“แน่นอนว่าการที่กระดานเทรดเบอร์ 1 ของโลกบุกตลาดไทยสร้างอิมแพ็กได้ค่อนข้างสูง แต่เราก็มีเป้าของเรา และเราจะไม่คิดเรื่องนี้มากเกินไป แต่จะทำเต็มที่เพื่อให้ Maxbit สามารถครองส่วนแบ่งการตลาด 10% ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้”
เปิดเส้นทางธุรกิจทายาทกลุ่ม PTG “ปกเขตร รัชกิจประการ” กับภารกิจปั้น Maxbit สู่ผู้ชนะในธุรกิจกระดานเทรดคริปโทฯ สิ้นปีนี้ตั้งเป้าครองแชร์ 10% มุ่งสู่เบอร์ 2 เดินแผนเข้า IPO ปี 2027
หลายคนคงอาจเคยเจอสิ่งที่เรียกว่า “จุดเปลี่ยน” ไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้ชีวิต หรือหน้าที่การงาน ซึ่งบางครั้งอาจมาในหลากหลายรูปแบบ และจุดเปลี่ยนนั้นก็จะนำทางเราไปสู่เส้นทางใหม่ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง“ปกเขตร รัชกิจประการ” ทายาทกลุ่ม พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ได้รู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า “Bitcoin”
เรื่องราวของผู้บริหารรุ่นใหม่ ปกเขตร รัชกิจประการ ที่ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT กระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซี่น้องใหม่ ที่บุกเข้ามาสร้างสีสันในตลาดด้วยความแตกต่าง ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะเขาคือทายาทธุรกิจของกลุ่ม PTG ที่มีมูลค่าธุรกิจระดับหมื่นล้าน แต่รวมถึงจุดเริ่มต้นที่มาจากคำถามที่ว่า “ทำไมโลกนี้ถึงไม่มีสกุลเงินกลางแบบในเกมที่ใช้ที่ไหนก็ได้ผ่านอินเทอร์เน็ตสักที?”
เริ่มศึกษา Bitcoin ปี 2012
จุดเปลี่ยนสู่เส้นทางสาย Fintech
ปกเขตร ให้สัมภาษณ์กับ การเงินธนาคาร โดยเล่าย้อนไปสมัยเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้เผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต โดยขณะนั้นปกเขตรมี 2 ตัวเลือกคือ เรียนสายวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือเรียนสายจิตวิทยา ซึ่งเดิมทีเขาเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีเป็นทุนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ขาดคือ ทักษะด้านมนุษย์ เขาจึงตัดสินใจเลือกเรียนสายจิตวิทยา เพื่อเสริมทักษะที่ขาด
ระหว่างเรียนคณะจิตวิทยาอยู่ที่มหาวิทยาลัย University of York ในประเทศอังกฤษ เขาไม่ได้ทิ้งความรู้ด้านเทคโนโลยี แต่ยังคงศึกษาและวนเวียนในแวดวงตลอด ทำให้แม้เขาจะเป็นเด็กคณะจิตวิทยา แต่รอบตัวเขามีแต่เด็กสายเทคโนโลยี แถมยังเคยทำธุรกิจสตาร์ตอัพเล็กๆ ในมหาวิทยาลัยอีกหลายโครงการด้วย ถึงจะไม่ได้ดังพลุแตก แต่ก็ได้ประสบการณ์ในการเริ่มต้นธุรกิจมาไม่น้อย
ด้วยบรรยากาศความเป็นเทคสตาร์ตอัพ ทำให้เกิดหัวข้อสนทนาในหมู่เพื่อนฝูงขึ้นมาว่า “ทำไมโลกนี้ถึงไม่มีสกุลเงินกลางแบบในเกมที่ใช้ที่ไหนก็ได้ผ่านอินเทอร์เน็ตสักที?” และยิ่งประกอบกับเขาชื่นชอบการเล่นเกมออนไลน์อยู่แล้ว ประเด็นเรื่อง “สกุลเงินเวอร์ช่วล” ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
จุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อ ปกเขตร ได้รู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “Bitcoin” เขาพบว่า ไอเดียของ Bitcoin นั้นน่าสนใจมาก จึงเริ่มศึกษาด้วยการนำเงินประมาณ 10 ปอนด์ ไปลองซื้อเพื่อจะได้รู้ว่า Bitcoin นั้นทำอะไรได้บ้าง จากนั้นก็เริ่มศึกษา Bitcoin White Paper ทำให้เริ่มเห็นภาพของแนวคิดไร้ศูนย์กลาง หรือ Decentralized ที่ชัดเจนมากขึ้น
“ผมศึกษา Bitcoin ด้วยการลองด้วยตัวเอง เน้น Trial & Error ลองดูว่าซื้ออย่างไร เก็บอย่างไร ลองโอนเข้ากระเป๋าอื่นดู ขณะเดียวกันก็มีคำถามเหมือนคนอื่นๆ ว่า ทำไมเวลาที่บ้านจะโอนเงินมาให้ จะต้องรอ 3-5 วันด้วย ก็เลยศึกษากลไกในการโอนเงินระหว่างประเทศ จนรู้สึกว่า Bitcoin น่าจะเป็นอีกเครื่องมือที่ใช้ในเรื่องของการส่งเงินระหว่างประเทศได้ นี่คือจุดเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้ผมหันมาสนใจ Bitcoin”
ปกเขตร เล่าต่อว่า ช่วงปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย เขามองอนาคตของตัวเองเอาไว้ 2 ทางคือ 1. เลือกเดินสายจิตวิทยาให้สุดทาง ด้วยการเรียนต่ออีก 4 ปี เพื่อเป็นหมอเฉพาะทางไปเลย 2. เริ่มต้นสร้างธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ตามความชอบของตัวเองตั้งแต่แรก ซึ่งสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกสร้างธุรกิจ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองเดินอยู่บนเส้นทางของ Fintech มาโดยตลอด และยิ่งโชคดีขึ้นไปอีกเมื่อการตัดสินใจครั้งนี้ครอบครัวของเขาสนับสนุนอย่างเต็มที่
รัน Maxbit ด้วย Passion
ผนึก PTG ท้าชิงสมรภูมิคริปโทฯ
ปกเขตร ให้สัมภาษณ์ต่อว่า หลังจากอุ่นเครื่องในสนามธุรกิจมาระยะหนึ่ง เขาตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า “ยูนิท” โดยงานแรกคือ การพัฒนาแอปพลิเคชั่น Decentralized Wallet ให้กับบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ต่อมากลุ่ม PTG มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้าง Ecosystem ของตัวเอง เนื่องจากมี Touchpoint หลายจุด มีปั๊มน้ำมันกว่า 2,200 แห่ง ร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีกกว่า 1,000 สาขา และเห็นว่าตัวเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Fintech กลุ่ม PTG จึงขอให้กลับมาช่วยพัฒนาโปรเจ็กต์ MaxMe Wallet ซึ่งปัจจุบันโปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย มี Active User ถึง 500,000 ราย เรียกว่าช็อกวงการ E-Wallet ไปเลย
ระหว่างการพัฒนา MaxMe Wallet ปกเขตร ไม่ได้ทิ้งความสนใจในอุตสาหกรรมคริปโทฯ เขาเริ่มพัฒนากระดานเทรด Maxbit พร้อมกับการยื่นขอใบอนุญาตกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปด้วย โดยตอนแรกมีไอเดียว่าจะนำไปเชื่อมกับบริการ MaxMe Wallet เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการลงทุนคริปโทฯได้ง่าย แต่เมื่อศึกษาแล้วพบว่าติดข้อจำกัดเรื่องระเบียบข้อบังคับ ทำให้ต้องเบรกไอเดียนี้ไว้ก่อน แต่หลังจากนั้นตลาดคริปโทฯก็เฟื่องฟูมาก ผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่ม PTG ต้องนำโปรเจ็กต์ Maxbit กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง
“ตอนนั้นตลาดคริปโทฯบูมมาก กลุ่ม PTG ทั้งบอร์ดบริหารจนถึงผู้ถือหุ้นถึงกับตั้งคำถามเลยว่า เราทำธุรกิจน้ำมันมา 20 ปี แต่สตาร์ตอัพกระดานเทรดคริปโทฯทำธุรกิจมาแค่ 2-3 ปี Bottom Line เขาเกือบเท่าเราแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ไฟเขียว ปกเขตรจึงเดินหน้าเต็มที่ เริ่มต้นด้วยการนำบริษัทยูนิทเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ Maxbit และดำเนินการร่วมทุนกับทาง PTG เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก Ecosystem ของ PTG ได้เต็มที่ จากนั้นก็ดำเนินการขอใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) จาก ก.ล.ต.ในปี 2021
“ครอบครัวเห็นด้วยกับโปรเจ็กต์ Maxbit โดยมองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี แต่ส่วนตัวผมมองว่าผมสร้าง Maxbit ไม่ใช่เพื่อการกระจายความเสี่ยง ผมตั้งใจจะลุยเต็มที่ เพราะผมอยากเป็นผู้ชนะในธุรกิจนี้จริงๆ”
เริ่มต้น Maxbit ไม่ใช่งานง่าย
เผชิญภาวะสุญญากาศนาน 2 ปี
แม้ปกเขตรจะเป็นทายาทธุรกิจพลังงานที่มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ฯระดับหมื่นล้านบาท แต่การเริ่มต้น Maxbit ของเขาก็ไม่ใช่งานง่าย ความท้าทายแรกที่ต้องเจอก็คือ การขอใบอนุญาต ซึ่งเขาต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี โดยระหว่างนั้นต้องแบกรับความกดดันจากผู้ถือหุ้น และยังต้องลงทุนไปโดยไม่มีรายรับเข้ามาแม้แต่บาทเดียว ขณะเดียวกัน หากการขอใบอนุญาตไม่ผ่าน มูลค่าบริษัทจะกลายเป็นศูนย์ทันที
“ตอนนั้นผมประเมินพลาดไป ไม่คิดว่าการขอใบอนุญาตจะใช้เวลานานถึง 2 ปี ที่คิดไว้คือราว 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งทำให้ต้องมีการเพิ่มทุนเข้ามาเรื่อยๆ โดยตอนแรกทุนจดทะเบียนบริษัทอยู่ที่ 100 ล้านบาท ต้องเพิ่มทุนเป็น 150 ล้านบาท และพอได้ใบอนุญาตมา ก็เริ่มรันธุรกิจต่อ และต้องเพิ่มทุนอีกเป็น 300 ล้านบาท เพื่อให้มี Working Cap ในการทำงาน”
ปกเขตรฉายภาพต่อว่า สิ่งที่ท้าทายหลังได้รับใบอนุญาตมาแล้วคือ “ความเข้มข้นของกฎระเบียบข้อบังคับ” โดยเขายอมรับว่าแม้จะเคยผ่านการทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้วในโปรเจ็กต์ MaxMe แต่สำหรับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลความเข้มข้นในการกำกับดูแลสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น การเป็นกระดานเทรดคริปโทฯ แต่ไม่สามารถสื่อสารหรือทำการตลาดโดยใช้คำว่า “คริปโทเคอร์เรนซี” ได้ ระเบียบข้อบังคับนี้ทำให้ต้องคิดหลายตลบมาก ว่าจะทำตลาดอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
ต่อมาคือ ความท้าทายในเรื่องการสร้างทีม เพราะแม้ปกเขตรจะโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ แต่เขาคลุกคลีกับวงการสตาร์ตอัพที่เน้นใช้คนน้อยแต่ประสิทธิภาพสูง เมื่อต้องขับเคลื่อนธุรกิจประเภท Financial Sector ที่มีการกำกับดูแล จะมีหลายตำแหน่งที่ในมุมมองของเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แถมยังต้องมีผังองค์กรขนาดใหญ่ พร้อมการทำงานหลายชั้น ซึ่งตัวปกเขตรยอมรับว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นความท้าทายต่อทัศนคติของเขาไม่น้อย
“ผมยังมีความเป็นนักธุรกิจแบบเก่า เป็นฟีลเถ้าแก่ ผมมักคิดว่าทำไมต้องมีตำแหน่งที่ไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้กับบริษัท แต่นี่ก็คงเป็นทัศนคติที่น่าจะเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ซึ่งความท้าทายนี้ทำให้ผมต้องกลับมาปรับความคิดของตัวเองเหมือนกัน”
ผสาน PTG Ecosystem เต็ม MAX
ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด 10% ในสิ้นปี
ปกเขตรฉายภาพว่า การแข่งขันในธุรกิจกระดานเทรดคริปโทฯในประเทศไทยจะดุเดือดขึ้นแน่นอนจากการที่ “ผู้เล่นใหม่” เข้ามาในตลาด ตัวแปรสำคัญก็คือ การเข้ามาบุกตลาดไทยของกระดานเทรดคริปโทฯเบอร์ 1 ของโลก ตลอดจนการที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินในไทย พร้อมใจกันโดดเข้ามาชิงเค้กก้อนนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคู่แข่งที่มีพร้อมทั้งเงินทุนและองค์ความรู้ อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่า หากเปรียบเทียบด้านอัตราการเติบโต Maxbit ก็โดดเด่นไม่แพ้ใครเช่นกัน
“แน่นอนว่า การที่กระดานเทรดเบอร์ 1 ของโลกบุกตลาดไทยสร้างอิมแพ็กได้ค่อนข้างสูง แต่เราก็มีเป้าของเรา และเราจะไม่คิดเรื่องนี้มากเกินไป แต่จะทำเต็มที่เพื่อให้ Maxbit สามารถครองส่วนแบ่งการตลาด 10% ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้”
ปกเขตรอธิบายว่า กลยุทธ์ของ Maxbit จะใช้วิธี “ป่าล้อมเมือง” และจะไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดที่เป็น Red Ocean ตรงๆ โดยจะเน้นการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเขาตั้งต้นจากการแบ่งกลุ่มนักลงทุนคริปโทฯเป็น 2 ประเภทคือ 1. นักลงทุนรายย่อย และ 2. กลุ่มนักลงทุนอาชีพ นักลงทุนสถาบัน ที่ซื้อ-ขายแบบ Over-the-Counter (OTC) และจากจุดนี้เขาวางกลยุทธ์ออกเป็น 2 ระยะ เริ่มจาก
ระยะที่ 1 บุกตลาด OTC โกยส่วนแบ่งตลาด 10% : กลยุทธ์หลักของ Maxbit ในช่วงแรกจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้า OTC เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีวอลุ่มเทรดสูง สามารถหนุนส่วนแบ่งการตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ ซึ่งผลของกลยุทธ์นี้ถือว่าสำเร็จ สามารถสร้างฟีดแบ็กเชิงบวกในตลาด OTC ถึงขั้นที่ลูกค้าเอ่ยปากว่า “บริการ OTC ของ Maxbit น่าจะดีที่สุดในตลาด”
ปกเขตร ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีตัวเลขมูลค่าการเทรดแบบ OTC ที่ชัดเจน แต่หากประเมินจากยอดเทรดคริปโทฯ ในประเทศไทยซึ่งเฉลี่ยอยู่ราว 60,000 ล้านบาทต่อเดือน มองว่า ต้องมีอย่างน้อย 20,000 ล้านบาท ที่เป็นยอดจากการเทรดแบบ OTC โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-40% หรืออาจมากกว่านั้น
“จุดแข็งของ Maxbit คือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเอง และเราพยายามเพิ่มสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ลงไป จากนี้เราจะต่อยอดความสำเร็จในตลาด OTC และสร้างให้เป็นจุดแข็ง พร้อมมองหาโอกาสการเติบโตในด้านอื่นๆ ต่อไป”
ระยะที่ 2 รุกสมรภูมิรายย่อย : แม้ตลาดรายย่อยจะเป็น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะเป็นผู้ชนะในธุรกิจกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล สมรภูมิรายย่อยเป็นสิ่งที่ “ไม่แข่งไม่ได้” Maxbit จึงตั้งต้นกลยุทธ์ด้วยการคำถามว่า “ทำอย่างไรให้สามารถสร้างส่วนแบ่งในตลาดนี้ด้วยงบการตลาดที่ต่ำที่สุด” คำถามนี้ค่อนข้างขัดกับภาพความเป็นจริงไปสักเล็กน้อย เพราะเป็นที่รู้กันว่าถ้าอยากได้ตลาดรายย่อย “เงินต้องถึง”
ปกเขตรเฉลยว่า กลยุทธ์ของเขาคือการใช้ประโยชน์จาก Ecosystem ของกลุ่ม PTG อย่างเต็มรูปแบบ โดยนักลงทุนคริปโทฯอาจเคยสังเกตเห็นโปรแกรมสื่อสารการตลาดผ่านคาแร็กเตอร์ “Mei Nakamoto” (เมอิ นากาโมโตะ) ที่เป็นสาวน้อยฟันแหลม นัยน์ตาเป็นประกาย พร้อมผมสีมินต์สุดน่ารัก ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ลำดับแรกของMaxbit ติดอยู่บนรถแท็กซี่กว่า 1,500 คัน ช่วยให้ผู้คนจดจำแบรนด์ Maxbit ได้เป็นอย่างดี แถมยังใช้งบประมาณต่ำกว่าการลงป้ายโฆษณาหลายเท่าตัว
ซีอีโอMaxbit เน้นว่าจากนี้ผู้คนจะเห็นคาแร็กเตอร์ Mei Nakamoto ในทุกปั๊มน้ำมัน PT ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และจะขยายเข้าไปในเชิงลึก โดยเฉพาะการเข้าถึงฐานลูกค้า PT Max Card ที่มีผู้ใช้สูงถึง 21 ล้านคน รวมถึง Active User ใน MaxMe Wallet อีก 500,000 บัญชี เพื่อที่จะท้าชิงในสมรภูมิรายย่อยเต็มตัว
“วิธีคิดของผมคือ การกลับไปที่พื้นฐานของการแข่งขันนั่นคือ เราทำอะไรได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะถ้าเราไม่ได้ดีกว่า ลูกค้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาใช้เรา เช่น ระบบฝาก-ถอน เร็วหรือไม่ จำนวนเหรียญเยอะกว่าคู่แข่งหรือเปล่า เรานำทุกอย่างที่เป็นพื้นฐานของธุรกิจกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมากางดู และพยายามทำทุกอย่างให้ได้ดีกว่าคู่แข่ง แล้วค่อยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือในการสื่อสารว่าเราดีกว่าอย่างไร”
ปกเขตรตั้งเป้าว่า ภายในสิ้นปี 2024 Maxbitจะต้องมีส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 10% หรือคิดเป็นวอลุ่มเทรดประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อเดือน จากนั้นจะเดินหน้ายึดตำแหน่งเป็นเบอร์ 2 ของตลาดอย่างเต็มตัวให้ได้ภายในปี 2025 โดยมองถึงส่วนแบ่งการตลาดระดับ 20-25% และในปีที่ 2027 จะเข้าสู่กระบวนการ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงการหาโอกาสเติบโตในต่างประเทศก็อยู่ในแผนงานระยะยาวด้วย
สำหรับความคืบหน้าในระยะสั้น Maxbit เตรียมเพิ่มศูนย์ซื้อขายปลายทางอีก 2 แห่ง จากเดิมที่เชื่อมกับ B2C2 ขณะเดียวกันก็เตรียมเพิ่มคู่เหรียญให้เป็น 200 คู่เหรียญภายในปีนี้ โดยมองธีมเหรียญไว้ 3 ด้าน คือ 1. Meme Coin 2. Real World Asset (RWA) 3. AI เพราะเป็น 3 Sector ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังมองถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้ถือใบอนุญาต Fund Manager เพื่อสร้างความร่วมมือและต่อยอดบริการด้านการลงทุนในคริปโทฯให้กว้างมากขึ้นด้วย
ติดตามอ่านคอลัมน์อื่น ๆ ได้ในวารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกันยายน 2567 ฉบับที่ 509 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://moneyandbanking.co.th/2023/18250/