โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เทพยุทธ์ดาวตก

นิยาย Dek-D

อัพเดต 09 พ.ค. เวลา 02.58 น. • เผยแพร่ 09 พ.ค. เวลา 02.58 น. • ฺBlade Grass
เทพยุทธ์ดาวตก
ชายหนุ่มผู้มีโอกาสที่ 2 ของชิวิต ได้รับเลือกโดยดวงดาวแห่งโชคชะตา จากชีวิตที่เรียบง่ายน่าเบื่อ เข้าสู่การ ผจญภัย,ฝึกวิทยายุทธ์, หลอมโอสถ และ ตั้งค่ายกล มีชีวิตผ่านเรื่องราวของ ความเชื่อ, ฝ่าอันตราย, คว

ข้อมูลเบื้องต้น

เป็นนิยาย กำลังภายในแนวเทพเซียน ที่มีการสอดแทรกความรู้ทางเทคนิคเชิงวิทยาศาสตร์ปะปน รวมเข้ากับจิตนาการของผู้แต่ง สร้างสรรค์เป็นผลงานที่จะว่าอัปลักษณ์สำหรับนิยายจีนยุคใหม่ก็ว่าได้ (นับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 UP อย่างน้อยวันละหนึ่งตอน)

มหันตภัยดาวตก

ณ.มิติแห่งหนึ่งในจักรวาลอันไกลโพ้น บนโลกสีฟ้าสดใสขนาดยักษ์ โลกใบนี้มีแผ่นน้ำปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ มีทวีปขนาดใหญ่ถึงสี่ทวีป กระจัดกระจายอยู่รอบโลกใบนี้ ระยะห่างของแต่ละทวีป มีระยะทางอย่างต่ำเกิน หนึ่งล้านกิโลเมตรทางทิศตะวันออกสุดของทวีปฟ้าคราม เป็นที่ตั้งของ “อาณาจักรหยกขาว”

ทางทิศตะวันตกของ อาณาจักรแห่งนี้ ปรากฏป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แผ่นดินสูงชัน มีภูเขาน้อยใหญ่จำนวนมาก รวมกันเป็นเทือกเขาสูงชันตระหง่านเสียดฟ้า ยอดสูงที่สุด มีความสูงมากกว่า หนึ่งหมื่น เมตร ยอดเขาปกคลุมไปด้วย หิมะขาวชั่วนาตาปีไม่เคยละลาย ตัวเทือกเขาทอดยาวจาก เหนือจรดใต้ เทือกเขานี้ ยาวหลายพันกิโลเมตร

ทิศเหนือจรดเทือกเขาหิมะขาว มองไปคล้ายใครมาก่อกำแพงยักษ์สีขาวขวางกั้น กินบริเวณขนาด ไหนไม่มีใครตอบได้ เพราะไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยข้ามไป ตลอดแนวเทือกเขาใหญ่ มองเห็นยอดเขา สลับ หุบเหวโตรกผารำไร หมอกขาวสุมคลุมยอดเขาเลือนราง

ด้านทิศตะวันตก เป็นป่าดงดิบมีอาณาเขตกว้างไกลจากยอดเขาสูงสุด มองไปจรดขอบฟ้าไกล สุดสายตา ร่ำลือว่าภายในเต็มไปด้วยอันตรายจากป่าดิบและสัตว์อสูรที่ดุร้าย ด้านนี้ติด อาณาจักรหอกเงิน ทั้ง สองอาณาจักร ไม่เคยไปมาหาสู่ เพราะหนทางอันตรายอย่างยิ่ง

แนวเทือกเขาด้านทิศใต้ ภูเขาสูงต่ำ ลัดเลาะทอดยาวหลายพันกิโลเมตรจรด เขตุแดนทะเลทราย ทางทิศเหนือ ของ “อาณาจักรทองไพศาล” ซึ่งเป็น อาณาจักรอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทวีปนี้

ส่วนทางทิศตะวันออก ของเทือกเขา แผ่นดินจะค่อยๆ เทลาดลง เป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล ทอดเหยียดยาวจรดมหาสมุทร มีเมืองหลวงขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลางที่ราบนี้ โดยเยื้องจากกลางอาณาจักร ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เล็กน้อย เมืองหลวงแห่งนี้ มีชื่อเดียวกับ ชื่ออาณาจักรคือ “เมืองหยกขาว”

อาณาจักรหยกขาว ประกอบขึ้นจากอาณาเขต ของเมืองน้อยใหญ่รวมห้าสิบแปดเมือง แต่ละเมืองมี ขนาดไม่เท่ากัน ขนาดใหญ่ที่สุดมีประชากรถึงสามล้านครัวเรือน ขนาดเล็กมีประชากรประมาณสามพันครัวเรือน แต่ละเมือง ตั้งห่างในระยะที่ไม่เท่ากัน ใกล้ที่สุดห่างกัน สี่สิบกิโลเมตร บางเมืองตั้งอยู่ห่างจากกันถึงหลายพันกิโลเมตรก็มี

เมืองสุ่ย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้แนวเทือกทิศตะวันตกของ อาณาจักรหยกขาว ชาวเมืองเรียกยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาว่า ยอดเขาอินทรีกำสรวล ว่ากันว่า แม้พญาอินทรีก็มิอาจบินผ่าน เมืองสุ่ยห่างจากเชิงเขา ประมาณหกสิบกิโลเมตร ระยะทางถึงเมืองอื่นๆ ที่ใกล้ที่สุด อยู่ไกลถึงสองร้อยกิโลเมตร หากวัดระยะทางจากเมืองหลวง เมืองสุ่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก อยู่ห่างถึงสามหมื่นกิโลเมตร

เมืองสุ่ย เป็นเมือง ขนาดเล็ก มีประชากรประมาณ สามพันครัวเรือน เมืองนี้ มีจุดเด่นเรื่อง สมุนไพรและของป่ามีค่า จาก เทือกเขา ชาวบ้านต่างนำมาขายในตลาด ทำให้มักมีชาวต่างถิ่น เดินทางมาเยือน เพื่อหาซื้อ สมุนไพร และสัตว์วิเศษ คุณภาพดี อยู่สม่ำเสมอ

บริเวณเทือกเขา ปกคลุมไปด้วยป่าดึกดำบรรพ์ แน่นขนัดด้วยต้นไม้โบราณสูงใหญ่เสียดฟ้าจน มืดครึ้มวังเวง บางครั้ง แสงแดดยามเที่ยงวัน ส่องไม่ถึงพื้น แผ่นดิน อุดมสมบูรณ์ถึงขีดสุด มีลำธาร ร่องน้ำหลายสาย ไหลมารวมกันเป็นลำน้ำ ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง ไหลลัดเลาะมาจากเทือกเขาสูง บางส่วนกลายเป็นน้ำตกสูงชัน ไหลผ่านช่องโตรกผาแคบๆ มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากปั่นป่วนจนน่ากลัว

ลำธารบางสายไหลเอื่อยๆ อ้อมผ่านเขาเนินเตี้ย ร้อยธารรวมเป็นทะเลสาบ ทำให้เกิดทะเสาบ มากมายหลายสิบแห่ง ในบริเวณรอบเชิงเขา ที่นี่มีสัตว์อสูรชุกชุม บางครั้งแว่วเสียงสัตว์อสูรร่ำร้องอยู่ไกลๆ ในบางครั้ง สัตว์อสูรหายาก ถึงกับปรากฏตัว ให้เห็นตามแนวชายป่า บางตัวเป็นสัตว์อสูรระดับสาม ซึ่งดุร้าย และอันตรายอย่างที่สุด

บริเวณเชิงเขา อินทรีกำสรวล มีหน้าผาแห่งหนึ่ง สูงชันสูงสองสามกิโลเมตร ตัวหน้าผาราบเรียบมีรอยแตกประปรายกระจาย เต็มความกว้างของผา ด้านล่างหน้าผา เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เรียกว่า ทะเลสาบมรกต นอกจากบนหน้าผามีน้ำตกสายน้อยสาดเทลงมากระทบพื้นน้ำ ยังมีลำธารหลายสาย ไหลผ่านหุบเขาใกล้เคียงมารวมกันที่นี่ ทำให้ บริเวณรอบทะเลสาบ อุดมสมบรูณ์ไปด้วยพืชพันธ์และสัตว์อสูร เมื่อแหงนหน้ามองย้อนสูงไปทิศตะวันตกจาก บึงมรกต นอกจากหน้าผา จะมองเห็นยอดเขา อินทรีกำสรวล มีหิมะใต้ หมอกขาวปกคลุมชั่วนาตาปีอยู่รำไร

ตัวทะเลสาบ มรกต ตั้งอยู่บนแนวสันเขา ในยามที่อากาศดีปลอดโปร่ง ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ น้ำใน ทะเลสาบจะสะท้อนแสง สีเขียวมรกต สวยงามดุจมรกตเม็ดงาม น้ำในบึงกระจ่างใส บางจุดมองลึกลงไป เห็นแนวสาหร่ายยักษ์ ไหวไปมาอยู่ใต้น้ำ ไม่มีใครรู้ว่าบึงมรกตนี้ลึกเท่าไร ตัวบึงมีขนาดใหญ่ถึงพันห้าร้อยไร่ ลักษณะเป็นวงรีแคบยาวส่วนแคบที่สุดยังกว้างถึง สามกิโลเมตร ตัวทะเลสาบ ตั้งอยู่บนไหล่เขา เป็นสถานที่อยู่ตรงกลางระหว่างเมืองสุ่ย และ ยอดเขาอินทรีฯ จากยอดเขากับตัวเมืองในระยะที่เท่าๆ กัน ราวๆ สามสิบกิโลเมตร บริเวณรอบบึง ไร้ผู้คนอยู่อาศัย

คนธรรมดา ต้องการมายังบึงนี้ ลำบากมากเนื่องจากต้องปีนไหล่เขาสูงชันและบุกฝ่าป่าเขารกทึบ อาจต้องใช้เวลาถึง สองวัน เรียกได้ว่า บึงนี้เหมือนบึงสวรรค์บนขอบฟ้า สะอาดบริสุทธ์ มองจากขอบบึง ด้านตะวันออกจะเห็น ตัวเมืองสุ่ยที่ต่ำลงไปไกลๆ รอบบึง ยังมีสัตว์อสูรดุร้าย ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จึงเงียบสงบ ไร้ผู้คนย่างกราย

กลางดึกวันหนึ่ง ริมทะเลสาบมรกตที่ไร้ผู้คน ปรากฏชายชราคนหนึ่งเดินท่องอยู่ ถ้าชาวเมืองสุ่ยมาพบเห็นชายชราผู้นี้ ต้องรู้จักแน่ๆ เพราะชายชราผู้นี้ เป็นนักหาสมุนไพรที่มีชื่อของเมือง ชื่อจางเหว่ย เป็นผู้เฒ่าอายุราวหกสิบปีถึงเจ็ดสิบปี เป็นชายชราใจดีโอบอ้อมอารีย์ หน้าผอมซูบนัยตาสดใส เขาไม่ใช่คนเมืองสุ่ยแต่กำเนิด ไม่รู้ว่ามาจากไหน หลายปีมานี้ อาศัยอยู่ตัวคนเดียวที่ ริมทะเลสาบ ซือหยู่ นับตั้งแต่ จางเหว่ยมาอยู่ที่นี่ เขาเข้าป่าเก็บสมุนไพรคุณภาพดี มาขายเป็นจำนวนมาก สมุนไพรที่เก็บเป็น ล้วนเป็นเป็นของหายาก แม้กระทั่ง สมุนไพรทิพย์ขั้นสองหรือสมุนไพรทิพย์ขั้นสาม ผู้เฒ่าจางเหว่ยก็สามารถเก็บมาขายภายในเมือง ทำให้ ตลาดในเมือง ช่วงที่ผ่านมาคึกคักขึ้นมาไม่น้อย

ผู้คนมากมายต่างเดินทางมาหาสมุนไพรดี ที่เมืองสุ่ย เพราะจางเหว่ย ได้ยินว่าบางครั้ง ถึงกับมีผู้ว่าจ้างให้ เฒ่าจาง เสาะหาสมุนไพรทิพย์ขั้นสี่ให้โดยเฉพาะ และไม่เคยผิดหวัง ขอเพียงเฒ่าจางรับปาก ว่าจะหามาให้ แน่นอนว่าผู้ว่าจ้างจะได้สมุนไพรตามที่ต้องการเสมอ แต่ยามค่ำคืนนี้เวลานี้ อีกทั้งหนทางที่ห่างไกล สัตว์อสูรดุร้ายออกเพ่นพ่านหากิน จัดเป็นสถานที่มีอันตรายยิ่งนัก ไม่สถานที่สมควรมีผู้คน มาเดินในบริเวณนี้ แล้ว..เฒ่าจาง มาทำอะไร..?

จางเหว่ย ท่องเดินมองดาวบนฟ้าและแผ่นน้ำ ของบึงมรกต พร้อมรำพึงว่า “ตามคำพยากรณ์ลับ ลิขิตสวรรค์ ….เดือนมืดดาวดับ เทพสวรรค์ทลายอินทรี บัวมรกตกำเนิดหยก..หากการตีความของข้า…ไม่ผิดพลาด มันจะต้องเกิดขึ้นแถวนี้ ในช่วงสองสามวันนี้แน่นอน คงต้องรอดู หาข้ามีโชควาสนา คงพบสิ่งมีค่า ตามคำทำนายนี้”

สองคืนต่อมา ผู้เฒ่าจางเหว่ย ออกมาเฝ้ารอทุกค่ำคืน จนคืนนี้ฟ้ากระจ่างสดใสไร้เมฆ วันนี้เป็นวันเดือนดับท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ แต่หมื่นดาราบน ฟ้าสาดส่องแสงสว่างสกาว จนมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบยามค่ำคืน ยามสอง ท่ามกลางความเงียบ ปรากฏแสงดาว สาดส่องจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏกลุ่มดาวตกจากฟ้า พุ่งทะยาน ตรงมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ ด้วยความเร็วที่ไม่สามารถคำนวนได้ จำนวนนับพันดวงดาวตกเปล่งแสงหลากสี บางดวงสีแดง บางดวงเปล่งแสงสีเขียวกับสีเหลือง ถึงกับมีบาง ดวงสาดส่องแสงสีรุ้งเจิดจ้า ลากหางยาวไกลไปครึ่งฟ้ายามราตรี บางดวงมีขนาดเล็ก พุ่งผ่านมาได้เพียงครึ่งทาง ก็มอดดับ บางดวงมีขนาดใหญ่ แต่ไม่ว่าขนาดใด เห็นชัดว่า มันพุ่งตรงมาที่ บึงมรกต นี้

ทันใดนั้น ดาวตกกลุ่มแรกพุ่งชนลงแนวผา ริมบึง แสงแตกกระจาย ระเบิดโชตฺช่วง หินผา แตกปลิวว่อน กระจายไปทั่ว เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวดังถี่ยิบ ประหนึ่งเหมือนโลก จะแตกสลาย แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่นได้ยินไปไกลถึงร้อยกิโลเมตร โดยเฉพาะเวลาที่ดาวตกขนาดใหญ่ หลายสิบดวง ตกกระแทกพื้นดิน บางดวงตกลงในบึง สร้างกำแพงน้ำสูงร้อยเมตร รอบๆ บึง เหมือนโลกแตก อบอวลคละคุ้งไปด้วย แรงระเบิด ไฟเผาผลาญ คลื่นยักษ์ น้ำแตกกระจาย ราวกับโลกจะแตกเป็นเสี่ยง

จางเหว่ย ตกตะลึง ถึงแม้เขาจะรับรู้มาจากข้อความในคำพยากรณ์ที่เขาพบโดยบังเอิญ แต่ไม่คิดเลยว่า หายนะจะรุนแรงขนาดนี้ แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น ความพินาศโกลาหล ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ดีที่เขาเองอยู่อีกด้านหนึ่งของบึง ถึงแม้มี สะเก็ดหินเพลิง กระเด็นมาบ้าง แต่สามารถหลบหลีก บางส่วนหลบไม่พ้น ก็ถูกป้องกันไว้ได้ด้วยเกราะลมปราณ อีกทั้งตำแหน่งนี้ไม่อยู่ในบริเวณที่ ดาวตกกระแทกพื้น โดยตรงมิเช่นนั้นเขา อาจเสียชีวิตได้

มหันตภัยจากฟ้าระลอกแรก ยังไม่ทันสงบ ดาวตกระลอกที่สองตรงดิ่งมาอีกแล้ว คราวนี้มีดาวตกดวงใหญ่ จำนวนมากกว่าระลอกแรกเสียอีก ภายใต้การจับจ้องของ จางเหว่ย ดาวตกกลุ่มท้าย มีดาวตก กลุ่มหนึ่งห้าดวง สี่ดวงใหญ่สีเขียวสว่างนำหน้า หนึ่งดวงเล็กตามหลังพุ่งเป็นแนวตรงมาที่กลางทะเลสาบ แม้ดาวตกดวงเล็กนี้ จะมีขนาดเล็ก แต่กลับส่องแสงเจิดจ้าสีรุ้งสว่าง สะดุดตากว่าดาวตกดวงใด เมื่อดาวดวงใหญ่ตกลงมากระทบบึงก่อน เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวยามกระแทกน้ำ แต่แทนที่น้ำในบึงจะแตกกระจายพุ่งสูงไปในอากาศ เหมือนการตกของดาวก่อนหน้า กลับแผ่กระจายออกด้านข้างในระยะที่ไม่สูงมากนัก ..ภาพพิสดารพลันปรากฏ น้ำที่กระจายจากการตกของดาวสี่ดวง ได้ก่อเกิดคลื่นม่านน้ำสีเขียว สว่าง ตีเกลียวสอดประสานกัน เป็นร่างแหน้ำขนาดใหญ่ซ้อนกันหลายชั้น สายน้ำ ประดุจกลีบบัวเก้าชั้น หมุนวนและกำลังบานออก ภายในอึดใจเดียว ดาวตกดวงสุดท้าย ตกปะทะม่านกลีบบัว ทำให้ความเร็ว ในการตกลดลง และเริ่มหมุนเป็นแนวโค้งตามทิศแรงหมุนของกลีบบัว ยิ่งผ่านม่านบัวแต่ละชั้น แนวตกยิ่งโค้งและช้าลงเรื่อยๆ

ถึงตอนนี้ เฒ่าจาง อุทานออกมา “บัวมรกตกำเนิดหยก” เมื่อดาวตกผ่านกลีบบัว ที่เก้า ทิศทางกลับกลายเป็นพุ่งย้อนกลับตรงมาทางจางเหว่ย ทันทีที่ ดาวตกดวงเล็กดวงนั้นผ่าน ม่านบัวน้ำ แล้วตกกระทบพิวน้ำ กลับไม่จมลงในทันที แต่กลิ้งไถลไปบนพิวน้ำ พุ่งตรงมาทาง จางเหว่ย ก่อนที่จะเริ่มช้าลง จางเหว่ย พุ่งทะยานข้ามผิวน้ำ ตรงหาดาวดวงเล็กนั้น ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล่บ ก่อนที่แสงจากดาวนั้นจะดับลง หลังเฒ่าจาง และ ดาวดวงนั้นได้จางหายไปในความมืด ทิ้งความโกลาหล และ มหันตภัยจากดาวตก ไว้เบื้องหลัง….

ของล้ำค่าจากดวงดาว

ยามสายรอบบริเวณบ่อมรกต เต็มไปด้วยหลุมบ่อกระจัดกระจายด้วย พื้นที่ไฟไหม้ป่าไม้บางส่วนหักราบพณาสูญเกิดหลุมควันกรุ่นขึ้นมากมาย บางหลุมกว้างและลึกหลายสิบเมตร ที่ก้นหลุมยังมีหินหลอมละลาย ส่งควันคุกรุ่น คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สัตว์อสูรที่เคยชุกชุม แตกตื่นตกใจแล่นหนีไปไกล

ที่ไกลตา มีเงาร่างของชาวยุทธ์จำนวนมากมาย เร่งรีบตรงมาเสียงอึกทึกเมื่อคืนดังไกลไปกว่า หนึ่งร้อยกิโลเมตรชาวยุทธ์ ต่างแห่กัน เดินทางมาเพื่อแสวงหาโชคลาภจากดาวตก แน่นอนแร่ดาวตกมีค่ามหาศาลนัก นอกจากจะสามารถนำไปสร้างอาวุธอันร้ายกาจ บางครั้งอาจพบ อัญมณีมีค่าในหินดาวตก หรือ พบเจอโชคลาภอย่างอื่นเช่น คัมภีร์ลับ หรือยาวิเศษที่มาพร้อมกับดาวตกก็เป็นได้

วันต่อมา รอบๆ บริเวณก็คึกคัก มีผู้คนมากมายมาที่นี่ หลายวันให้หลังเมื่อข่าวกระจายไป บางคนเดินทางมาจากต่างมืองที่อยู่ไกลเกินสองพันกิโลเมตรเสียอีก เมืองสุ่ย พลันคีกคัก มีผู้คนแปลกหน้ามาเยือนไม่ขาดสาย แน่นอนย่อมมีผู้โชคดีพบโชคเจอสินแร่ดาวตกเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็นำมาเร่ขายบ้างก็เก็บเงียบ กระทั่งเกิดการต่อสู้แย่งชิงเมื่อพบของมีค่า เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายรอบๆ บึงมรกต จนผ่านไปเนิ่นนานหลายเดือนเรื่องนี้ค่อยๆ เงียบลง

หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่บนริมทะเลสาบซือหยู่ บนที่ลาดเชิงเขาต่ำลงไปสิบห้ากิโลเมตร ทะเลสาบนี้มีผู้คนอยู่อาศัย กระจายรอบทะเลสาบหลายสิบหลังคาเรือน ส่วนใหญ่มีอาชีพทำประมง กับหาของป่าในทะเลสาบ มีปลากระบอกน้ำเย็นรสชาติดี เป็นอาหารที่เลื่องชื่อของเมืองสุ่ย

เจ็ดวันจากมหันตภัยดาวตก ที่บ้านน้อยริมทะเลสาบ ซือหยู่ บ้านหลังนี้สร้างด้วยอิฐกึ่งไม้ไผ่ ทิศตะวันตกปลูกอิงโขดหินหน้าบ้านมีสะพานน้อยทอดลงไปในทะเลสาบ บนสะพานผูกเรือลำเล็กๆ ลอยลำอยู่ รอบบริเวณบ้านร่มรื่นต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ ลานข้างบ้าน มีลานตากสมุนไพร ด้านหลังมีทางน้อยทอดยาวหายไปทางป่าสน นับว่าเป็นบ้านน้อยริมทะเลสาบ ที่น่าอยู่เป็นอย่างยิ่ง

บ้านหลังนี้ อยู่ไกลจากบ้านหลังอื่นริมทะลเสาบพอสมควร ตอนนี้ถ้าใครเดินผ่านมาใกล้บ้าน จะได้กลิ่นสมุนไพรฉุนเฉียวบ้าง สดชื่นบ้าง บางทีถึงกับมีกลิ่นเปรี้ยวเผ็ด ลอยคละคลุ้งตลบอบอวลไปหมด แต่คงไม่มีใครแปลกใจ เพราะนี่เป็นบ้านของ ผู้เฒ่าจางเหว่ยนักขุด สมุนไพรมือหนึ่งของเมือง บางครั้งเฒ่าจางอารมณ์ดี พาลปรุงยานำไปขายที่ตลาดด้วย มีทั้งยาลูกกลอนและตำรับยาสำหรับต้ม บางครั้งถึงกับมีโอสถระดับหนึ่งอยู่ด้วย ชาวเมืองนิยมซื้อหากันไม่น้อย

ภายในบ้านประกอบด้วย ห้องน้อย ขนาดเล็กสามห้อง มีห้องใหญ่สำหรับรับแขก และทานอาหาร ที่ลานข้างบ้าน มีสมุนไพรตากแห้งอยู่ไม่น้อย ผู้เฒ่าจาง กำลังสาละวนกับ การปรุงยาสมุนไพร เห็นได้ว่าเคร่งเครียดนัก เมื่อเตรียมสมุนไพรเสร็จ เขาเข้าบ้านนำตัวยาไปพอกให้ผู้ป่วย ที่นอนสลบภายในห้องเล็กห้องหนึ่ง ดูไปแล้ว ผู้ป่วยมีเรือนร่างที่เล็กพอสมควร ถึงแม้จะมีพอกยาไปทั้งตัว แต่ก็ยังพอมองออกว่าเป็น เด็กน้อยคนหนึ่ง หลังจากเปลี่ยนยาสมุนไพรเสร็จสิ้น เฒ่าจางค่อยสงบเยือกเย็นลง

ที่นี่ที่ไหน..ในความมืด….มืด..มิด…..ไม่มีแสงแม้แต่น้อยนิด….ไม่ได้ยินเสียง มันช่างเงียบ…หนาวเย็น….อ้างว้าง…เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ….ราวกับลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศอันไกลโพ้น ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งใด นอกจากความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด…เหมือนผ่านเวลามาเนิ่นนาน ราวกับผ่านช่วงเวลานานนับร้อย…นับพันปี…มันเลือนรางล่องลอยโดยไร้จุดหมาย จนกระทั่ง ที่ห่างไกลมีแสงจุดเล็ก ปรากฏขึ้น….และค่อยๆ ล่องลอยใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ในที่สุดแสงจุดนั้นก็มีขนาด ใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้น ค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดพุ่งมาอย่างรุนแรงกระแทก ร่างกายของเขากลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าแสบตา เหมือนกับว่าเขากำลังพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ …วูบ

ความรู้สึกต่างๆ ค่อยกลับมาสู่ตัวตน..เปลือกตา..เสียงหัวใจเต้น..ตุ๊บๆๆ รู้สึกถึงร่างกาย แขนขา ในทันใดนั้น …ความรู้สึกนี่ …เจ็บ.เจ็บปวด….มันช่างเจ็บปวดเหลือคณา ยากที่จะอธิบาย มันเป็นความเจ็บปวด ที่มาจากส่วนลึกของวิญญาณ ทั่วร่างกายเจ็บปวดเหมือนกระดูกถูกป่นแตกออกเป็นชิ้นเล็กชินน้อย อวัยวะภายในทั่วร่าง เหมือนถูกควักออกมาแล้วสับจนละเอียด เจ็บจนต้องร้องครางออกมาเบาๆ ต่อจากนั้น รู้สึกถึง…แสงจ้า..ที่กระทบเปลือกตา เขาพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานไม้ไผ่ ซ่อมซ่อสีมอ สานจากไม้ไผ่ลำเล็กๆ ..เขาพยายามส่งเสียง เพียงแต่อย่าว่าแต่ส่งเสียง แค่..ขยับเปลือกตายังยากลำบาก เขาตะโกนขึ้น..ในใจสุดเสียง มีใครอยู่บ้างไหม…ช่วยด้วย..ช่วยผมด้วย แล้วก็วูบสลบไป …เขาผ่านห้วงเวลา สลบ..สลับ…ตื่น….ขึ้นมา..จนกระทั่ง

จ๋อม …จ๋อม…ซ่า เสียงน้ำทำให้เขารู้สึกตัวขึ้น ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขายังอยู่ที่เดิมนอนบนเตียงในห้องไม้ไผ่เขาพยายามขยับตัวแต่มันเจ็บระบมไปหมด ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีคน ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาจากปาก ทันใดนั้น เหมือนผีหลอก เขาเห็น ชายชรา ท่าทางใจดีปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง เขาไม่เห็นชายชราเดินเข้ามา เหมือนว่า ชายชรา ยืนอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนาน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความว่างเปล่า หลังจากตกใจเล็กๆ ดูใบหน้าของชายชรา ผอมซูบอายุประมาณ เจ็ดสิบปีท่าทางใจดี ชายชรามองมาที่เขา และพูด อะไรบางอย่าง เร็วปรื่อ..เขาไม่รู้ว่าชายชรากำลังพูดอะไร พยายามๆ คิบคิดตีความ สมองสับสนอลวน ทันใดสติของเขาก็เริ่มเลอะเลือน แล้วเขาก็หมดสติ ไปอีกครั้งหนึ่ง……..

วันนี้ยามสาย จางเหว่ย ออกมาเดินเล่นบนสะพานน้อยบนทะเลสาบ มองไปยังขอบฟ้าด้านทิศเหนือ รำพันกับตัวเองว่า “ไม่น่าเชื่อ ใครจะคาดคิด ของล้ำค่าที่มากับดาวตกจากฟากฟ้า จะเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กน้อยนี่เป็นใครกันมาจากที่ใด หรือเป็นเทพจากสวงสวรค์ ข้าอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยได้ยินว่ามี เด็กน้อยตกลงมาพร้อมกับดาวตก เด็กน้อยนี้ประหลาดนัก ได้รับบาดเจ็บไฟไหม้ทั้งตัว แม้ว่าตัวยาสมุนไพรของข้าจะเป็นสมุนไพรวิเศษ วิชาแพทย์ข้าไม่ธรรมดาสามัญ แต่อาการบาดเจ็บของเด็กน้อยนี้ กลับหายเร็วเกินไปแล้ว ผ่านไปเพียงเจ็ดวันบาดแผลไฟไหม้ ทั่วร่างถึงกับหายดีเกิดผิวหนังใหม่ทั้งหมด อวัยวะภายในที่บอบช้ำก็เริ่มฟื้นฟูใกล้หายดี ทิ้งเพียงร่องรอยด่างบนผิวหนังเล็กน้อยเท่านั้น แล้วยังมีวิชา…ปราณมังกรชั้นจักรพรรดิ..นั้นอีก อาจบางที่นี่เป็นลิขิตของฟ้า ส่งมอบทารกนี้มาให้กับข้า หากมีวาสนาต่อกันจริงๆ สำนักข้า…”

ทันใดนั้นภายในห้อง มีเสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น จางเหว่ย เป็นยอดยุทธ์ที่ซ่อนเร้น ความเปลี่ยนแปลงในรัศมี รอบร้อยเมตรไม่อาจปกปิดเขาได้ ฉับพลันโดยไม่เกรงว่าชาวโลกจะตื่นตกใจ ร่างของเขา ขยับวูบกลับเข้าในห้องอย่างรวดเร็ว มองไปที่เด็กน้อยที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ได้ยินเสียง…ครวญครางออกมาเล็กน้อย และค่อยๆ ลืมตาขึ้น…

หลับไป เนิ่นนาน เขาก็รู้สึกตัว อีกครั้งหนึ่ง ถึงจะเบลอไปหมด แต่เริ่มตั้งสติได้ ก่อนจะลืมตาขึ้น เริ่มลำดับความคิด เขาอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น หลังจากกะพริบตาอยู่หลายที ทันใดนั้นความรู้สึกที่ตามมาคือ ความเจ็บปวด มหาศาล จนต้องครางออกมา เขาลองขยับตัวแต่ก็ต้องตกใจ เขาไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย มัน.ชา…ไม่สามารถรู้สึกถึง ขา..แขน..มือ..เท้า..นิ้ว…ความรู้สึกนี้เหมือน เกิดขึ้นกับเขาแต่นานมาแล้ว แต่รุนแรงสิ้นหวังมากกว่า

ในตอนนั้น เขาทำงานหนักนอนดึกไม่ได้พักผ่อน ลืมกินข้าว ตกสายต้องขนของขึ้นอาคารชั้น 7 แล้วเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ จากโรคเบาหวานในความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงนั้น เขาพยายามออกแรงสุดชีวิต แค่กระป๋องน้ำอัดลมใบเล็กๆ ในมือ เขายังไม่มีแรงยกขึ้นท้ายที่สุดเขาต้องนอนลงกับพื้นเพื่อดูดน้ำอัดลมกระป๋องนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด นับว่ายังขยับตัวได้บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่นิ้วก็ยังกระดิกไม่ได้ ทำได้ แค่..ขยับเปลือกตา

สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ ความเจ็บปวดมหาศาลนี่มัน..อะไรกัน มันคือ? เขาเคยทระนงว่า เป็นผู้ทนทานความเจ็บปวด จัดอยู่ในกลุ่มผู้เสพความเจ็บปวด ขนาด กระดูกแขนหัก สองท่อนจากกีฬา X-Stream หมอจับดัดต่อกระดูกแขนโดยไม่รมยาสลบหรือฉีดยาชา เขายังเฉยทนได้ไม่มีเสียงเจ็บปวดครวญครางแม้แต่น้อย แม้แต่ หมอฟันกรอเนื้อฟัน โดยไม่ฉีดยาชา เขายังทนได้สบาย แต่ พระเจ้า! ความเจ็บปวดตอนนี้เหมือน กระดูกทั่วร่างกาย ถูกบดแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อวัยวะภายในเหมือนกระดาษยุ่ยๆ ถูกฉีกออก รับรู้ได้ชัดเจนคือทุกครั้งที่เขาหายใจเหมือนกับ เอามีดอาบไฟนรกกรีดอยู่ในปอด มันเจ็บปวดแผดเผาอยู่ในอก ผิวกายของเขาแสบร้อนและเจ็บปวดดัง ถูกตะกุยด้วยแปรงลวด แล้ว ราดน้ำเกลือเดือดๆ ถ้าแหกปากร้องได้ เขาคงแหกปากร้องเสียงดังลั่นทุ่ง แต่ สิ่งที่เขาทำได้คือ แผดร้องสุดเสียงในใจในขณะที่ เขามีแรงเพียงส่งเสียง…อือๆ …อือ …รอดจากไรฟันเท่านั้น ทนได้เพียงชั่วอึดใจ แล้วสติของเขาก็ดับวูบ ไปอีกครั้ง

หลังจากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมามีสติอยู่ชั่วขณะ คราวนี้ รู้สึกถึงร่างกาย ห่อหุ้มด้วยความเย็น ชุ่มช่ำ ดุจได้รับโอสถเทพ เย็นสบายไปทั้งร่างกาย เพียงครู่เดียว ก็รับรู้ความเจ็บปวด กลับมาทรมาณเหมือนถูกผลักลงกระทะที่มีน้ำมันเดือดพล่าน ทุกข์ทรมาณ จนสลบไป บางครั้งฟื้นตื่นขึ้นมา พบว่าเหมือนใคร จับร่างของเขาโยนเข้าแช่ในธารน้ำแข็ง หนาวเหน็บสุดขั้วจนสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ บ้างร้อนดุจผ่านนรกโลกันตร์ บ้างหนาวดุจถูกแช่ในอเวจีเยือกแข็ง วนเวียนร้อนหนาว อย่างนี้ เหมือนถูกทรมาณให้ตกนรกอยู่ชั่วนิรันดร…จนกระทั่ง

เช้าวันนึ้ เมื่อรู้สึกตัวอีกที สิ่งแรกที่รับรู้คือกลิ่นยาสมุนไพรที่สดชื่น ร่างกายของเขาเหมือนถูกห่อหุ้ม ด้วยแพรพรรณนุ่มเย็นละมุนความเจ็บปวดยังคงอยู่ เพียงแต่ลดลง เริ่มบรรเทาความรุนแรง อยู่ในระดับที่เขาสามารถทนรับได้ เขาส่งเสียงคราง พร้อมลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ เขายังคงอยู่ที่เดิม บนเตียงภายในห้องไม้เล็กๆ มีประตู หนึ่งบานหน้าต่างขนาดเล็กที่ปิดอยู่สองด้าน เก้าอี้นั้งสองสามตัวกับโต๊ะขนาดกลางๆ ตัวหนึ่ง ตัวบ้านเป็นครึ่งอิฐครึ่งไม้ เครื่องเรือนล้วนทำจากไม้ไผ่ เขาได้ยินเสียงน้ำๆ ไหล ดังแว่วมาไม่ไกลนัก ในปากมีความรู้สึก ขมปนหวาน ไปถึงลำคอ

ทันทีที่ลืมตา ได้ยินเสียงวูปลมในห้องปั่นป่วน ทันใดนั้น มีชายชราหน้าตา เหี่ยวย่นท่าทางใจดี ปรากฏ ตัวขึ้นกลางห้อง คราวนี้เขาไม่ตกใจอีกแล้ว เริ่มมองที่ชายชรา ชายชราสวมเสื้อเก่าๆ สีเทาดำ รูปแบบแปลกเหมือนคนจีนในยุคโบราณ ชายผู้นี้ มีแววตาสดใสลึกล้ำเหมือนผ่าน ห้วงเหว ลมฝน มานานนับร้อยปี ชราแต่กลับดูแข็งแรง กระชับกระเชงเหมือนคนวัยฉกรรจ์ อายุสี่สิบปีก็ไม่ปาน ชายชรานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ยิ้มให้ แล้วพูดกับเขาประโยคหนึ่ง “醒醒? 你好吗?” …..อะไร..หว่า.!

ชายหนุ่มนิ่ง อึ้ง พยายาม ตั้งสติทบทวนคำพูดของชายชรา …นี่มันภาษาอะไร…ด้วยสมองมึนงง ชายชรา ไปหยิบถ้วยน้ำ ที่ทำจากไผ่ แล้วประคองให้ชายหนุ่ม ดื่มลงไปชายหนุ่มดื่มน้ำจนหมดถ้วยอ้าปากจะถามเรื่องราว ชายชราส่ายศีรษะน้อยๆ พร้อมกับใช้นิ้วกดลงบนตำแหน่งหนึ่งบนร่างกายชายหนุ่ม ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็หลับไป ……

หลายมาวันนี้ เขาเริ่มขยับตัวได้บ้างแล้ว เขาพยายามจะพูดกับชายชรา แต่พึ่งอ้าปาก แต่ชายชราโบกมือให้ เขากินข้าวและ ดื่มยาน้ำสีเขียวข้มมีกลิ่นหอม ทันทีที่เขากินยาเสร็จ ชายชราก็จะกดจุดทำให้เขาหลับไปในทันที

เช้าวันนี้เมื่อตื่นขึ้นมา เขาพึ่งรู้สึกตอนนี้เองว่า ชายชรา มีร่างกายที่ใหญ่โตและสูงมากโดยไม่มีการพูดจา ชายชราก็นำผ้าพันแผลที่พันรอบตัวเขาจนเหมือนเป็นมัมมี่ ออกจนหมด เขามองร่างกาย มองแขนที่นำผ้าพันแผลออกแล้ว ผิวกายเรียบสี ออกขาวเล็กน้อย ยังมีร่องรอยเลือนรางของแผลไฟไหม้อยู่จางๆ ทั่วร่างกายก็เป็นเหมือนกัน จากเหตุการณ์ที่เขาจำได้ ….ล่าสุดร่างกายเขาลุกไหม้…ไฟท่วมทั้งตัว นี่..ไม่กี่วันแผลของเขาหายแล้ว หายเร็วเกินไป และสภาพดีเกินไป

ทันใดเขาตกใจจนแทบสิ้นสติ!!! มองดูตัวเอง ร่างกายของเขามี ขนาดเล็กลง มองไปมองมาเขากลายเป็นเด็กไปแล้ว …อ๊..า..ก…เกิดอะไรขึ้น….ทำไมเขากลายเป็นเด็ก….!!!!

ฟื้นตื่น

ด้วยความตกใจ เขาโวยวายถามชายชรา ด้วยภาษาตามสัญชาติเดิมของเขา ชายชรา งุนงง พร้อมโบกไม้โบกมือให้เขาสงบลง เขายังไม่หยุด แต่เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วพ่นคำถาม ต่อเนื่องมากมาย ใส่ชายชรา ผ่านไปราวสองชั่วโมง เขาเริ่มสงบ ตลอดเวลาที่เขาโวยวาย ชายชราฟังไม่ออกแม้แต่นิดเดียวว่าเขาพูดว่าอะไร

เฒ่าจางไม่ตกใจ ด้วยคิดอยู่แล้วว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เด็กน้อยจากดวงดาวกับโลกนี้คงใช้ภาษาที่แตกต่างกัน เขาเคยอ่าน บันทึกโบราณ รู้ว่านอกจากภาษาที่เขาใช้สื่อสาร ยังมีภาษาอื่นๆอีกมากมาย คัมภีร์ลับหรือตำราหลายเล่ม ก็ใช้ภาษาอื่นๆ เป็นเรื่องปรกติ เขายกแก้วน้ำ ในมือขึ้น แล้วพูดว่า “น้ำ…” สองครั้งติดกัน ชายหนุ่มตั้งใจฟัง นั่งนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สมองกำลังค้นหาและเทียบเคียง ความหมายคำพูดกับท่าทาง เนิ่นนาน หลังจากทบทวนตั้งสติอยู่พักใหญ่ เขาก็เริ่มจับได้ว่า ชายชราพูดภาษาจีน แต่สำเนียงนี้ไม่คุ้นเลย อาศัยที่ผ่านมา เขาเคยเรียนและหัดพูดจีนกลางมาหลายปี พอจับใจความได้จึงถามชายชราเป็นภาษาจีน กระท่อนกระแท่นว่า “เกิดอะไรขึ้น…ผมอยู่ที่ไหน…คุณเป็นใคร”

จางเหว่ย ตั้งอกตั้งใจฟัง ทันใดเขาก็ดีใจแทบบ้าคลั่ง ทารกจากดวงดาว สามารถพูดภาษาของโลกนี้ได้ ถึงแม้สำเนียงจะปะหลาดพิกลแต่พอฟังรู้เรื่อง ในความคิดของเขา การพูดคุยสื่อสารกับทารกจากดวงดาว คงเป็นเรื่องยากลำบาก “อย่างนี้ก็ง่ายแล้ว” น่าจะใช้เวลาไม่นานในการพูดคุยถึงขั้น หัดอ่านออกเขียนได้ เขาเองก็อยากรู้ เรื่องราว ในโลกของเด็กน้อยอยู่ไม่น้อย เมื่อถึงเวลานั้น บางเรื่องอาจมีประโยชน์กับ วิชายุทธ์และวิชาโอสถ ของเขาไม่มากก็น้อย

“ข้าชื่อ จางเหว่ย เป็นผู้เฒ่าพำนักอยู่เมือง สุ่ย ที่นี้บ้านของข้า ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ซือหยู่..” เขาพูดแนะนำ จากนั้นก็ถามช้าๆว่า “เจ้าชื่ออะไร” ชายหนุ่มคิดถึงในวัยเด็กเขาเคยไปเรียน ภาษาจีนในศาลเจ้าประจำมูลนิธิคุณธรรมแถวบ้าน กับสินแสประจำศาลเจ้า สินแสเคยตั้งชื่อจีน เพื่อให้เขาหัดเขียนภาษาจีน เรียกว่า “เทียนหลง” แต่เขาไม่รู่ว่าแซ่อะไรกันแน่ หลังจากรู้ชื่อของทารกแห่งดวงดาว ก็พูดสรุปง่ายๆว่า ”เจ้าเรียกข้าว่า ปู่จางก็แล้วกัน หากใครถามเจ้าจงบอกไปว่า เจ้าแซ่จาง

ชื่อเต็มคือ “จางเทียนหลง” เป็นหลานของข้ามาจากต่างเมือง ตอนนี้เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ มีอะไรรอให้เจ้าดีขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยว่ากัน”

เวลาผ่านไปย่างรวดเร็ว เทียนหลง พักรักษาตัวอยู่กับจางเหว่ย ได้หนึ่งเดือน เขาเริ่มทำความเข้าใจสำเนียงจีนโบราณ และพยายามสื่อสารพูดคุยกับ จางเหว่ย หลังจากตั้งสติ ลำดับความคิดแล้วเช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าแจ่มใส หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว เริ่ม ถามคำถามเป็นชุด กับ จางเหว่ยจากคำถามแรก

“คุณมี โทรศัพท์ไหม…?

ทำไมผมไม่อยู่ใน โรงพยาบาล…?

หน่วยกู้ภัยที่ใกล้ที่สุดอยู่ไหน…?

ผมอยู่ในประเทศอะไร…?

สนามบินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน…?

ผมจะติดต่อสถานทูตได้อย่างไร…?

…?…“

ถึงแม้ว่า สำเนียงของทั้งสองฝ่ายจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง ขมวดคิ้ว หลังจากผ่านการทวนคำถาม ตอบอย่างยากลำบาก ผ่านการสนทนามาเนิ่นนาน เทียนหลงก็ค่อยๆ สรุปได้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่า จางเหว่ย เป็นคนช่วยเขาไว้ และ ตกใจมากที่รู้ว่า เขาตกลงมาพร้อมดาวตก เขาไม่ได้อยู่ในโลกเดิมอีกต่อไป โลกนี้เหมือนโลกจีนยุคโบราณ เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นการย้อนเวลาหรือไม่ แต่คนที่ตระหนกมากกว่าคือ จางเหว่ย หลังจากคำถามที่ เทียนหลง ยิงรัวเป็นชุด เขาค่อยๆ ตอบและถามกลับ ทำให้ จางเหว่ย ยิ่งตื่นตกใจเป็นเท่าทวี

“….โทรศัพท์…คือเครื่องมือที่ใช้สื่อสาร สามารถพูดคุยแบบเห็นหน้าหรือภาพกับคนที่ห่างไป เป็นหมื่นๆกิโลเมตร…?. อะไรนะส่ง VDO มันคืออะไร..?.”

“…โรงพยาบาล คือ สถานที่รักษาพยาบาล มีแพทย์ประจำเป็นร้อยมีเครื่องมือ วิเศษตรวจชีพจร…มองกระดูก…?”

“…หน่วยกู้ภัย หน่วยช่วยเหลือที่เกิดจากการรวมตัวของหลายชาติพันธุ์ หลายอาณาจักร…”

“…มีเครื่องจักรที่ใช้บินได้บรรทุกคนเป็นจำนวนมาก แถมยังรวดเร็วมาก จากเมืองสุ่ย บินไป เมืองหลวงหยกขาวใช้เวลา ไม่ถึงสามวัน ทั้งที่ในโลกนี้แม้ ใช้สัตว์อสูรบก ที่เร็วที่สุดโดยไม่หยุดพัก ยังต้องใช้เวลาเกือบถึงหนึ่งปี …”

"….?"

เมื่อผ่านเรื่องราวอันน่าตื่นตกใจ หลังจากพยายามทำความเข้าใจอยู่พักใหญๆ จางเหว่ย คิดคำถามอยู่ครู่หนึ่ง เขาต้องการรู้ความสามารถในการทำสงครามและป้องกันเมืองมนโลก ของเทียนหลง สอบถามถึงการป้องกันอาณาจักร “อาวุธป้องกันเมือง หรือ อาณาจักรที่ทรงอาณุภาพในโลกของเจ้า คืออะไร มีอานุภาพร้ายแรงขนาดไหน” เทียนหลงนิ่งคิดตอบคร่าวๆ ว่า “เท่าที่เปิดเผยและ ข้ารับรู้ข้อมูล น่าจะเป็น ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป” หลังจากอธิบาย ถึงรัศมีและกำลังทำลายล้าง จากเหว่ย ตกตะลึง…นิ่งอึ้ง

อาวุธที่ทำลายศัตรูที่ห่างไกลถึงหลายหมื่นกิโลเมตรได้ “ข้าเคยรับรู้อนุภาพของอาวุธเทพเซียน ระดับจักรพรรดิ์ ถ้านำมาเปรียบ มันมีอานุภาพไม่ถึง หนึ่งในร้อยส่วน เมื่อเทียบกับอาวุธที่เจ้าเอ่ยถึง คงไม่ผิดแล้ว! เจ้าคงมาจากแดนเทพเป็นแน่แล้ว “

หลังจากภาวะตื่นตกใจ มึนงง สับสน สั่นขวัญสะท้านวิญญาณผ่านไป ทั้งคู่ก็เริ่มสนทนากันช้าๆ จางเหว่ย พูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน มาที่นี่ได้อย่างไร ข้าเก็บหยกจารึกโบราณได้ที่ ริมบึงมรกต บนหยกมีคำทำนายลับ ลิขิตสวรรค์ ข้าลองตีความแล้วไปรออยู่ริมบึง หวังว่จะได้รับโชคจากฟ้า หลังจากนั้นเจ้าก็มา .. นั้นสิ เจ้ามาที่นี่ทำไม แล้วทำไมโลกเจ้าถึงส่งเจ้าที่เป็นเด็กน้อย อายุเพียงห้าขวบมาที่นี่ เจ้าจะทำอะไรต่อไป ?”

เทียนหลง นิ่งคิดอยู่นาน ก่อนตอบคำถามสุดท้ายของ จางเหว่ย “ข้าไม่รู้ว่ามาทีนี่ทำไม หลายคำถามที่ท่านถามข้าตอบไม่ได้ ตัวข้าเองมีคำถามมากมายแต่ ข้าไม่รู้จะถามท่านอย่างไรดี ตอนนี้ข้ามืดไปหมดทุกด้าน ขอพักอยู่กับท่าน ปู่จาง ก่อนได้ไหม ” เฒ่าจางมองเห็นความอึดอัด และอับจนปัญญาบนหน้าของ เทียนหลง แล้วพูดขึ้นง่ายๆ ว่า “เอาตามนี้ไปก่อน รอเจ้าหายสนิทแล้วค่อยว่ากันอีกที”

วันรุ่งขึ้น จางเหว่ย เห็น เทียนหลง ลุกขึ้นเดินไปเดินมาได้แล้ว หลังจากเตรียมเสบียงเสร็จ ก็ออกไปหาสมุนไพรแต่เช้ามืด ยามนี้ เทียนหลง รู้แล้วว่า ปู่จาง เป็นนักขุดสมุนไพรและยังเป็นแพทย์ มือพิสดาร ถึงสามารถจ่ายยาวิเศษที่ใช้รักษาเขาให้หายได้อย่างรวดเร็ว

เทียนหลง มีความเลื่อมใสในวิชาแพทย์ของ จางเหว่ย ยิ่งนัก ลองมาย้อนคิดดู หากเขาบาดเจ็บระดับนี้ ในโลกที่เขาจากมา คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า หกเดือนจึงจะสามารถลุกเดินและเริ่มหาย นี่ยังไม่นับการปลูกถ่ายผิวที่ถูกไฟไหม้อีกด้วย รวมเวลารักษาทั้งหมด สภาพของเขาตอนนี้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า สองปีแต่นี้ ผ่านไปเพียงเดือนเศษ ช่างเป็นวิชาการรักษาที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ด้วยความที่รักการเรียนรู้ และความสนใจที่มี ต่อเรื่อง สมุนไพรใบยา ตั้งแต่โลกเดิม เขาตั้งใจจะขอเรียนวิชากับ ปู่จาง ทันทีที่เขากลับมาจากหาสมุนไพร

ยามสาย เทียนหลง ไปนั่งเล่นบนสะพานน้อย ริมทะเลสาบหน้าบ้าน เขาครุ่นคิด ถึงแม้มียังมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ แต่เขาไม่กล้าถามจางเหว่ย มีหลายเรื่องที่เขาเองก็ไม่ชัดเจน และบางเรื่องสำคัญจนไม่กล้าเอ่ยปากถาม เช่น

“เขามาที่นี่ได้อย่างไร ทำไมจางเหว่ยถึงสามารถเก็บเขาที่ไฟลุกท่วมตัวกลับมา แล้วใช้ยาอะไรรักษาเขาถึงได้หายอย่างรวดเร็วปานนี้ และคำถามที่สำคัญและพิสดารสุดๆ ร่างกายของเขาทำไมกลายเป็นเด็ก แถมเป็นเด็ก อายุห้าขวบเท่านั้น ปู่จาง ใช้อะไรวัดอายุของเขานอกจากร่างกายที่กลายเป็นเด็ก อัตลักษณ์ต่างๆ ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา โครงสร้างร่างกาย ผิวสีที่ขาวขึ้นเล็กน้อย มีเพียงสองสิ่ง ที่เปลี่ยนไป และเขาคิดว่า เป็นพรจากสวรรค์นั้นคือ

ฟันที่กรอและอุดไปหลายซี่ กลับมาเป็นฟันที่สมบูรณ์ โรคต่างๆ ที่รุมเร้าเขาในโลกก่อน เช่น เบาหวาน ปลายประสาทอักเสบ รวมถึงโรคความดันต่ำ อาการกวนใจทั้งหมดหายไปจากร่างกายของเขาอย่างไม่มีร่องรอย เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ร่างกายของเขาแข็งแรง…ถึงกับแข็งแรงกว่าเดิมเสียอีก”

ส่วนที่ไม่แน่ใจว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย คือความทรงจำของเขายังเด่นชัด เรื่องราวรวมถึงประสบการณ์ ที่ผ่านมาในโลกเก่า ยังคงอยู่…ชีวิตที่ผ่านมา มันเหมือนผ่านความฝันอันยาวนาน…ผ่านสุขทุกข์ร้อนหนาว…การฟันฝ่าอุปสรรค…เรื่องราวที่บางครั้งอับจนปัญญายากแก้ไข..บางทีโชคดี..มีหัวเราะทั้งน้ำตา และอืนๆ..อีกมากมาย แต่ชิวิตที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่สามารถกำหนดได้ มันล่องลอยไปตามชะตาที่ ถูกผู้อื่นกำหนดอยู่เสมอ …… ไม่แน่ นี่อาจเป็นโอกาสที่เขาจะกำหนดชีวิตของตนเอง “..ชีวิตใหม่..”

จากที่จางเหว่ยเล่าถึงวิธีการมาของเขา สรุปได้ทันทีว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับไป ถึงแม้โลกนี้จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลยก็ตาม ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา ไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่ว่าการที่เขามาอยู่ที่โลกใหม่นี้ สามารถรับรู้ถึง อากาศอันแสนบริสุทธิ์ ไร้มลภาวะใด สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่สามารถพบเจอได้ในโลกเก่า นอกจากนี้ตัวเขายังรู้สึกและสัมผัสได้ ถึงพลังลึกลับบางอย่าง ที่ทำให้ร่างกาย สดชื่นเปี่ยมพลัง ราวกับจะโยกขุนเขาแหวกท้องฟ้าบินไปในนภา ทะยานไปในจักรวาลเยือนดวงดาวอันห่างไกล

เขาคงต้องเริ่มชีวิตใหม่นี้ แม้ว่าการจะดำรงชีวิต ในสภาพแวดล้อมที่เป็น เด็กน้อย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาไม่เคยกลัวความลำบาก ปัญหาที่ยากแก้ไข เช่น ภาษา สังคม การทำมาหากิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่เทียมฟ้าแต่อย่างไร จากประสบการณ์ชิวิต ที่ผ่านความฝันอันยาวนานเขาแน่ใจว่า สามารถแก้ไขได้ทีละเปลาะ แรกฟื้นตื่นและรับรู้ความจริงอันน่าตกใจนี้ เขาคิดว่าโลกนี้คือความฝัน แต่ตอนนี้ เขาคิดว่า โลกในอดีตต่างหากคือความฝันแถมยังเป็นฝันร้ายเสียด้วย ดังนั้น ได้เวลาแล้ว ..เวลาที่จะพลิกฝัน…ฟื้นตื่น…ฟื้นตื่นในโลกใหม่…โลกที่สวยงาม

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น