ต้อนรับเดือนแห่งแรงงาน เนื่องในโอกาสที่เดือนนี้นอกจากจะเป็นเดือนที่มีวันหยุดแรงงานแล้ว ยังถือเป็นเดือนของการเริ่มเตรียมตัวสมัครงานครั้งแรกของเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา หรืออาจจะเป็นช่วงที่ผู้คนจะหางานใหม่ๆ หลังจากที่สะสางภาระจากงานที่เดิมได้แล้ว LINE TODAY เลยจะพาไปพูดคุยกับ “คุณสุชาติ ภวสิริพร” Director of HR and GA LINE ประเทศไทย ที่จะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และฝากเคล็ดลับดี ๆ สำหรับผู้ที่จะไปสมัครงานว่าจะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง บริษัทต้องการคนแบบไหน จะมีเรื่องไหนบ้าง ตามไปอ่านกันเลย
คนที่มาสมัครงานในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอนนี้คนที่สมัครหางานนั้นมีคน 2 ประเภท ประเภทแรกคือ คนที่แอคทีฟหางานอยู่ เป็นคนที่พยายามจะทำทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองได้งาน ประเภทหลังคือ คนที่เลือกบริษัท หาโอกาส มาเพื่อดูว่าบริษัทเหมาะกับเขาหรือไม่ เราจะประทับใจเมื่อได้เห็นคนที่มี passion เห็นว่าเขาอยากทำอะไรให้บริษัท และนำประสบการณ์ที่มีมาใช้กับงานได้อย่างไร คนยุคใหม่บางคนที่ทำสตาร์ทอัพมา หรือเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง เวลาเข้ามาสัมภาษณ์ก็จะคิดว่า บริษัทจะให้อะไรกับเขามากที่สุด มากกว่าที่จะทำอะไรให้กับบริษัท
คิดอย่างไรกับคน GEN Y ?
ถือว่าเป็นคำถามยอดฮิตของสังคมตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเจอกับคำถามนี้ และรู้สึกว่าคน GEN Y จะมีอิทธิพลอย่างมากในระบบแรงงานปัจจุบัน เพราะถือว่าเป็นแรงงานหลัก สำหรับคุณสุชาติได้ให้มุมมองต่อคน GEN Y ว่า HR ควรเลิกมองคนตามยุคสมัย ควรมองว่าพื้นฐานมนุษย์ต้องการอะไร คน GEN Y มีความเฉพาะตัว ไม่ต้องรอคำตอบจากใคร เพราะสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง เป็นคนโลกกว้าง จึงต้องการหาบริษัทที่มีโอกาสในการทำงานต่างประเทศ เป็นคนต้องการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ลอยัลตี้มีไม่มากนัก ทำให้อายุงานเฉลี่ยน้อยลงเรื่อย ๆ แต่จะเอาการอยู่ไม่นานนี้มาวัดเรื่องความไม่อดทน หรือไม่ภักดีกับบริษัทอย่างเดียวไม่ได้ อาจจะมีประเด็นเรื่องความสามารถเกินกว่าตำแหน่งเดิมจึงอยากเติบโตมากขึ้น และต้องการหาช่องทางการเลื่อนตำแหน่งมากขึ้นด้วย
ถ้าจะเลือกคน ๆ หนึ่งเข้ามาทำงาน จะเลือกจากอะไร ?
1. Passion: เข้ามาแล้วรู้สึกว่าตำแหน่งนี้ต้องเป็นของเรา ต้องทำได้ดีเพราะมีประสบการณ์ อินกับงาน อินกับบริษัท เชื่อว่าความอินจะให้ทำอะไรได้ดี
2. Attitude: มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อตำแหน่งหน้าที่ได้รับมอบหมาย
3. Teamwork: ต้องทำงานเป็นทีมเป็น
สำหรับในการทำงานของ HR การเลือกคนนั้นจะมีอยู่ 2 อย่างคือ การเลือกคนจากทักษะด้านความรู้และทักษะด้านอารมณ์
ทักษะเรื่องความรู้ (technical skills / hard skills) เป็นหน้าที่ของ hiring manager มีสัดส่วน 80% จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทักษะด้านอารมณ์ (soft skills) เป็นหน้าที่ของ HR มีสัดส่วน 20%
ทิป 5 ข้อสำหรับการสัมภาษณ์งาน ?
o ศึกษาบริษัท ศึกษาความเป็นมาของบริษัท
o ศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่มาสมัคร ไม่ควรหว่านใบสมัครที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง
o ติดตามข่าวสารของบริษัทนั้น ๆ
o ติดตามโซเชียลมีเดียของบริษัท ดูว่าได้รับฟีดแบ็กอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
o เตรียมชุดคำตอบที่อาจจะถูกถาม เช่น ตั้งแต่ทำงานมาภูมิใจงานไหนมากที่สุด? ถ้าย้อนเวลาได้อยากแก้ไขอะไร? ถ้ามีงานให้เลือก A กับ B จะตัดสินใจอย่างไร? (อันนี้แค่ตัวอย่างนะจ๊ะ)
วิธีสังเกตว่าตัวเองจะได้ หรือไม่ได้งาน หลังการสัมภาษณ์?
หลายๆ คนเวลาถูกสัมภาษณ์ก็คงอยากจะทราบว่าตัวเองนั้นมีโอกาสในการได้งานนี้มากแค่ไหน เราแอบกระซิบถามทาง HR แล้วเขาบอกว่ามีเคล็ดลับเล็กๆ ที่สามารถสังเกตได้ก็คือ หากบริษัทสนใจ อาจจะมีการถามเรื่องเวลาเริ่มงานที่เร็วที่สุด หรือถามว่าไปสัมภาษณ์มากี่ที่ แต่หากคุณสมบัติไม่เข้าตา HR แนวทางการถามคำถามอาจจะดูเป็นการถามตามบท ยังไงก็ลองแอบสังเกตดูกัน
และสำหรับระยะเวลากระบวนการนั้น สามารถสอบถามกับผู้สัมภาษณ์ได้เลยว่าจะใช้เวลานานเท่าไรในการทราบผลว่าได้หรือไม่ได้งาน
แถมอีกนิดเรื่องเงินเดือน สำหรับเด็กจบใหม่ หรือ First Jobber ที่ไปสมัครงาน แล้วมีการต่อรองเงินเดือน HR แนะนำว่าให้ถามหลังจากที่ได้รับเลือกแล้ว ไม่ควรถามเรื่องเงินเดือนระหว่างสัมภาษณ์งาน ควรตกลงหลังจากได้เลือกแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมแต่ละบริษัทด้วยจ้า
DOs & DON’Ts ?
DOs
- ไปก่อนเวลาสัมภาษณ์
- เรียนรู้วัฒนธรรมการแต่งตัวของบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์
- ไม่ต้องซีเรียสเรื่องฮวงจุ้ยที่นั่งสัมภาษณ์มากนัก (จะเชื่อเพื่อความสบายใจก็ได้ แต่ว่าบริษัทเน้นเรื่องทักษะมากกว่า)
DON’Ts
- Be confident but don’t be overconfident มั่นใจได้แต่อย่ามากเกินไป อะไรที่ไม่แน่ใจอย่าแถ
- แต่งตัวโป๊จนเกินงาม ถึงแม้ว่าบริษัทนั้นจะมีสไตล์การแต่งตัวที่ทันสมัยแต่อย่างไร ก็ควรให้เกียรติสถานที่ด้วย
- รีบถามเรื่องค่าตอบแทน (เงินเดือน) รอให้ตกลงได้งานนั้นก่อนจึงค่อยต่อรองค่าแรงกันจะดีกว่า