ชีวิตเป็นเรื่องแป๊บเดียว
แต่ละคนไม่มีเวลามากนัก
อย่าให้แป๊บเดียวที่เหลือไปทิ้งขว้าง
เพื่อจะต้องไปเสียดาย
แบบคนที่ได้แต่นอนติดเตียงเขาคิดกัน
มีการสัมภาษณ์กลุ่มคนใกล้ตายมากมายว่า
ชีวิตที่กำลังจะผ่านไปนี้ เสียดายอะไรบ้าง
ผลคือส่วนใหญ่ให้คำตอบว่า
เสียดาย ที่ผ่านมาไม่ยอมทำในสิ่งที่อยากทำ
มัวแต่เสียเวลาในชีวิตไปกับการทำสิ่งที่ไม่อยาก
ทำไมคนส่วนใหญ่เพิ่งไปเสียดาย
คิดได้ว่าอยากทำอะไร
ก็เมื่อจวนเจียนจะสิ้นชีวิต?
ตอนมีชีวิตอยู่ตั้งนาน
มีเวลาเหลือเฟือให้คิดหลายสิบปี
เอาไปเททิ้งเทขว้างที่ไหน
จึงไม่ขุดใจตัวเองออกมาค้นกัน?
คนใกล้ตายมักให้เหตุผลว่า
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะตอนมีเวลาในชีวิตนานๆ
มัวกลัวเสียงวิจารณ์ของคนรอบข้าง
เกินกว่าจะกล้าฟังเสียงหัวใจของตัวเอง
มันเป็นเรื่องน่าเห็นใจ
ถ้าคนเราจะกลัวเสียหน้า
กลัวการโดนถากถางเป็นตัวตลก
กลัวการเสี่ยงกับอนาคตที่ไม่รู้
หรือกลัวเหนื่อยยากรับผิดชอบกับความล้มเหลว
แต่จากที่ผมเห็นคนมามาก
เอาจริงๆคือความกลัวเหล่านั้น
เป็นแค่ส่วนหนึ่งของข้ออ้างบังหน้า
อุปสรรคใหญ่หลวงของมนุษย์
ที่ไม่ได้น่าเห็นใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
น่าจะได้แก่ความขี้เกียจต่างหาก!
ไม่มีคนใกล้ตายที่ไหนหรอก
ที่กล้าบอกคุณว่า เสียดาย…
เสียชาติหนึ่งไปเปล่าๆ
เหมือนชีวิตทั้งชีวิตล้มเหลว ก็เพราะขี้เกียจ!
คนเป็นๆอย่างเราๆท่านๆเท่านั้นแหละ
ที่ยังกล้าสำรวจ และกล้ายืดอกรับตอนนี้เลยว่า
กำลังเสียเวลาเปล่าไปอีกวันหนึ่ง
ให้กับความเกียจคร้านตัวเป็นขนหรือเปล่า?
แม้ยอมรับแล้วว่าขี้เกียจ
แต่การที่อยู่ดีๆจะให้ตาสว่าง
อยากลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่ขยันขันแข็ง
มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติวิสัยของมนุษย์อยู่ดี
แล้วก็มีคนเตือนเสียด้วยว่า หากขยันผิดๆ
อาจเพิ่มดีกรีความทึบขึ้นมาในหัว
คือ เอาแต่ทำ แต่ไม่ค่อยคิดหรอกว่าที่ทำๆอยู่
มันผิดหรือถูก ได้ประโยชน์หรือได้โทษ
และสุดท้ายมันจะพาไปถึงไหน
การก้มหน้าก้มตาขยันอย่างมืดบอด
ไม่เคยเป็นหลักประกันว่า
วันตายจะภูมิใจในตัวเองได้!
โจทย์สำคัญที่สุดข้อแรกที่ต้องเจอให้ได้ก่อนตาย
จึงไม่ใช่ ‘ทำอย่างไรฉันจะขยันกว่านี้?’
แต่เป็น ‘ทำอย่างไรฉันจะมีไฟ?’
และ ‘อะไรช่วยให้ภูมิใจที่ได้พยายาม?’
รวมทั้ง ‘ต้องถึงไหนจะได้ตายตาหลับ?’
ถ้านึกๆแล้วเหมือนเรื่องไกลตัว
หรือเหมือนไม่มีวันตั้งธงกับใครเขาได้
ให้พักการเดินทางออกไปควานหาข้างนอก
แล้วเดินวกกลับเข้ามาค้นหาข้างใน
ตั้งต้นค้นให้พบความจริงที่แบอยู่เสียก่อนว่า
เวลาในชีวิตคุณหมดไปกับอะไรบ้าง
ถ้าในหัวของคุณ
บรรจุอยู่ด้วย ‘ข่าวคาว’ ของชาวบ้าน
หรือบรรจุอยู่ด้วยไฟอยากดูละครตอนต่อไป
ให้ลองจินตนาการวันท้ายๆของชีวิต
คุณจะรู้สึกอย่างไรกับความเป็นชีวิตมนุษย์
ที่เกิดมาเพื่อบรรจุแต่เสียงวี้ดว้าด
เสียงตบตีอาละวาดของตัวละครในมือถือ
คุณจะนึกไหมว่า ฉันยังไม่อยากตาย
ฉันอยากดูฉากตบตีกันต่อ?
แต่ถ้าในหัวของคุณ
เริ่มเปิดพื้นที่ให้กับคนที่ประสบความสำเร็จ
คนที่คิดสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก
คนที่ออกมาพูดว่างานของเขาใหญ่กว่าชีวิตของเขาเอง
นั่นแหละ! คุณเริ่มนึกออกเลยว่า
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นในหัวของคุณ
แค่ดู แค่ฟังร้อยคนดีๆที่ประสบความสำเร็จ
อย่างน้อยต้องมีสักหนึ่งคนที่จะทำให้คุณ
ยืดหลังตรงขึ้นมา และบอกตัวเองว่า
‘ฉันอยากฝ่าฟันขวากหนามแบบคนคนนี้!’
ทิศทางชีวิตแบบใหม่ในหัวจะเปิดฉากทันที
คุณจะนึกออกเลยว่า
ถ้าเริ่มออกเดินทางไกลไปตามทิศทางนั้นจริง
วันสุดท้ายคุณจะมีอะไรให้ทบทวนเกี่ยวกับชีวิต
คุณจะเห็นชีวิตมีความหมาย
มีการปักยอดธงบนยอดเขาในจินตนาการ
มีการฝ่าฟันแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นแรมปี
มีการล้มลุกคลุกคลาน ขึ้นเขาลงห้วยแสนไมล์
แล้วสุดท้ายก็มีการคว้าธงบนยอดเขาในโลกความจริง
นั่นแหละ! ภาพใหญ่ ภาพรวม
ที่คุณจะนึกเกี่ยวกับตัวเองออก
คุณจะไม่ใช่หนึ่งในคนที่ถูกกวาด
ให้ไปรวมแถวกับคนส่วนใหญ่
ที่เอาแต่บ่นเสียดาย ก่อนตายไม่ได้ทำ!
ความเห็น 10
ได้แค่คิดไม่ไช่ขี้เกียจคิดแล้วปัญหามันเยอะเกินไปไม่มีความพร้อมสักอย่างดิ้นรนให้มันลำบากเพื่ออะไรนักหนาไม่เห็นจะคุ้ม ถ้าจะขยันให้ขยันภาวนาดีกว่าขยันทำให้ใจไม่ทุกข์ขยันทางธรรมดีกว่า ดีแน่
16 มิ.ย. 2562 เวลา 11.12 น.
ผมคิดว่าในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่สมควรจะต้องเดินหน้าไปพร้อมกับสติ เพราะในการมีสตินั้นก็ย่อมสามารถที่จะช่วยทำให้เราล่วงรู้ได้ถึงในสิ่งที่เราจะกระทำว่าถูกต้องหรือว่าไม่ครับ.
16 มิ.ย. 2562 เวลา 12.09 น.
Say YO!🎏🎃🧸
ผู้เขียนประสบความสำเร็จยังครับ พร้อมตายยังครับ ถ้าพร้อมตายแล้วสมัครเป็นทหารแดนใต้เลยครับ เขารอคนแบบคุณอยู่
24 มิ.ย. 2562 เวลา 09.35 น.
วิชาการมากเกิน ไม่มีอะไรเลยในชีวิต เพราะโลกนี้คือโรงละคร เราคือตัวแสดง จบการแสดงไม่มีอะไรเหลือเลยในชีวิตของชาตินี้ บุญและวาสนาแข่งกันไม่ได้ เพราะทำไม่เท่ากัน ไม่ใช่ทำมากได้มาก แต่ทำไม่ถูกจุดต่างหาก
17 มิ.ย. 2562 เวลา 06.07 น.
GEAR
เผื่อมีใครหลงมาอ่าน.. ถ้ารู้สึกไม่มีเป้าหมายในชีวิต ข่าวดีครับ แสดงว่าชีวิตคุณไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย ถึงได้มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้ นั่นเพราะคุณผ่านความต้องการพื้นฐานมาแล้วไงครับ ต่อไปเป็นเรื่องความต้องการภายในครับ หากพบว่ายังว่างเปล่าอยู่ คุณควรหาโอกาสเดินทางท่องโลกครับ หากพอจะมีกำลัง ถ้ายังไม่มีก็ให้ท่องโลกหนังสือครับ ท่องให้มากครับ มันคือหนทางแห่งการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่สำคัญยิ่ง คนไม่ชอบอ่านหนังสือสำหรับผมแล้วช่างเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งกว่าความพิการทางกายอีกครับ...
26 มิ.ย. 2562 เวลา 07.23 น.
ดูทั้งหมด