“เกาะฮาชิมะ” (กุนคังจิมะ) เกาะร้างลึกลับอันเป็นมรดกอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินอันล้ำค่า
“เกาะฮาชิมะ” (Hashima) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กุงกันจิมะ” (Gunkanjima) ซึ่งแปลว่า “เกาะเรือรบ” ตั้งอยู่ในจังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ห่างจากชายฝั่งประมาณ 19 กิโลเมตร เกาะแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า “เกาะเรือรบ” เนื่องจากรูปร่างของมันที่มีอาคารคอนกรีตหนาแน่นจนดูคล้ายกับเรือรบขนาดใหญ่บนมหาสมุทร โดยเป็นเกาะที่มีความยาวประมาณ 480 เมตร และกว้าง 160 เมตร ในอดีตที่นี่เคยเป็นแหล่งผลิตถ่านหินที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันกลายเป็นเกาะร้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของอาคารคอนกรีต ในบทความนี้จะมาย้อนรอยประวัติความเป็นมา พร้อมกับความลึกลับและน่าค้นหาของเกาะแห่งนี้กันค่ะ
การกำเนิด “เกาะฮาชิมะ”
การค้นพบแหล่งถ่านหินครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยเอโดะ (ประมาณปี ค.ศ. 1810) แต่การพัฒนาเหมืองถ่านหินบนเกาะนั้นได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี ค.ศ. 1890 เมื่อบริษัทมิตซูบิชิได้ซื้อเกาะแห่งนี้และลงทุนขุดเจาะเหมืองถ่านหินใต้ทะเล ด้วยความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ทำให้เหมืองบนเกาะเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เกาะที่มีประชากรหนาแน่นกว่าโตเกียว?
เมื่อมีการผลิตถ่านหินมากขึ้น ประชากรบนเกาะเองก็เพิ่มขึ้นตาม โดยแม้พื้นที่ของเกาะจะมีขนาดเพียง 480 เมตร x 160 เมตร หรือประมาณ 6.3 เฮกตาร์ (0.063 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งเป็นพื้นที่จำกัดมาก แต่มีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 5,200 คน ซึ่งหมายความว่าความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ประมาณ 83,500 คนต่อตารางกิโลเมตร ทำให้ความหนาแน่นของประชากรสูงกว่ากรุงโตเกียวถึง 9 เท่า!
เนื่องจากพื้นที่บนเกาะมีจำกัด การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยจึงต้องเป็นแบบแนวตั้ง ในปี ค.ศ. 1916 ได้มีการสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 7 ชั้น ซึ่งเป็น อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กแห่งแรกของญี่ปุ่น (อาคารนี้ถูกเรียกว่า “อาคารหมายเลข 30”) หลังจากนั้น ได้มีการสร้างอาคารสูงอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ลักษณะของเกาะที่มีอาคารคอนกรีตหนาแน่นและกำแพงรอบเกาะ ทำให้ดูคล้ายกับเรือรบประจัญบาน จึงได้รับการเรียกขานว่า “กุงกันจิมะ” ซึ่งแปลว่า “เกาะเรือรบ”
การใช้ชีวิตของผู้คนบนเกาะ
แม้จะเป็นเกาะเล็ก ๆ แต่เกาะแห่งนี้ก็เป็นเกาะที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันเพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยบนเกาะมีทั้งโรงเรียนประถม-มัธยม โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ร้านค้า โรงอาบน้ำสาธารณะ และโรงภาพยนตร์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้คนที่อาศัยอยู่ ทำให้การใช้ชีวิตบนเกาะนี้จึงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
อย่างไรก็ตาม การทำงานในเหมืองถ่านหินใต้ทะเลเป็นงานที่หนักและอันตราย คนงานต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในเหมือง อีกทั้งสิ่งที่ขาดไปสำหรับเกาะนี้ก็คือ “น้ำ” ด้วยความเป็นเกาะที่ไม่มีบ่อน้ำอยู่เลย การจัดหา-จัดเก็บน้ำเอาไว้จึงเป็นสิ่งยากลำบากสำหรับคนบนเกาะ แม้ในปี ค.ศ. 1957 จะมีระบบชลประทานขึ้นมา แต่กล่าวกันว่าก่อนหน้านั้นคนบนเกาะใช้วิธีนำคูปองไปแลกน้ำที่บริษัทจัดหามาให้
การปิดเหมืองและการถูกทิ้งร้าง
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความต้องการถ่านหินเริ่มลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นหันมาใช้พลังงานน้ำมันแทน นอกจากนี้ นโยบายการเปลี่ยนแปลงพลังงานของรัฐบาลญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1960 ได้ส่งผลให้ความต้องการถ่านหินลดลงอย่างมาก
จนมาในปี ค.ศ. 1974 บริษัทมิตซูบิชิก็ได้ประกาศปิดเหมืองถ่านหินบนเกาะฮาชิมะอย่างเป็นทางการ และย้ายคนงานทั้งหมดออกจากเกาะ นับตั้งแต่นั้นมา เกาะนี้ก็ถูกทิ้งร้าง อาคารและโครงสร้างต่างๆ ถูกปล่อยให้เสื่อมสภาพตามกาลเวลาและกลายเป็นเกาะที่มีบรรยากาศลึกลับจนเกิดเป็นเรื่องเล่า ข่าวลือมากมาย ทั้งมีการลักพาตัวคนมาขังที่เกาะนี้ เคยเป็นสุสานชาวคริสเตียนมาก่อน หรือเป็นพื้นที่ที่เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นต้น
สู่มรดกโลกและแหล่งท่องเที่ยว
หลังจากถูกทิ้งร้างไปนานหลายทศวรรษ เกาะฮาชิมะได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในฐานะ แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2009 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเกาะบางส่วนให้ประชาชนเข้าชม โดยมีทัวร์นำเที่ยวพร้อมไกด์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตของเกาะ และในปี ค.ศ. 2015 องค์การยูเนสโก ประกาศให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในฐานะส่วนหนึ่งของ “แหล่งมรดกอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินในยุคเมจิ”
ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังเกาะผ่านทัวร์ที่ได้รับอนุญาต โดยจะสามารถเยี่ยมชมบางจุดบนเกาะที่ได้รับการปรับปรุงให้ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะยังคงอยู่ในสภาพทรุดโทรมและอันตราย ทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าชม
จะเห็นกันว่าเกาะแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นอย่างแท้จริง โดยตั้งแต่ช่วงรุ่งเรืองของการทำเหมืองถ่านหินไปจนถึงการถูกทอดทิ้งในยุคที่พลังงานเปลี่ยนแปลง เป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ก็ยังเป็นตัวแทนของความพยายามในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อีกด้วย แม้ว่าปัจจุบัน จะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่เสน่ห์และความลึกลับของมันยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาเยือนและสัมผัสบรรยากาศของอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่
สรุปเนื้อหาจาก : gunkanjima-tour , gunkanjima-excursion.com