ซีอีโอ ปตท. ยืนยันไม่ได้มีการศึกษาแผนควบรวมธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่น ยอมรับอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร ย้ำกลุ่มปตท.ยังคงถือหุ้นใหญ่
วันที่ 21 ก.พ.2568 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. (PTT) ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีมีกระแสข่าวว่า ปตท.อยู่ระหว่างศึกษาแผนควบรวมกิจการธุรกิจในกลุ่ม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการศึกษาแผนควบรวมธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่น แต่ยอมรับอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรเข้ามาโดยกลุ่มปตท.ยังคงถือหุ้นใหญ่
“ไม่มีการควบรวมกิจการ แต่เราจะหาพันธมิตรเข้ามา ตอนนี้การเจรจามีทิศทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้”
อนึ่งเมื่อเร็วๆนี้มีกระแสข่าวว่า บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จะมีการควบรวมกิจการ ซึ่งทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจในธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี
ดร.คงกระพัน กล่าวถึงแผนการดำเนินงาน ว่า กลุ่มปตท. ตั้งเป้ากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (อีบิทดา)เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ในส่วนนี้จะเป็นของปตท. 10,000 ล้านบาท
ด้านงบลงทุนของปตท.ในระยะ 5 ปี (เริ่มจากปี 2568) มีจำนวน 55,000 ล้านบาท งบส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เช่น โรงแยกก๊าซ และท่อส่งก๊าซ เป็นต้น
ปตท. จ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 2.10 บาท เป็นเงินรวม 59,983 ล้านบาท
โดยเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 22,851 ล้านบาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2567 หุ้นละ 1.30 บาท เป็นเงิน 37,132 ล้านบาท
ปี 2567 ปตท.มีรายได้จากการขาย 3,090,453 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.7 จากปี 2566 ที่มีรายได้ 3,144,884 ล้านบาท
มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท ลดลง 21,952 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6 จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 112,024 ล้านบาท
โดยหลักจาก EBITDA ที่ลดลงมีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2567 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items)สุทธิภาษีตามสัดส่วนของปตท.เป็นขาดทุนประมาณ 4,500 ล้านบาท มาจากการด้อยค่าและประมาณการค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorexและบริษัท พีทีทีอาซาฮีเคมิคอลจำกัด (PTTAC) ของบมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล ประมาณ 10,500 ล้านบาท