต่างจากพวกเขาเหล่านั้น
ซึ่งเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินใจเพื่อตัวเอง
ทดสอบตัวเอง แล้วก็ทำความเข้าใจตัวเอง
มันเป็นช่วงค้นหาตัวตนว่า จริงๆ แล้วเราเป็นใคร
ซึ่งแน่นอนว่า มันอาศัยการลองผิดลองถูก
บ้างก็ลองเปลี่ยนที่ที่เคยอยู่ ออกไปอยู่คนเดียวบ้าง
เริ่มทำความรู้จักกับสังคมใหม่ๆ ไปเจอผู้คนในแบบอื่นๆ
เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งจะเป็นอะไร
ก็แล้วแต่ความสนใจของแต่ละคน
ถ้านับช่วงนี้สำหรับผม
ก็คงจะเป็นช่วงที่มีอารมณ์อยากค้นหาตัวเอง
อยากออกเดินทาง ยิ่งไกลยิ่งดี
ไปเจอคนที่เค้าไม่รู้จักเรา ไปเปิดหูเปิดตาตัวเอง
ว่าจริงๆ แล้วที่เราโตมา ที่เราคิดว่าเราเป็น เราอยู่
มันเป็นไปแบบที่เราเชื่อมั้ย
อย่างที่บอกว่าช่วงที่ 2 นี้เนี่ยเค้าเรียกว่าเป็นขั้นตอนในการค้นหาตัวเอง
ซึ่งบางคนก็ทำได้ดี บางคนก็ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นใคร
เป้าหมายของชีวิตช่วงนี้จริงๆ แล้วคือการหาให้เจอว่ามันคืออะไร
เพื่อที่จะได้อยู่กับมัน
ช่วงเวลานี้จะอยู่กับเราจนกระทั่งเราค้นหาขีดจำกัดของตัวเองเจอ
เราอาจจะทำอะไรได้ไม่ดีในบางอย่าง
ถึงแม้ว่าจะพยายามมากมายแค่ไหน
แต่เราก็ต้องรู้ว่า สิ่งนั้นมันคืออะไร ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ในชีวิต
เพื่อที่จะได้เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นที่ทำเราได้ดี
ขีดจำกัดของเราเป็นเรื่องสำคัญ
ควรระลึกไว้ตลอดว่า
เวลาของเราบนโลกใบนี้มันมีจำกัด
ฉะนั้นเราควรเสียเวลาไปกับสิ่งที่มันสำคัญกับเรา
แค่คุณทำสิ่งนั้นได้ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำมัน
แค่คุณชอบคนรอบๆ ตัวคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องอยู่กับพวกเขา
ทุกอย่างมันมีค่าเสียโอกาส
และมันไม่มีทางที่เราจะได้มันมาทั้งหมด
บางคนไม่เคยยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง
เพราะว่ากลัวความผิดหวัง
พวกเค้าจึงบอกกับตัวเองว่า ขีดจำกัดของเขานั้นไม่มีอยู่จริง
ทำให้ต้องติดอยู่ในช่วงเวลานี้ เพราะยังหาตัวเองไม่เจอ
มันจะมีคนที่ไม่สมหวังในความสัมพันธ์ระยะยาวสักที
เพราะเขาคิดอยู่เสมอว่า เขาจะไปเจอคนที่ดีกว่าอยู่เรื่อยๆ
ซึ่ง ณ จุดหนึ่งเราต้องเข้าใจว่า
ชีวิตของเรามันสั้นมาก
ไม่ใช่ทุกความฝันหรือความต้องการของเรามันจะเป็นความจริง
ดั้งนั้นเราจึงควรที่จะเลือกให้ดี ว่าจะเลือกอะไร
เลือกให้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเต็มที่ไปกับมัน
แต่คนที่ติดอยู่ในช่วงที่ 2 นี้ ส่วนใหญ่จะบอกกับตัวเองว่า
ชีวิตไม่มีขีดจำกัด ชั้นทำได้ทุกอย่าง
โลกนี้ไม่หยุดหมุน ชั้นก็จะโตไปกับมัน
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือพวกเขายังยืนอยู่ที่เดิม
ช่วงเวลาที่ 2 ของชีวิตจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนกลางไปจนปลายยี่สิบ
บางคนก็สามสิบกลางๆ
ส่วนคนที่ติดอยู่ในช่วงเวลานี้ เค้าเรียกอาการนี้ว่า
“Peter Pan Syndrome” หรือโรคไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่
สรุปง่ายๆ คือ ไม่อยากโต ไม่อยากรับผิดชอบ พบในพวกผู้ใหญ่ที่โตแต่ตัว
จิตใจยังเด็ก ชอบแต่งตัวเป็นเด็ก และชอบเล่นสนุกแบบเด็กๆ
ไม่ยอมรับผิดชอบชีวิต ไม่สนใจหน้าที่การงาน
อยากออกไปค้นพบโลกกว้าง แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่ได้พบอะไรเลย
ซึ่งสาเหตุนั้นมักเกิดขึ้นกับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวที่ประคบประหงมมากเกินไป
ไม่ปล่อยให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเอง

ช่วงที่ 3 COMMITMENT – เมื่อเราได้ทำมันทุกอย่างแล้ว

หลังจากที่ค้นพบแล้วว่า สิ่งที่เราทำได้ดี สิ่งที่เราทำได้ไม่ดีคืออะไร สิ่งที่สำคัญ แล้วก็ควรจะลงมือทำจริงๆ คืออะไร คุณลงมือทำมันจนสุดความสามารถ

ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอะไร
ช่วงเวลานี้คือการที่คุณทำในสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตจนเสร็จหมดแล้ว
ช่วงเวลาที่ 3 คือการผสมผสานของศักยภาพในการใช้ชีวิตของเรา
บางคนก็บอกว่าช่วงเวลานี้คือการสร้างสิ่งที่จะหลงเหลือไว้เมื่อเราต้องจากโลกนี้ไป
เป็นช่วงชีวิตที่บอกกับเราว่า เราจะทำในสิ่งที่เมื่อเราจากไปแล้ว เราอยากให้เขาจำเราไปแบบไหน
ช่วงเวลานี้จะสิ่งสิ้นสุดลง เมื่อเกิดการผสมผสามกันของสองเหตุการณ์

อย่างแรก คุณรู้สึกว่าทุกอย่างที่คุณต้องการมันเสร็จหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องพยายามอีก
กับสอง คุณรู้สึกว่าคุณแก่ แล้วก็เหนื่อยที่ตามหาอีกว่าจะต้องไปทำอะไรอีก
นอกจากการตื่นมาดื่มกาแฟ แล้วก็นั่งเล่นกับหมา หรืออ่านหนังสือไปตลอดทั้งวัน

ช่วงเวลาที่ 3 นี้ จะเริ่มตั้งแต่ช่วงสี่สิบไปจนถึงเกษียณ
ซึ่งคนที่ติดอยู่ในด่านนี้ส่วนใหญ่คือคนที่ไม่สามารถละทิ้งความทะเยอทะยานหรือ
ไม่สามารถปล่อยวางกับบางสิ่งบางอย่างได้

ช่วงที่ 4 : LEGACY – ช่วงเวลาที่เราบอกกับตัวเองว่า พักก่อน

คนที่ก้าวเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณครึ่งชีวิตแล้วในการทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
สิ่งที่สำคัญและมีคุณค่ากับตัวเอง
ทุ่มเท่ทำงานอย่างหนัก แล้วก็ได้รับในสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับ
ซึ่งช่วงนี้แหละ คือช่วงที่เราเริ่มอยากจะพักจากการทำทุกอย่าง
เป้าหมายของเวลาในชีวิตตอนนี้ของบางคนคือการได้อยู่กับลูกหลาน
สอนให้เขาเข้าใจในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต
เรียกว่าเป็นช่วงพัก แล้วมองสิ่งที่ตัวเองได้ทำมา
และค่อยๆ จากมัน หลงเหลือไว้เพียงสิ่งที่ตั้งใจจะให้เหลืออยู่

เล่ามาตั้งนาน แล้วจริงๆ ต้องการจะบอกอะไร ?

พัฒนาการผ่านแต่ละช่วงของชีวิต
จะทำให้เราสามารถควบคุมความสุข
และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเราได้มากขึ้น
ในช่วงเวลาที่ 1 การเป็นตัวเราขึ้นอยู่กับการแสดงออกของคนอื่น
ว่าเค้ายอมรับในตัวเรามั้ย
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง จะใช้คำว่าแย่ก็ไม่รู้ว่าถูกไหม
เพราะเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนพวกนั้นเป็นยังไง
ไว้ใจได้มั้ย แล้วก็ปกติด้วยรึเปล่า
ช่วงที่ 2 ชีวิตเราเริ่มขึ้นอยู่กับตัวเอง
แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสุขของเรา
ไม่ว่าจะเป็น เงิน ความสำเร็จ ชัยชนะ การได้รับเกียรติ
ซึ่งของพวกนี้อ่ะ มันควบคุมได้ง่ายกว่าคน
แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ควบคุมยากอยู่ดีในระยะยาว
ช่วงเวลาที่ 3 ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ดี
บวกกับการพิสูจน์ตัวเองว่าเราคู่ควรและเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ 2
และช่วงเวลาสุดท้าย
คือการที่เรารู้สึกเชื่อมั่นว่า
เราได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มความสามารถแล้ว
ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตเนี่ยมันจะมีความสุขเป็นพื้นฐาน

แต่มันก็มีการขัดแย้งระหว่างทั้ง 4 ช่วงเวลาอยู่เหมือนกัน

เค้าบอกว่า การผ่านช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตไปแล้ว
ไม่ใช่ช่วงเวลาก่อนหน้าจะถูกทับและหายไปเหมือนเล่นเกมนะ
แต่มันจะถูกซ้อนทับเป็นขั้นๆ ขึ้นไป
อธิบายง่ายๆ คือ คนที่ผ่านช่วงเวลาที่ 2 มาแล้ว
ยังคงสนใจเรื่องการยอมรับจากสังคมอยู่
แล้วก็อยากที่จะถูกยอมรับในด้านอื่นๆ ด้วย
คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ 3 ก็ยังคงแคร์เรื่องการค้นหาขีดจำกัดของตัวอยู่
แล้วเค้าก็ยังสนใจเกี่ยวกับ Commitment ที่เค้าได้สร้างขึ้นให้ตัวเองอีกด้วย
ไม่ใช่ว่าผ่านแล้วผ่านเลย
ซึ่งแต่ละช่วงเวลา มันก็จะเกี่ยวข้องกับการจัดลำดับความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตเราด้วย
นั่นจึงทำให้เราพบกับเหตุการณ์แบบนี้ เช่น
ถ้าคุณอยู่ในช่วงเวลาที่ 2 ของชีวิตเช่นเดียวกับเพื่อนของคุณ แน่นอน ทุกอย่างลงตัว ไปด้วยกัน
ค้นหาสิ่งที่ใช่ แล้วก็ลงมือทำ แล้วย้ายไปช่วงที่ 3
แต่ถ้าคุณไปช่วงที่ 3 แล้วแต่เพื่อนคุณยังอยู่ที่ 2
ทีนี้คุณทั้งสองจะเริ่มมองคุณค่าของสิ่งๆ เดียวกันต่างกัน
เพราะเป้าหมายไม่เหมือนกัน
พูดให้ง่ายกว่านั้นอีกคือ
คนเราสนใจแค่ในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาชีวิตของตัวเอง
แล้วก็จะเอาเหมาช่วงเวลาของชีวิตตัวเองนั้นในการตัดสินคนอื่นรอบๆ ตัว
เช่น คนที่อยู่ในช่วงที่ 1 ก็จะตัดสินคนอื่นโดยความสามารถในการเข้าสังคมกับคนอื่น
คนที่อยู่ในช่วงที่ 2 ก็จะตัดสินคนอื่นโดยความสามารถในการค้นหาตัวเองแล้วก็ลองสิ่งใหม่ๆ
คนที่อยู่ช่วงที่ 3 ก็จะตัดสินคนอื่นโดยสิ่งที่พวกเค้าทำสำเร็จ
และคนที่อยู่ช่วงเวลาสุดท้าย ก็จะตัดสินคนอื่นโดยสิ่งที่พวกเค้าเชื่อ และสิ่งที่เค้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

คุณค่าของความเจ็บปวด

จริง ๆ คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าการพัฒนาตัวเองในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ภาพมันคงสวยหรูนะ
แบบ โห เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่ดีกว่า ทำชีวิตให้สำเร็จอย่างที่ต้องการ
มันจะต้องมีชิวิตที่ดีแน่ๆ
แต่ความจริงก็คือ กว่าเราจะเปลี่ยนผ่านจากช่วงเวลาหนึ่งไปอีกหนึ่ง
มันต้องผ่านความเจ็บปวด หรือเรื่องราวที่เลวร้ายต่างๆ นานา
เหตุการณ์เสี่ยงตาย การหย่าร้าง ความผิดหวัง
หรือแม้กระทั่งการสูญเสียคนรัก
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้เราได้ลองหยุดพัก แล้วก็พิจารณาตัวเองอีกที
ในลึกๆ ในใจว่า สิ่งที่เราอยากเดินไป สิ่งที่ตัดสินใจ มันยังใช่อยู่รึเปล่า
ใช่สิ่งที่สุดท้ายแล้วจะทำให้เรามีความสุขจริงๆ ใช่มั้ย

สิ่งที่ทำให้เราติดอยู่ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต นั่นก็คือ ความไม่รู้จักพอ

คนที่ยังติดอยู่ในช่วงที่ 1 ก็เพราะว่าพวกเค้ารู้สึกว่าเขายังไม่เป็นส่วนหนึ่งกับคนอื่นๆ
พวกเค้าเลยพยายามที่จะเอาใจ และทำทุกอย่างเพื่อให้คนรอบๆ ตัวยอมรับ
ซึ่งไม่ว่าจะลงแรง ลงมือไปเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึงคำว่าพอดีสักที

คนที่ยังติดอยู่ในช่วงที่ 2 เพราะพวกเขายังรู้สึกว่า พวกเขายังทำได้อีก
เขาต้องทำได้ดีกว่านี้ ต้องทำสิ่งใหม่ ต้องทำในสิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้อีก
แต่ไม่ว่าจะทำไปมากมายเท่าไร ก็ยังไม่รู้สึกพอสักที

คนที่ติดอยู่ในช่วงที่ 3 เพราะสิ่งที่ทุ่มเทไปเหมือนยังไม่ดีพอ
ทำเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่าพอได้สักที

และช่วงเวลาสุดท้าย ที่ยังติดอยู่ เพราะพวกเขาคิดว่า
สิ่งที่ได้สร้างไว้ จะไม่จีรัง จะถูกใครสักคนในอนาคตมาเปลี่ยนแปลง
พวกเขาจึงรั้งไว้ จนแทบถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ถ้ามองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ 1
เราต้องยอมรับก่อนว่า เราไม่มีทางเป็นที่พอใจของใครทุกคนได้ในเวลาเดียวกัน
พอรู้อย่างนั้นเราควรเลือกตัดสินใจในทางที่ตัวเองจะเป็น

มองเหนือขึ้นมาที่ช่วงเวลาที่ 2
เราต้องยอมรับก่อนว่า เราไม่สามารถทำให้ทุกความฝันของเราเป็นจริงได้
เราจึงควรใส่ใจกับสิ่งที่เราต้องการมันมากที่สุด

ก้มมองมาที่ช่วงเวลาที่ 3
เราต้องเข้าใจว่า เวลาและเรี่ยวแรงของชีวิตเรามีจำกัด
ฉะนั้น โฟกัสสิ่งที่คุณเริ่มต้น และหาคนมาสนับสนุนสิ่งที่คุณทำ และรับช่วงต่อ

และช่วงเวลาสุดท้าย
คุณต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีความหมายมากแค่ไหน
สุดท้ายแล้วสิ่งนั้นมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปสักวันอยู่ดี

และชีวิตก็ต้องดำเนินหน้าต่อไป

ส่วนตัวผมมองตัวเองว่ายังอยู่ในระหว่างช่วงเลาที่สองและสาม
ผมรู้แล้วแหละว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์

แล้วคุณละครับ ตอนนี้คิดว่าตัวเองอยู่ในช่วงเวลาไหนในชีวิตกันบ้าง
แล้วข้ามผ่านมันไปได้มั้ย
หรือยังติดอยู่กับบางอย่างที่ก็ยังไม่แน่ใจ
ว่าเป็นที่ใครรอบๆ ตัว
หรือเป็นที่เราเอง ที่ปล่อยมันไป
ไม่ได้สักที

Credit : 4 Stages of life by Mark Manson

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ ได้บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0