ผู้อ่านที่ติดตามข้อเขียนของผมมาหลายปี ย่อมชินกับเรื่องที่ผมชอบอำเล่นว่าผมเป็นเจ้าของรถเบนท์ลีย์หลายคัน มีเรือยอชต์หลายลำ มีคฤหาสน์บนที่ดินหลายพันไร่ มีเงินหลายพันล้านบาท
หากคิดว่าทุกคนอ่านออกว่าผมอำเล่น ก็คิดใหม่ได้ เพราะมีบางคนเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ! เชื่อไหมว่ามีคนมาขอลดราคาหนังสือเพราะเห็นว่าผมรวยมากแล้ว !
ผู้อ่านไม่น้อยเข้าใจว่า ทุกเรื่องทุกภาพที่ผู้เขียนตีพิมพ์สะท้อนความคิดเห็นของผู้เขียน 100 เปอร์เซ็นต์
ใช่ - บางครั้งจริง
ไม่ - บางครั้งไม่จริง
นี่เองที่ผู้อ่านต้องฝึกอ่านระหว่างบรรทัด ว่าอะไรจริง อะไรอำ อะไรขำ อะไรซีเรียส
อ่านระหว่างบรรทัด (Read between the lines) หมายถึงการอ่านแบบวิเคราะห์ว่าข้อเขียนนั้น ๆ แปลว่าอะไร (คนยุคก่อนเรียก ‘อ่านเอาเรื่อง’) อะไรคือสาระหลัก อะไรคือแก่น อะไรคือแก็ก อะไรคืออุปมาอุปไมย
ยกตัวอย่าง เช่น ผมวาดรูปคนซักผ้าด้วยมือ หรือบ่นเรื่องความทรมานของสามีผู้ซักผ้าด้วยมือ ก็ไม่ได้แปลว่าความจริงผมเป็น ‘สามีคนนั้น’ มันเป็นแค่การมองโลกแบบขำ ๆ ว่า สามีไม่ค่อยชนะภรรยา ก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการซักผ้า การซักผ้าเป็นเพียงอุปมา
บางครั้งผมอาจชวนผู้อ่านไปดื่มเหล้า ก็ไม่ได้แปลว่าผมไปดื่มจริง ๆ มันอาจเป็นแค่แก๊ก
งานในลักษณะล้อเล่น (Joking), เสียดสี (Satire) และล้อเลียน (Parody) นั้น ค่อนข้างอ่านระหว่างบรรทัดง่าย งานแบบซีเรียสจะยากหน่อย เพราะโทนจริงจังของมัน ทำให้คิดว่าผู้เขียนคงไม่อำหรือล้อเล่นในเรื่องซีเรียส ซึ่งไม่จริงเสมอไป
---------------------------------------------------
การอ่านระหว่างบรรทัดผิดในเรื่องขำๆ คงไม่ทำให้ใครตาย แต่การอ่านระหว่างบรรทัดผิดในเรื่องอื่น ๆ อาจจะส่งผลร้ายได้จริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและยา เช่น ล้อเล่นว่าดื่มน้ำผลไม้ X ผสมผลไม้ Y และผลไม้ Z รักษามะเร็งได้ ก็อาจมีคนนำไปปฏิบัติและตายได้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงถือหลักว่าไม่พูดเล่นในเรื่องสุขภาพ โรคภัย ยา เพราะกลัวคนอ่านไม่เก็ตว่าพูดเล่น
นอกจากนี้ในนิยายหรือเรื่องแต่ง ความคิดเห็นของตัวละครหลักก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน ตัวอย่างเช่น นักเขียนคนหนึ่งเขียนถึงตัวละครคนหนึ่งว่ารักหรือเกลียดรัฐบาล ก็มิได้หมายความว่านักเขียนเป็นอย่างนั้น เพราะผู้เขียนไม่ใช่ตัวละคร ตัวละครหนึ่ง ๆ อาจหยิบยืมมาจากบุคคลจริงผสมกับจินตนาการ
คนบางคนอ่านโดยมีความคิดปรุงแต่งล่วงหน้า (Preconceived idea) และหรือความอยากเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งล่วงหน้า หรือทายใจไว้ล่วงหน้าว่าก่อนอ่านว่า นักเขียนคนนี้ต้องคิดแบบนี้แบบนั้นแน่เลย การอ่านหนังสือแบบนี้อันตราย มันบดบังโลกทัศน์ได้ง่ายมาก
อ่านไม่วิเคราะห์ + Preconceived idea คือสูตรทำลายสมองที่แท้จริง
ยิ่งหาก Preconceived idea นั้นมาจากความเชื่อที่แชร์และหรือล้างสมองต่อกันมาโดยไม่ตรวจสอบ ก็ยิ่งอันตราย
เรื่องการตัดสินนักเขียน นักร้อง ศิลปิน จากผลงานของพวกเขาเป็นปัญหาของคนทั้งโลก เป็นกันเยอะมาก และในยุคที่นิยมอ่านสั้นอ่านเร็ว ยิ่งเป็นกันมาก
แต่เรื่องนี้แก้ไขปรับปรุงได้
อย่างไร?
ก็โดยการตั้งคำถามทุกครั้งที่อ่านว่า “จริงหรือ ?” แล้วตรวจสอบ ทำให้เป็นนิสัย
การอ่านเป็นใบเบิกทางชีวิตอย่างหนึ่ง อ่านเป็น ก็เพิ่มทางเลือกความคิดมากขึ้น อ่านแค่ผิวเผิน (Face value) ก็อาจทำให้คับแคบกว่าเดิมได้
โชคดีที่เราสามารถฝึกนิสัยอ่านระหว่างบรรทัดได้
เพราะเมื่อรู้จักวิเคราะห์ทุกสิ่งรอบตัวบ่อย ๆ สมองก็จะถูกลับคมขึ้นเอง
---------------------------------------------------
วินทร์ เลียววาริณ
ความเห็น 5
ผมคิดว่าในการอ่านไม่ว่าจะเป็นในบทความใดๆก็ตาม ถ้าหากว่าเราได้นำมาคิดและวิเคราะห์ถึงในความถูกต้องให้ดีๆแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะเป็นประโยชน์กับตัวของเราเองได้เสมอ เพราะอย่างน้อยในสิ่งนั้นก็สามารถที่จะช่วยเป็นแนวทางเพื่อที่ให้ตัวเรานำมาปรับใช้ได้เหมือนกันนะครับ.
04 พ.ค. 2563 เวลา 02.03 น.
Aoi
วิชาอ่านเอาเรื่อง ถูกยกเลิก เด็กเดี๋ยวนี้เลยอ่านอะไรไม่รู้เรื่อง เขียนก็ไม่ได้เรื่อง
05 พ.ค. 2563 เวลา 03.42 น.
ภณทัฒ5297
ถ้าอยากอ่านบทความคุณวินทร์เท่านั้น ทั้งหมด ต้องกดหาที่ไหน
12 พ.ค. 2563 เวลา 05.57 น.
ผักกาด
อย่าว่าแต่อ่านระหว่างบรรทัดเลยค่ะ แค่อ่านจับใจความง่าย ๆ ยังไม่ได้เลย
มีขอลดราคาหนังสือเพราะคิดว่านักเขียนรวยด้วย omg
07 พ.ค. 2563 เวลา 05.23 น.
So
ข่าวทุกวันนี้ แทบจะเป็นเรื่องแต่งขึ้น
04 พ.ค. 2563 เวลา 07.23 น.
ดูทั้งหมด