โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“แสตมป์เบอรี่” นักเขียนนิยายแจ่มใสเบอร์ต้น ๆ ขวัญใจคนอ่านนานนับสิบปี!

INTERVIEW TODAY

เผยแพร่ 14 ก.ค. 2564 เวลา 17.00 น. • nawa.

ไฮไลต์

  • นิยายที่ถูกตีพิมพ์เล่มแรกของแสตมป์เบอรี่ ไม่ใช่เรื่องแรกที่ลงมือเขียนบนเว็บไซต์ แต่เป็นเรื่องที่ 2 นั่นคือ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย ส่วนเรื่องแรกที่แสตมป์เบอรี่เขียนลงเว็บไซต์คือ รักสุดเซอร์ไพรส์ของยัยขี้โม้ ซึ่งถูกตีพิมพ์ตามมาทีหลัง
  • ผลงานของแสตมป์เบอรี่ ไม่หยุดอยู่เพียงแค่การเป็นหนังสือ แต่ยังเคยถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ “Ugly Duckling รักนะ เป็ดโง่” ออนแอร์ช่อง GMM TV อีกด้วย โดยดัดแปลงจากเรื่อง “Boy's Paradise แผนรักชุลมุนจับคุณผู้ชายมาให้ฟิน” นั่นเอง
  • หนังสือ 3(+1) เล่มที่ขายดีที่สุดของแสตมป์เบอรี่ ได้แก่ ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย และเซเว่นเอส (7’s) 3 เล่มแรก คือ [7's] วางแผนร้ายปั้นหัวใจยัยหน้าใสสุดจี๊ด, [7's] Pretty Bad Girl บทเรียนรักกั๊กหัวใจยัยวายร้ายฝึกหัด และ [7's] So What!!! สวย แสบ ซ่าส์ มีปัญหามั้ยคะสุดหล่อ ที่สนุกจนมีแฟนคลับไปตั้งกระทู้พันทิปเรียกร้องให้สร้างเป็นซีรีส์จริง ๆ เลยล่ะ

หากจะพูดถึงที่สุดแห่งนักเขียนนิยายสำนักพิมพ์แจ่มใสที่ใคร ๆ ก็รู้จัก นามปากกา “แสตมป์เบอรี่” คงต้องเป็นหนึ่งในรายชื่อที่วัยรุ่นยุค 20 หย่อน ๆ 30 หยกๆ ต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน เพราะสมัยนู้นใคร ๆ ก็ต้องอ่านนิยายแจ่มใสกันสักเล่มสองเล่มใช่ไหมคะ แม้จะผ่านมาหลักสิบปีแล้วชื่อของ “แสตมป์เบอรี่” ก็ยังเป็นที่จดจำและมีผลงานนิยายที่ฮิตอย่างต่อเนื่อง

INTERVIEW TODAY วันนี้ จะพาทุกคนไปพูดคุยกับ “คุณแสตมป์-พิไลมาศ ค้ำชู” เจ้าของนามปากกาตัวจริงในฐานะของนักเขียนอาชีพผู้มัดใจคนอ่านได้ด้วยตัวอักษร อิโมติคอน (Emoticon) และพล็อตเรื่อง

ทำไมถึงต้อง “แสตมป์เบอรี่”

“ที่มาของชื่อแสตมป์เบอรี่ก็คือเราเป็นคนที่ชอบสะสมของที่เกี่ยวกับสตรอว์เบอร์รี่ ประกอบกับเราชื่อเล่นว่าแสตมป์อยู่แล้ว ก็เลยเอาของที่ชอบกับชื่อตัวเองมารวมกันกลายเป็นแสตมป์เบอรี่ค่ะ”

ก้าวแรกในวงการงานเขียน

“เริ่มจากเราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก่อนอยู่แล้วค่ะ พอดีว่าได้ไปอ่านนิยายเรื่องหนุ่มฮอตสาวเฮี้ยวรักเปรี้ยวอมหวานของสำนักพิมพ์แจ่มใสแล้วรู้สึกว่าชอบ มันเป็นนิยายแปลเกาหลี ประกอบกับยุคนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีนิยายรักวัยรุ่นที่เป็นสไตล์แบบนี้ คือมีการใส่อิโมติคอน หรือว่านิยายสไตล์ความรักวัยรุ่นวัยเรียนยังมีค่อนข้างน้อย ก็เลยรู้สึกว่าอยากเขียนแนวนี้ แต่ว่าอยากให้เป็นสถานที่ในประเทศไทย วัฒนธรรมแบบไทย เป็นค่านิยมแบบไทย ๆ แทนค่ะ ก็เลยลองเขียนขึ้นมาดูบ้าง แล้วได้เอาไปลงในคอลัมน์แบ่งกันอ่านของสำนักพิมพ์แจ่มใสที่เขาจะมีไว้ให้สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ได้เอาผลงานของตัวเองมาลง พอดีว่าเรื่องที่ลงในตอนนั้นได้รับความนิยมบนเว็บไซต์ ทางบก. ของสำนักพิมพ์แจ่มใสมาเห็นเข้าก็รู้สึกสนใจ ก็เลยติดต่อมาหาเรา ให้ลองทำเป็นหนังสือเล่ม ก็เลยได้ทำมาตลอดค่ะ”

นิยายเรื่องแรกที่เขียน ไม่ใช่เรื่องแรกที่ปัง

“จริง ๆ เรื่องแรกที่เขียนลงเว็บไซต์เลยคือ รักสุดเซอร์ไพรส์ของยัยขี้โม้ แต่ปรากฏว่าตอนนั้นยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เราเลยเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ก็เลยได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือเป็นเล่มแรกของเรา หลังจากนั้นทางสำนักพิมพ์ก็เลยกลับมาขอเรื่องรักสุดเซอร์ไพรส์ของยัยขี้โม้ ไปตีพิมพ์ด้วยค่ะ”

ความรู้สึกหลังถูกสำนักพิมพ์แจ่มใสเข้ามาจีบ

“ดีใจมากค่ะ เพราะว่าในยุคนั้นการที่ใครสักคนจะได้รับการติดต่อนำนิยายไปตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเป็นเรื่องค่อนข้างยาก ถ้าเราไม่มีคอนเนคชั่นอะไรมันก็ยากที่จะได้เป็นนักเขียนประจำสำนักพิมพ์นั้น ๆ อีกอย่างในยุคนั้นสำนักพิมพ์แจ่มใสค่อนข้างมีชื่อเสียงสำหรับวัยรุ่นด้วย พอได้รับการติดต่อมาก็รู้สึกว่า ความฝันก้าวนึงของเราเป็นความจริงแล้ว เพราะว่าตอนเด็ก ๆ อาจารย์วิชาแนะแนวก็จะชอบถามตลอดว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เรารู้ตัวว่าอยากเป็นนักเขียน อยากทำอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือ ชอบภาษาไทย ชอบการเขียนหนังสือ รักการแต่งนิยายมาตั้งแต่เด็ก เลยรู้สึกว่านั่นเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สามารถสานฝันให้เราได้ แล้วพอได้ทำในสิ่งที่ชอบเป็นอาชีพด้วยก็เลยรู้สึกดีใจมาก ๆ”

ยัยเวอร์จิ้นปิ๊งรักนักเพลย์บอย เป็นหนังสือที่เปรี้ยงปร้างมาก ๆ เพราะมีความแปลกใหม่ ดึงดูดใจคนอ่านในยุคนั้นแบบสุด ๆ โดยเฉพาะเจ้าอิโมติคอนหลากหลายแบบที่ช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้คนอ่านได้มากขึ้น (O__O;)

“คิดว่าหลัก ๆ น่าจะเป็นที่ปกนิยายด้วย เพราะว่ายุคนั้นยังไม่มีนิยายที่เป็นปกติการ์ตูนเท่าไหร่ อาจจะเตะตาและทำให้คนสนใจ อีกอย่างคงเป็นเพราะชื่อเรื่องด้วยค่ะ มีคำว่าเพลย์บอย ยัยเวอร์จิ้น อะไรแบบนี้ คนอ่านก็อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง บวกกับมีตัวอย่างเนื้อเรื่องให้อ่านบนเว็บไซต์ด้วย คนก็จะไปทดลองอ่านแล้วอาจจะชอบสำนวนของเราที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ย่อยง่าย รวมถึงมีอิโมติคอนที่แปลกใหม่แทรกอยู่ และเนื้อเรื่องที่ไม่ยืดเยื้อ มันเลยค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ในยุคที่นิยายรักวัยรุ่นยังไม่บูมมาก คนอ่านรู้สึกว่าการอ่านนิยายมันไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอะไรมากมาย หรือไม่จำเป็นต้องอ่านอะไรที่เครียดเสมอไป ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นจุดเด่นและทำให้นิยายของเราแตกต่างจากเรื่องอื่นในยุคนั้นค่ะ”

กว่าจะมาเป็นนิยายแต่ละเรื่อง

“เรื่องระยะเวลาการทำงานขึ้นอยู่กับความขยันของเราด้วยค่ะ ถ้าขยันมากก็จะสามารถทำอย่างต่อเนื่องได้ ถ้าเกิดเราเขียนนิยายได้ทุกวัน วันละประมาณ 5 หน้าได้ ประมาณ 1-2 เดือนก็จบแล้ว แต่บางทีเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถอยู่หน้าจอนาน ๆ หรือสามารถเขียนได้ทุกวัน ก็ต้องเขียนบ้าง พักบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ส่วนพล็อตเรื่องก็จะใช้ช่วงเวลาก่อนนอนคิด เราก็หลับตาแล้วคิดเรื่องราวออกมาว่าอยากให้มีตัวละครแบบนี้ พระเอกเป็นแบบนี้ นางเอกเป็นแบบนี้ เนื้อเรื่องเป็นประมาณนี้ ก็จำเอาไว้ค่อยมาจดบันทึก หรือถ้ามันยาวเกินไปก็ต้องจดไว้ตอนนั้นเลย ทำให้บางครั้งก็ไม่ได้นอนค่ะ (หัวเราะ)”

อ่านมาก็ดูเหมือนว่าการเขียนนิยายจะเป็นไปอย่างราบรื่นใช่ไหมคะ แต่เมื่อถามว่า รู้สึกสมองตัน เขียนไม่ออกบ้างไหม แสตมป์เบอรี่ก็บอกว่ามีบ้างเป็นธรรมดา

“ก็รู้สึกตันบ้าง เพราะมันเป็นตัวเราคิดเองคนเดียว เพราะฉะนั้นมันจะมีความคิดที่ค่อนข้างจะคล้าย ๆ เดิมอยู่ เช่น ถ้าเราชอบผู้ชายแบบนี้ หรือนางเอกที่เราชอบก็ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น เราก็จะแก้ปัญหาด้วยการไปลองอ่านนิยายคนอื่น ดูซีรีส์ ดูการ์ตูน เพื่อที่จะหาคาแรคเตอร์ที่มันหลากหลายเอามาผสมกัน แล้วก็ดูว่าตัวละครนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือมีอะไรที่โดดเด่น เราก็เอามาปรับใช้ดูว่าแบบไหนที่จะเหมาะสม มันน่าจะสนุก และก็แตกต่างจากคนอื่นได้ค่ะ”

ในยุคที่สังคมตื่นตัวกับประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากมาย ส่งผลให้การเขียนนิยายยากขึ้นบ้างไหม

“ยากขึ้นแน่นอนค่ะ เพราะว่าเมื่อก่อนเราคิดอย่างเดียวว่านิยายมันต้องสนุก เขียนเอามัน เอาความบันเทิงเท่านั้น สาระอะไรไม่ต้องเน้นมาก เราคิดแค่ว่านิยายคือความบันเทิง คือจินตนาการ มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่พอโลกโซเชียลเข้ามามีบทบาท คนก็เริ่มเปิดกว้าง มีการวิพากษ์วิจารณ์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ นิยายก็สามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้น เราในฐานะนักเขียนจำเป็นจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น อย่างผลงานในอดีตของเราก็ต้องยอมรับว่ามีเรื่องที่ไม่เหมาะสมบ้าง เพราะสมัยนั้นคนยังไม่ตื่นตัวเรื่องทางสังคมมากนัก แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เราเลยคิดว่าถ้ายังเขียนอะไรที่มันคุกคามหรือว่าอะไรที่มันอาจมีผลกระทบในชีวิตจริงก็จำเป็นต้องลดลงและใช้ความระมัดระวังมากขึ้นค่ะ”

“มันยากเหมือนกันนะ เพราะเราไม่สามารถเขียนให้ทุกตัวละครเป็นคนดีได้หมดเลย ไม่มีทางที่จะขาวสะอาด 100% พระเอกเป็นคนดี นางเอกเป็นคนดี คนร้ายเป็นคนดีทั้งหมด มันทำไม่ได้ มันก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะเขียนยังไงให้ไม่ชี้นำไปในทางที่ผิด แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะให้เด็ก ๆ อ่านแล้วไม่ไปทำตามได้ ถ้าสมมุติว่าตัวละครนิสัยไม่ดี ก็จำเป็นต้องชี้ให้เห็นว่าผลลัพธ์ของความไม่ดีมันเป็นยังไง ต้องพยายามสอดแทรกข้อคิดที่ชี้นำไปในทางที่ถูกต้องมากขึ้นค่ะ”

เมื่อถามว่าทุกวันนี้มีแพลตฟอร์มออนไลน์ใหม่ ๆ จำนวนมากขึ้น ทำให้ใครก็ได้สามารถเป็นนักเขียนนิยายได้ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการทำงานบ้างไหม ก็พบว่ามีบ้าง แต่หลัก ๆ ไม่ใช่เรื่องของจำนวนนักเขียนหน้าใหม่ แต่เป็นเรื่องของนิยายสไตล์ใหม่ ๆ มากกว่า

“จริง ๆ นักเขียนใหม่อาจจะไม่ได้กระทบกับเรามาก แต่ว่าที่กระทบเยอะน่าจะเป็นนิยายแนวใหม่ ๆ มากกว่า อย่างเช่น แนวชายรักชาย แนว 18+ หรือว่าแนวหญิงรักหญิงอะไรแบบนั้น พอมีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่คนอาจจะอ่านแค่ชายรักหญิงและหญิงรักชายเท่านั้น แต่ทุกวันนี้นิยายมีแนวทางที่หลากหลายมากขึ้น ตัวเลือกในการอ่านก็อาจเยอะขึ้น ทำให้เราอาจจะเป็นตัวเลือกที่น้อยลง หรือว่าอาจจะทำให้คนอ่านที่อ่านของเราแค่คนเดียว ก็เปลี่ยนไปอ่านหนังสือแนวอื่นมากขึ้น เพื่อหลีกหนีความจำเจ จะเป็นเรื่องแบบนั้นซะมากกว่าค่ะ”

บนความต้องการที่หลากหลาย แต่ลายเส้นของแสตมป์เบอรี่คือนิยายรักกุ๊กกิ๊กหญิงชาย

“สไตล์ที่อยากลองเขียนใหม่ ๆ ก็จะเป็นแนวที่โตขึ้นมากกว่า เมื่อก่อนจะเขียนให้กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มเด็กมัธยมหรือว่าวัยมหาวิทยาลัยอ่านเป็นหลัก ตอนนี้เราก็อยากจะขยายฐานให้คนอ่านที่โตขึ้นอ่านได้มากขึ้น อาจจะเป็น 18 + หมายความถึงเนื้อหาที่โตขึ้นและแรงขึ้น แต่ยังคงเป็นเชิงความรักแบบชายหญิงเหมือนเดิม เพราะเราไม่ถนัดแนวอื่นเท่าไหร่ กลัวทำได้ไม่ดีค่ะ”

ความสำเร็จของแสตมป์เบอรี่คืออะไร

“คือการได้รับการยอมรับ และเป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านหลาย ๆ คนเวลาพูดถึงนักเขียนวัยรุ่นในยุคนึงก็จะนึกถึงเรา รวมถึงการที่นิยายได้รับคัดเลือกให้ไปทำซีรีส์ หรือการที่มีคนมาติดต่อขอนำนิยายไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศอื่น ๆ การที่ได้ต่อยอดสายอาชีพ ไปร่วมเขียนบทเกมให้กับเกม Call me master หรือว่าการที่ได้รับการติดต่อจากแบรนด์สินค้าใหญ่ ๆ ดัง ๆ มากมาย ทำให้รู้สึกภูมิใจว่าเราเองก็มีศักยภาพนะ มีคนรู้จัก มีคนที่มองเห็นความสามารถและก็อยากจะร่วมงานกับเราค่ะ”

ถ้าอยากเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จจะต้อง..

“อยากให้อ่านเยอะ ๆ ค่ะ เพราะการอ่านสำคัญมาก บางคนเขียนนิยายได้ก็จริง แต่อาจจะไม่รู้ว่าอะไรคือความสนุก อะไรคือจุดเด่นของเรื่อง ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องนี้เยอะมาก อ่านหนังสือเยอะ ๆ จะได้รู้แนวทางว่านักเขียนเขาใช้คำกันยังไงให้สมูธ ถ้าเราอ่านเยอะเราก็จะรู้วิธีการในการเขียนเยอะตามไปด้วย แล้วก็อย่าท้อ พยายามเอานิยายลงตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อที่จะได้รู้ฟีดแบ็กมากขึ้น แล้วก็เขียนไปเรื่อย ๆ แม้ว่าอาจจะไม่มีคนอ่าน อย่างนิยายของเราเองช่วงแรกก็ไม่มีคนอ่านเหมือนกัน เราก็มาคิดว่าจะต้องทำยังไงให้คนมาอ่านเยอะ อาจจะต้องใช้ชื่อเรื่องให้ดูโดดเด่นไหม หรือเขียนให้แตกต่างจากคนอื่นไหม ต้องพยายามปรับปรุงตัวเองเรื่อย ๆ กว่าเรามาจะถึงจุดนี้ก็เป็น 10 ปีเหมือนกันค่ะ อยากให้ตั้งใจและพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งมันจะเป็นของเราเองค่ะ”

ถ้าวันนี้แสตมป์เบอรี่ไม่ใช่นักเขียนนิยาย

“ก็คิดว่าคงจะทำงานในแวดวงหนังสือนิตยสาร หรือเป็นสายพิสูจน์อักษร บรรณาธิการ รีไรท์เตอร์ อะไรแบบนี้ค่ะ เมื่อก่อนก็ฝันว่าอยากจะทำพวกนิตยสารเหมือนกันค่ะ เราเองก็มีคิดเหมือนกันว่าถ้าเราไม่เป็นนักเขียนนิยาย เราจะไปทำอะไร สุดท้ายคำตอบก็ชัดเจนว่าคงจะอยู่ในแวดวงการเขียนนี่แหละค่ะ”

('^^) แฟน ๆ ที่คิดถึงกลิ่นอายของนิยายรักแจ่มใส สามารถติดตามผลงานของแสตมป์เบอรี่ได้ที่เฟซบุ๊กเพจ Stampberry ได้เลยค่ะ (^^')

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0