ปัจจุบัน ความหมายของการอธิษฐาน
ตามความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่
คือการร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งใครขอแล้วได้ ยิ่งแปลว่าคำขอนั้นขลัง
แต่ถ้าขอแล้วไม่ได้ คุณจะเสื่อมศรัทธา
ขาดความมั่นใจในการอธิษฐานขอ
ทั้งที่บางที การขอนั้นขาดความสมเหตุสมผล
ไม่อาจมีเหตุปัจจัยให้เป็นไปได้จริงแท้ๆ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
วันนี้ผมจะพูดถึงทั้งคำจำกัดความ
และการลงมือทดลองจริง
คำจำกัดความแรก ได้แก่ ‘อธิษฐาน’
อธิษฐานคือการตั้งใจมั่น
ที่จะเพียรทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ
ไม่แพ้ภัยตัวเองเสียก่อน
เช่น สมัยพระพุทธเจ้ายังเวียนว่ายในสังสารวัฏ
ท่านสะสมอธิษฐานบารมีด้วยการมุ่งมั่น
ตั้งใจทำในเรื่องยากต่างๆนานาในแต่ละชีวิต
ระดับยอมตาย ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจทำเรื่องดีๆ
คำจำกัดความที่สอง ได้แก่
‘พลังสว่างอันศักดิ์สิทธิ์’
คือ ภาวะอันเป็นมหากุศล มหามงคล
รู้สึกได้ด้วยใจ สัมผัสด้วยใจแล้วสว่าง
เช่น นึกถึงพระพุทธรูปที่งดงามแล้วสงบสุข
หรือนึกถึงงานบุญที่เคยไปร่วมแล้วอิ่มใจ โสมนัส
ฉะนั้น ภาพความจำเกี่ยวกับพระพุทธรูปหรืองานบุญ
จึงปรากฏเป็นภาพความรู้สึกที่สว่างไสวอยู่ในใจ
โดดเด่น และแตกต่างจากความทรงจำทั่วๆไป
พลังสว่างอันศักดิ์สิทธิ์มีทั้งภายนอกและภายใน
มาทดลองสร้างพลังสว่างอันศักดิ์สิทธิ์
ที่เป็นภายในกันดูครับ
ตั้งอธิษฐานนั่งสมาธิให้ได้ครบ ๗ วัน
วันละไม่เกินสิบนาที
ถ้าทำได้สำเร็จจริง
คุณจะสัมผัสรู้สึกถึงพลังสว่างอันเกิดจากความสำเร็จนั้น
กับทั้งรู้ขึ้นมาเองว่า
สามารถใช้เป็นฐานต่อยอดการอธิษฐานอื่นๆได้อีก
เช่น ขอให้ตัวเองเลิกอ่อนแอ เข้มแข็งขึ้น
หรืออย่างเช่น ขอให้ตัวเองเลิกหวังพึ่งคนอื่น
หันมาพึ่งพาตัวเองได้ ด้วยการมีกายเบา ใจเบา
เกิดปัญญาเห็นทางโล่งไปสู่ความสำเร็จ เป็นต้น
แน่นอน หลายคนทำสมาธิไม่สำเร็จ
เพราะขาดแรงจูงใจทางความสุข
ไม่สามารถฝ่าด่านความฟุ้งซ่าน
อันเป็นเมฆหมอกหนาทึบขวางทางเดินสมาธิไปได้
ก็ขอให้ลองใช้ ))เสียงสติ(( ซึ่งผมทำไว้
เพื่อปัดเป่าความฟุ้งซ่าน
ช่วยให้คุณเดินสมาธิได้ง่ายขึ้น
เลือกแบบที่มีความยาว ๗ นาที
หากทำสมาธิได้ครบ ๗ วัน
คุณจะพบว่าการขอพรจากตัวเอง
เป็นเรื่องทำได้จริง รู้เฉพาะตน!
