โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ดูดวงไปทำไม ? คุยกับ ‘พ.พาทินี’ หมอดูแถวหน้า ที่มากกว่าความแม่น

INTERVIEW TODAY

เผยแพร่ 30 มิ.ย. 2564 เวลา 19.00 น. • เพื่อนตุ้ม

ไฮไลต์

  • ดูดวงเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยสถิติ เป็นเหมือน GPS ที่ทำให้วางแผนชีวิตได้ดีขึ้น พอดวงบอกว่าอนาคตจะมีแนวโน้มเกิดเหตุการณ์อะไร เช่น ถ้าดวงบอกว่าเดือนหน้าจะมีโอกาสผิดพลาดในเรื่องของการทำงาน เราก็จะได้ทำงานด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ดวงก็เหมือนเป็นตัวช่วยทำให้ชีวิตราบรื่นมากขึ้นนั่นแหละ
  • สุดท้ายเราก็ต้องเป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง คนไม่เชื่อเรื่องดวงมักจะบอกว่าอย่าให้ดวงมากำหนดชีวิต แต่จริง ๆ แล้วดวงไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตเลย ดวงแค่บอกว่าเรามีแนวโน้มจะเจออะไร เราต่างหากที่เป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง
  • เจอคนอายุ 70 กว่าที่พักอยู่บ้านพักคนชรามาดูดวง ถามคำถามเดียวเลยว่า “เมื่อไหร่ลูกจะมาพาออกไปจากบ้านพักชราสักที” พอได้ยินคำถามก็ว่าอึ้งแล้ว แต่ที่อึ้งกว่าก็คือเอาเงินที่ได้รับบริจาคมา มาเป็นค่าดูดวง ทำให้ตัดสินใจไม่รับค่าดูดวงแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทุกวันที่ 1 และ 16 ชื่อของหมอดูสุดปังจาก LINE TODAY อย่าง ‘พ.พาทินี’ น่าจะเป็นคำค้นหาอันดับต้น ๆ เพราะเลขเด็ดที่เข้าวินแทบทุกงวด แถมยังมีดวงรายวันสุดแม่นที่แฟนคลับติดตามอ่านกันมานมนาน ทำให้ ‘พ.พาทินี’ หรือ‘พาทินี พิพัฒน์กิจโชติ’ กลายเป็นหมอดูแถวหน้าที่ไม่ใช่แค่แม่น แต่ยังอยากให้เอาดวงมาใช้เป็น GPS นำทาง เพื่อให้ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นขึ้น

แม่หมอในคราบผู้จัดการโรงงาน

“คนชอบถามเยอะว่าเป็นหมอดู เรียนจบอะไรมา จริง ๆ แล้วจบปริญญาโท ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอบอกว่าจบทางด้านวิทยาศาสตร์ หลายคนก็งงเหมือนกันว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ระหว่างโหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์

“ที่เรียนทางด้านนี้ก็เพื่อมาช่วยทำธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการโรงงานเกี่ยวกับเชื้อเพลิงในเตาเผาอุตสาหกรรม การกำจัดของเสียอันตราย ก็จะเป็นคนละแนวกันเลยกับเรื่องโหราศาสตร์เลย และงานโรงงานก็เป็นงานหลักที่ต้องดูแล”

สู่การเป็นหมอดูตัวน้อยอายุ 14

“ย้อนไปตอน 7 ขวบ ตามพ่อไปดูดวงก็มีความคิดว่าอยากจะดูดวงบ้าง แต่ตอนนั้นยังไม่กล้าพูดว่าอยากจะดูดวงด้วย ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ อารมณ์ตอนนั้นอยากรู้ชีวิตตัวเองเป็นยังไง ไม่ได้อยากเรียนหรืออยากจะดูดวงให้คนอื่น

“หลังจากนั้นสัก 2-3 ปี เรียนอยู่ ป.6 ก็ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากที่บ้านให้ไปเรียนวันละ 20 บาท พอดีไปเห็นหนังสือดูดวงตามร้านสะดวกซื้อ ก็เลยซื้อหนังสือดูดวงมาอ่านเอง ตอนแรก ก็อ่านเอง ดูเอง แล้วก็ไปทายเล่นกับเพื่อน เหมือนแค่อ่านหนังสือ จำ แล้วมาขยายความ ทำนายเล่นกับเพื่อน แล้วฟีดแบคค่อนข้างดี เพื่อนชอบ สนุก บอกว่าแม่นดี ตรงนั้นก็เป็นกำลังใจให้รู้สึกหึกเหิม จุดประกายให้ไปศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ต่อไป

“จากที่อ่านหนังสือเรื่องดวงก็มีความรู้ต่อยอดไปเรื่อย ๆ แต่ความรู้ในหนังสือก็มีจุดตันของมัน เพราะการเรียนโหราศาสตร์ต้องมีครูนำทาง พออายุ 14-15 ก็เลยเริ่มไปเรียนตามวัด มีทั้งฆราวาสและพระที่มาสอน เวลาเรียนก็เหมือนเรียนหนังสือทั่วไป มีคนเรียนด้วยกันประมาณ 50-60 คน

“ที่อยากไปเรียนเพราะใจมันชอบ อยากหาความรู้มากขึ้น ตอนนั้นไม่ได้หาซื้อหนังสือดวงจากร้านสะดวกซื้อแล้ว เพราะหนังสือดูดวงที่ขายตามร้านสะดวกซื้อก็จะเป็นดูดวงแบบผิวเผินมาก แทบจะเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย อารมณ์คล้าย ๆ หนังสืออ่านเล่น แต่พออยากศึกษาให้มากขึ้น ก็เริ่มไปหาอ่านตำราโหราศาสตร์ แต่ตำราก็มีจุดตันของมัน เพราะเมื่ออ่านจนหมดแล้ว แต่ยังอยากรู้เพิ่มเติม ก็เลยต้องไปเรียน

“จุดประสงค์ตอนนั้นไม่ได้อยากเรียนจะมาเป็นหมอดู แต่เรียนเพราะอยากจะรู้วิชานี้มากกว่า มันตื่นเต้น ท้าทาย เหมือนเข้าไปอุโมงค์พิศวง เป็นศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น น่าสนใจ เป็นอะไรที่ไม่เคยเรียนจริงจังก็เลยรู้สึกกระหายอยากรู้ และคิดว่ามันท้าทาย

“พอได้เรียนแล้วก็รู้สึกว่าโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เรียนไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด มีความรู้ใหม่ ๆ มาให้เรียนได้ไม่จบ รู้สึกสนุก และชอบมาก มันแตกต่างจากการเรียนวิชาการ ที่อาจจะเบื่อ อาจจะไม่ชอบบางวิชา แต่สำหรับโหราศาสตร์เหมือนเป็นความชอบ ที่ไม่ต้องมีใครบังคับ เป็นสิ่งที่อยากเรียนเอง ก็เลยชอบเป็นพิเศษ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเรียนเพื่อมาประกอบสัมมาอาชีพ แค่”อยากจะทำตามใจตัวเอง อยากรู้ก็เรียนไปเรื่อย ๆ

“เรียนไปเรียนมาก็เกือบ 10 ปี ทั้งเรียนที่วัด ทั้งไปเรียนกับอาจารย์ เพราะการเรียนโหราศาสตร์บางทีก็ต้องไปตามอาจารย์ ไปเรียน ไปเป็นผู้ช่วย เป็นความรู้ที่มันเอ็กคูลซีฟมากขึ้น ได้ไปเจอเคสต่าง ๆ ได้พูดคุยกับอาจารย์นอกห้องเรียน ก็เรียนดูดวงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ควบคู่กับเรียนวิชาการในมหาวิทยาลัยปกติ”

ดวงพม่า ดวงไทย และดวงจีน

“เริ่มแรกที่ไปเรียนคือดูลายมือ จากนั้นก็เรียนโหราศาสตร์พม่า โหราศาสตร์ไทย และฮวงจุ้ย แต่ที่ใช้ในการพยากรณ์ดวงชะตาของคน จะถนัดดวงไทยกับพม่าคู่กัน เช่น จะดูดวงให้ใคร ก็ตั้งดวงไทย ตั้งดวงพม่า เพื่อดูคู่กัน ว่าดวงไทยให้คำตอบยังไง แล้วดวงพม่าให้คำตอบยังไง จากนั้นนำมาประมวลผลร่วมกัน รวมไปถึงเป็นศาสตร์ที่ใช้ในการทำบุญเสริมดวงด้วย

“ส่วนดวงจีนจะเป็นแขนงหนึ่งในเรื่องของฮวงจุ้ย ซึ่งจะต้องดูคู่กัน ดวงจีนจะดูเรื่องของธาตุสำคัญ ธาตุถ่ายเท ก็จะมีความละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม

“เช่น คนที่มีธาตุน้ำ ถ้าอยากจะรวยต้องอาศัยธาตุไฟ เพราะไฟเป็นลาภของน้ำ แต่ก็มีบางคนที่ไม่สามารถรับธาตุไฟได้ เพราะเมื่อรับมาแล้วชีวิตจะวุ่นวาย ก็ต้องเอาเรื่องการเสริมดวงมาช่วย ซึ่งการเสริมดวงก็จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการตั้งเก้าอี้ การตั้งหัวเตียง การตั้งเจ้าที่ สิ่งเหล่านี้ก็จะลึกลงไปอีก และจำเป็นจะต้องดูดวงเฉพาะบุคคลไป เพื่อตอบโจทย์ของคน ๆ นั้น เป็นรายละเอียดที่จะต้องใช้การดูดวงแบบจีน ซึ่งไม่สามารถใช้ดวงไทย หรือดวงพม่าได้

“ถึงจะเป็นคนละศาสาตร์ แต่ก็จะพูดไปในแนวโน้มที่คล้าย ๆ กัน เช่น สมมติดวงจีนบอกว่าจะไม่มีคู่ พอมาดูดวงไทย ดวงพม่า ถึงจะบอกว่ามีคู่ก็จริง แต่คู่ก็จะไม่ดี มีแล้วจะต้องมีปัญหา คือคำตอบของดวงแต่ละศาสตร์อาจจะไม่ได้คล้ายเป๊ะ แต่ก็เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน”

เมื่อความรู้อัดแน่นเหมือนน้ำท่วม สู่การเป็น พ.พาทินี

“เดิมเป็นคนรักการอ่านตั้งแต่เด็ก อย่างที่บอกว่าเริ่มต้นศึกษามาจากหนังสือดูดวง พ่อแม่ก็ทำมาหากิน แถมเป็นลูกคนเดียวอีก ก็เลยเหมือนมีหนังสือเป็นเพื่อน พอมาวันหนึ่งความรู้เต็มแก้ว เหมือนน้ำท่วมที่รอการระบาย ก็อยากเอาความรู้ที่มี เผยแพร่ออกไปบ้าง บวกกับมีความฝันแรกเลยที่อยากจะเป็นนักเขียนอยู่แล้ว ก็เลยอยากเขียนสิ่งที่รู้และอินกับมันจริง ๆ ซึ่งก็คือโหราศาสตร์

“ตอนนั้นจับพลัดจับผลูได้มาเขียนเกี่ยวกับดวงให้กับนิตยสารในเครือนิตยสารวัยรุ่น I like พอดีไปเห็นเค้าประกาศรับสมัครนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องดวง ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.6 กำลังจะเข้าปีหนึ่ง พอรู้ว่าเปิดรับสมัคร ก็รีบสมัครเลย เค้าก็เรียกไปสัมภาษณ์ ให้ลองดูดวง บ.ก. ให้ลองเขียน ลองพยากรณ์ แล้วก็ได้เป็นนักเขียนประจำให้กับนิตยสารตั้งแต่ปี 2553 ตอนนั้นก็ใช้ชื่อ หมอไก่

“ตั้งแต่นั้นก็เขียนดวงลงในนิตยสารอยู่หลายปี คิดว่าพอได้รับโอกาสก็อยากจะเขียนไปตลอด แต่ด้วยความที่ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์เกิดวิกฤต นิตยสารก็เลยต้องปิดตัว ก็เขียนดวงให้จนกระทั่งปิดนิตยสารไป แต่ระหว่างนั้นได้มีโอกาสมาเขียนให้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วย เนื่องจากเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์นพ ซึ่งท่านเขียนดวงไทยรัฐ หน้า 11 มาตั้งแต่แรก ช่วงนั้นพอดีท่านป่วย ก็เลยได้มาเขียนดวงรายวันของไทยรัฐ หน้า 11 แทน และเขียนมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน”

รู้ล่วงหน้าแล้วจะหลีกเลี่ยงปัญหาได้ไหม ?

“ดวงเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องสถิติ เป็นเหมือน GPS ที่ทำให้วางแผนชีวิตได้ดีขึ้น สามารถรู้ได้ว่าอนาคตจะมีแนวโน้มเกิดเหตุการณ์อะไร เช่น ถ้าดวงบอกว่าเดือนหน้าจะมีโอกาสผิดพลาดในเรื่องของการทำงาน ก็จะได้ทำงานด้วยความระมัดระวังมากขึ้น มีแผนสำรองหรือทำอะไรให้รัดกุม ระวังตัวมากขึ้น ดวงก็เหมือนเป็นตัวช่วยทำให้ชีวิตราบรื่นมากขึ้น

“ดวงมีทั้งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้และไม่ได้ ที่ควบคุมได้ก็คือเรื่องที่เกิดจากตัวเราเอง เช่น การลงทุน ถ้าเราไม่ควักออกไป ก็ไม่มีใครเอาเงินออกจากกระเป๋าเราได้ ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ก็เช่นทำงานกับผู้ใหญ่ แล้วเค้าเอ็นดูมาก แต่วันหนึ่งฟ้าผ่าผู้ใหญ่คนนี้ลาออกไป มีคนใหม่เข้ามาแทน แล้วเค้าไม่ชอบเรา อันนี้ก็เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือเรื่องของอุบัติเหตุ สมมติดวงบอกว่ามีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ เราก็ดูแลตัวเอง ขับรถอย่างปลอดภัย ถูกกฎจราจร ไม่ประมาท แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้เกิดจากเราคนเดียว เป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน

“ถึงแม้มันจะควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าดวงบอกแนวโน้มไว้ว่าอาจจะเกิดขึ้น ก็อาจสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ คือต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิต และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการทำบุญ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับชีวิต อานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญ ไหว้พระเป็นประจำก็สามารถช่วยได้ และปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมดวงได้ เช่น ฮวงจุ้ย หรือการเสริมดวงต่าง ๆ ก็อาจผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่สิ่งแรกเลยก็คือต้องมีสติและระวังตัว”

ดวง VS ชะตาฟ้า VS สู้ลิขิตตน

“ดวงคือที่ปรึกษาทางหนึ่ง แต่เรามีสิทธิ์ที่จะคิดต่อเราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา ยังไงเราก็เป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง คนไม่เชื่อเรื่องดวงมักจะบอกว่าอย่าให้ดวงมากำหนดชีวิต แต่จริง ๆ แล้วดวงไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตเลย ดวงแค่บอกว่าเรามีแนวโน้มจะเจออะไร เราต่างหากที่เป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง

“ทั้งนี้ทั้งนั้น จะชะตาฟ้าหรือลิขิตตนก็เป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กันไป เพราะถึงแม้คนเราจะมีความตั้งมั่น ขยัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ขยัน ตั้งใจทำงานทุกคนจะประสบความสำเร็จ ชะตาฟ้าก็คือจังหวะชีวิต คนเราก็เหมือนดอกไม้แต่ละชนิด มีเวลาในการบาน เจริญเติบโต และเหี่ยวเฉาไปไม่เหมือนกัน

“ตัวแปรเหล่านี้ก็เปรียบได้กับจังหวะชีวิตที่ทำให้คนแตกต่างกัน ถ้าขยันตั้งใจทำงานอย่างเดียว แล้วไม่มีชะตาฟ้า ไม่มีจังหวะชีวิตที่เหมาะสมก็คงไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ถ้ารอแต่ชะตาฟ้าโดยไม่ทำอะไรเลย ก็คงไม่มีโอกาสที่รถเข็นเงินจะคว่ำที่หน้าบ้านเราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นชะตาฟ้ากับเรื่องของความมานะของคน คือสิ่งที่ต้องไปคู่กัน

“แต่ละคนจะมีจังหวะดวง มีจังหวะชีวิตที่ต่างกัน ถ้าเกิดในช่วงเดือนนั้น ช่วงปีนั้น ดวงชะตาไม่ดี อย่างแรกเลยก็คือต้องระวังตัว ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท ทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าคิดแต่ก้าวหน้าแต่ต้องรักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีด้วย

“อีกสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือการไหว้พระ การทำบุญ ถึงแม้จะยังมองไม่เห็นอานิสงส์ที่ได้จากการทำบุญ แต่สิ่งที่ได้แน่นอนก็คือสมาธิ และสติที่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีกำลังใจ ซึ่งถ้ามีกำลังใจ อะไร ๆ ก็ไปต่อได้ ต่อให้หนทางข้างหน้ายาก มีอุปสรรคก็ต้องมีทางออก เมื่อปัญหามันมีทางเข้าก็ต้องมีทางออกเป็นเรื่องปกติของมัน”

“เมื่อไหร่ลูกจะมาพาออกไปจากบ้านพักชราสักที” คำพูดจุกอกที่ทำให้เลิกรับค่าดูดวง

“สมัยเด็ก ๆ ที่มีวิชา มีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ก็มีรับดูดวง รับค่าครูบ้าง แต่ตอนนี้เวลาดูดวงให้ใคร ไม่เคยรับเงินหรือรับค่าครูเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะเวลาที่ดูดวงจะค่อนข้างเจอคนหลากหลาย มีคำถามมากมายที่ทำให้รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มีบนโลกด้วยหรอ

“พอดูดวงไปเรื่อย ๆ ไปนาน ๆ จะรู้สึกถึงความทุกข์ของคน การที่คนเค้ามาดูดวงไม่ใช่สบายดีแล้วถึงมาดูกัน แต่จะเป็นคนที่มีเรื่องทุกข์ใจ และอยากหาที่พึ่งทางใจก็เลยมาหาหมอดู ทำให้มีเคสบางเคสที่รู้สึกว่ากัดกินใจจนทำให้ต้องบอกตัวเองว่ายกเลิกเก็บค่าครูได้แล้ว

“เมื่อก่อนเวลาดูดวงจะจำกัดเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง คือทุกคนเวลาดูดวงก็จะเอาเต็มที่ ดูกันจนถึงวินาทีสุดท้าย แต่มีสองเคส เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ที่ทำให้รู้สึกสะท้อนใจ และเห็นใจมาก ๆ เคสแรกก็โอนเงินมาเรียบร้อย พอจะดูก็บอกว่าอยากจะขอแค่คำถามเดียว ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกเพราะไม่เคยเจอใครถามคำถามเดียว เค้าถามว่าลูกจะได้ออกจากคุกเมื่อไหร่ พอได้ยินคำถามก็รู้สึกว่าคนที่มาดูดวงมีความทุกข์ เค้าไม่สบายใจก็เลยมาหาเรา เป็นจุดเริ่มต้นที่ฉุกคิดขึ้นมา

“ต่อมามีอีกเคส เป็นคนแก่อายุประมาณ 70 กว่า ๆ เค้าอยากจะดูดวง ตอนแรกก็งงว่าคนแก่ขนาดนี้เค้าไม่ค่อยดูดวงกันแล้ว ทำไมคนนี้ถึงอยากดู พอได้คุยกัน ปรากฏว่าเค้าอยู่บ้านพักคนชรา และถามคำถามที่ฟังแล้วรู้สึกสงสารมาก ๆ คือถามว่าเมื่อไหร่ลูกจะมาพาออกไปจากบ้านพักชราสักที พอได้ยินคำถามก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ก็ได้พูดคุยกันต่อว่าอยู่บ้านพักคนชรา ไม่ได้ทำงาน แล้วไปเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าดูดวง ซึ่งเค้าบอกว่าได้มาจากเงินบริจาค เวลามีคนมาทำบุญ ฟังแล้วสะท้อนใจมาก อยากจะคืนเงินให้ตอนนั้นเลย แต่เค้าก็ไม่ยอมรับเงินคืน

“สองเหตุการณ์นี้ทำให้คิดว่าคนที่มาดูดวงเพราะไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ปรึกษา อยากจะหาที่พึ่งทางใจ จากจุดนั้นก็เลยไม่รับเงินค่าครูหรือค่าดูดวงอีกเลย ซึ่งพอไม่รับเงินแล้ว ความรู้สึกต่างกันเยอะ เหมือนได้ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่มีความทุกข์ แต่ไม่ได้หมายความว่าหมอดูที่รับเงินค่าครูจะผิด เพราะหมอดูบางคนก็ดูดวงเป็นสัมมาอาชีพ แต่เราเป็นนักเขียนเกี่ยวกับโหราศาสตร์มากกว่า”

สุดท้าย พ.พาทินี ฝากให้กำลังใจทุกคน ช่วงนี้พวกเราได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จากสภาพเศรษฐกิจกันทั้งนั้น อดทนอีกอึดใจ อีกไม่นานทั้งหมดนี้ก็จะผ่านไป

“อยากฝากไว้ว่าดวงเป็นแผนที่ชีวิตว่าอนาคตที่จะเดินไปจะเจอกับอะไรบ้าง แต่สุดท้ายชีวิตจะไปทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ยังไงเราก็ต้องลิขิตชีวิตตัวเอง เพราะฉะนั้นอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท ระแวดระวัง ที่สำคัญทำบุญอยู่เรื่อย ๆ อย่าให้ขาด และอย่าให้ถึงขั้นตัวเองเดือดร้อน อดทนอีกอึดใจเดียว ไม่แน่อนาคตที่สดใสอาจจะกำลังรออยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลก็ได้” พ.พาทินี ทิ้งท้าย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0