โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ลูกหลานนักการเมือง เตรียมลงสนาม! ลูกไม้จะไกลต้นแค่ไหนเชียว!

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 17 ต.ค. 2561 เวลา 05.00 น.

ลูกหลานนักการเมืองเตรียมลงสนาม! ลูกไม้จะไกลต้นแค่ไหนเชียว!

ลองสังเกตดีๆ ช่วงนี้คุณอาจเห็นข่าวการกลับมาของนักการเมืองหน้าเก่า ที่ทยอยกันเปิดตัวชิงพื้นที่สื่อกันยกใหญ่ หลังจากโร้ดแมปการเลือกตั้งเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า (สักที)

แต่ก็ไม่ใช่จะมีแต่คนรุ่นคุณพ่อยันคุณตาเท่านั้นที่รอคอยการกลับมาเหมือนหมีที่หมดฤดูจำศีล รอกลับมาขย้ำกันในรัฐสภา ปาเก้าอี้ผ่านหน้าจอให้เจ้าของอำนาจอย่างเราดูเล่น เพราะยังมีคนวัยหนุ่มสาวหลายคนที่ทยอยกันเดินหน้าเข้ามาประกาศอุดมการณ์ที่อยากให้การเมืองไทยดีขึ้นกว่าที่เคยเสียที

ไม่ว่าจะเป็น "ธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ"จากพรรค อนาคตใหม่พรรคการเมืองใหม่ที่จุดกระแสได้อย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ หรือจะเป็นจากฟากพรรคการเมืองเก่าที่เราคุ้นชื่ออย่างพรรค เพื่อไทยที่ส่งทั้งนักวิชาการ และลูกหลานของสมาชิกพรรคเก่าๆ อย่าง "เผ่าภูมิ โรจนสกุล"และ "ต้น ณ ระนอง" ลูกชายของ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" สุดท้ายคือพรรค ประชาธิปัตย์ที่มีทั้ง "ไอติม- พริษฐ์ วัชรสินธุ" หลานชายของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ "ปลื้ม- สุรบถ หลีกภัย" ลูกชายของ "ชวน หลีกภัย"

แง่หนึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราจะได้มีตัวละครใหม่ๆ ในพื้นที่การเมืองไทยเป็นตัวเลือกมากขึ้น เพราะจากเรื่องราวทางการเมืองตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะคุณจะมีความเชื่อทางการเมืองอยู่ฝั่งไหน ยอมรับเถอะว่าเกมการเมืองที่ทำให้ประเทศของเราไม่เดินหน้าไปไหนเสียที 

ส่วนหนึ่งล้วนขึ้นอยู่กับการ ‘เล่น’ กับอำนาจของเหล่านักการเมืองยุคเก่าแทบทั้งสิ้น

แต่ในอีกแง่หนึ่ง คำประกาศของเหล่านักการเมืองรุ่นใหม่ที่พร่ำบอกว่า ‘อยากจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย’ นั้น เราจะเชื่อพวกเขาได้มากแค่ไหนว่านั่นคืออุดมการณ์ที่แท้จริง มากกว่าเป็นแค่นโยบายของพรรคการเมืองเก่าๆ ที่อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ดูดีขึ้น เพื่อดึงดูดใจประชาชนให้กาเลือกพรรคของตัวเอง?

ถ้าเราลองวิเคราะห์ ปัจจัยหลักที่น่าจะทำให้สนามการเมืองในปีหน้าร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการเข้ามาของพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้ง หลังจากครั้งล่าสุดเมื่อปี 2557 (ซึ่งถูกรัฐประหารไปเสียก่อน) นั่นหมายความว่าเด็กอายุ 18 ในตอนนั้นที่หวังจะได้ใช้สิทธิ์ของตัวเอง ต้องรอจนเรียนจบมหาวิทยาลัยถึงจะได้เลือกตั้งกันอีกทีในวัย 23

กลุ่มคนวัย 18 - 23 ปี และกลุ่มวัยทำงานรุ่นใหม่ๆ คือพลังที่น่าจับตามอง หากมองจากความอัดอั้นของพวกเขาที่พิมพ์กันอยู่ในโลกออนไลน์ และกลายเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่หลายพรรคการเมืองต้องเดินหน้า เร่งเครื่องหาวิธีแย่งชิงเสียงของคนกลุ่มนี้มาให้ได้ หากต้องการที่นั่งในสภาเพื่อจัดตั้งเป็นรัฐบาล

อย่างไรก็ตามที นอกเหนือจากเส้นทางสาย ‘เปลือก’ อย่างการสื่อสารที่ตรงใจ พูดภาษาการเมืองอย่างง่ายๆ ชูนโยบายที่ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่คนกลุ่มนี้ต้องอยู่ไปอีกยาว เส้นทางสาย ‘แก่น’ อย่างอุดมการณ์ของตัวพรรคเองก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

เราอาจเหมารวมไม่ได้ว่าประชาชนรุ่นใหม่จะเป็นคนที่ชอบนโยบายแบบเสรีนิยมจ๋าไปทั้งหมด เพราะเด็กบางกลุ่มอาจจะยังชอบความอนุรักษ์นิยมบางอย่างเช่นกัน

แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ‘ความเบื่อหน่าย’ ของการเมืองภายใต้รัฐบาลทหารในแทบทุกด้าน ที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกภายในช่วงเวลาของเขาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในอีกสิบ ยี่สิบ หรือห้าสิบปี

ดังนั้น ‘แก่น’ ที่ว่า คืออุดมการณ์ของแต่ละพรรค ที่ไม่ควรสนับสนุนการเข้ามาของทหารเพื่อแทรกแซงการเมือง เพราะช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา พื้นที่บนโลกออนไลน์อันเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าพวกเขาเบื่อหน่ายกันมาแค่ไหนกับสิ่งที่ไม่ได้เลือก

การเอานักการเมืองรุ่นใหม่มาฉาบหน้า ชูนโยบายและวิสัยทัศน์แบบฉาบฉวยด้วยวิธี ‘ชิคๆ คูลๆ’ อย่างไรก็ไม่อาจปิดบังความตีสองหน้าของพรรคการเมือง หากคนเก่าแก่ที่เป็นผู้วางกลยุทธ์ ยังเลือกเดินหมากด้านวิธีนอกระบอบประชาธิปไตยแบบที่เคยเป็นมา

เราไม่ได้โจมตีพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะวินาทีนี้ที่เหล่านักการเมืองรุ่นไดโนเสาร์กระจายตัวเป็นกลุ่มก้อน ตั้งก๊วนใหม่แต่หน้าเก่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต ยังไม่นับกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญที่อาจเปิดทางให้ ‘นายกฯ คนนอก’ เข้ามาได้จากการโหวตของวุฒิสภา ที่ไม่ยึดโยงกับเสียงของประชาชนแต่อย่างใด

สำคัญไปกว่านั้น คนรุ่นใหม่ของแต่ละพรรคเองก็ควรยืนหยัดกับแนวคิดใหม่ของตัวเองที่อยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างที่พูดเอาไว้ ไม่ใช่แค่เป็นไม้ประดับให้คนรุ่นพ่อเอามาตั้งเป็นแสตนดี้โฆษณา เหมือนเป็นตัวตายตัวแทนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง  เพราะอย่างที่รู้กันว่าอำนาจของคนแก่ในพรรค ยังไงก็แข็งแรงจนยากจะโค่นลง

หากทุกพรรคเลือกจะเดินเกมการเมืองหลังยุค คสช. ด้วยการชูคนเลือดใหม่ไว้โฆษณา เราแนะนำว่าอย่าลืมล้างเลือดเก่าของคนแก่ๆ ที่ใจฝักใฝ่อำนาจนอกระบบไปพร้อมกันด้วย

ไม่เช่นนั้น แผลของประเทศไทยที่ฝันไว้ว่าจะหายดี  

ก็คงเน่าในไม่ต่างจากเดิม!

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0