ทุกครั้งที่ต้องเลิกลา
เราอาจไม่ได้รู้สึกเสียดายเค้า
มากไปกว่าเสียดายช่วงเวลาที่เคยได้อยู่ด้วยกัน
เราเสียดายบทสนทนาเหล่านั้น
เสียดายความทรงจำที่มันมีค่ากับความรู้สึก
จนเราไม่อยากเสียอะไรไปอีกเลย
นั่นเลยทำให้สุดท้าย มันทำให้เราเป็นคนเก็บ
เรายังเก็บทุกอย่างไว้ในความทรงจำ
บางครั้งก็ไปหยิบหาเอามาเพิ่ม
เติมวัตถุดิบใหม่ๆ ให้ปัจจุบันมันว้าวุ่น
คนที่เดินถือความทรงจำอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
มันก็หนักสมอง หนักหัวใจอยู่เหมือนกันนะ
ถ้าไม่รู้จักเทความรู้สึกที่ไม่จำเป็นกับชีวิตออกไปบ้าง
แล้วเมื่อไหร่เราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้สักที
เรื่องของความรักเนี่ย ใครไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นมักไม่ค่อยอิน
รวมถึงเรื่องของการเลิกลาก็ด้วย
ไม่ค่อยมีใครเข้าใจความรู้สึกของความรัก หรือการเลิกลาของคนอื่น
จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
อาการพวกเจ็บหน้าอก มือสั่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ร้องไห้ไม่ออก ความรู้สึกที่เหมือนโดนอะไรเข้ามากรีดข้างในใจ
แบบที่แหวกออกมาก็ไม่พบอะไร
นอกจากหัวใจที่มันบอบช้ำจากการกระทำของตัวเอง และใครอีกคน
โตมาขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่ได้มีความรักมาแค่ครั้งเดียว
พอพูดแบบนี้แล้วมันก็พอจะบอกเป็นกลายๆ ได้เหมือนกันนะว่า
เรื่องที่กำลังเจออยู่ก็เป็นความรักอีกครั้งหนึ่งที่มันกำลังล่มสลาย แล้วยังไม่ผ่านไป
แต่พอผ่านไปได้ มันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องที่มองกลับมาแล้วมันจะไม่มีความรู้สึกเข้ามาปะปนด้วย
ประเด็นคือ มันยังไม่ผ่านไปสักทีนี่แหละ
โดนเค้าเทมาแล้ว
แต่เราก็ยังเทความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาไม่ได้
ทุกวันทุกคืนแทบจะจมมหาสมุทรน้ำตาตาย
ถ้าช่วงที่แผลสดหน่อยก็จะฟูมฟายมากหน่อย
พอโตขึ้นมาหน่อย ระดับความฟูมฟายเรามันก็อาจจะไม่ได้เบอร์ใหญ่เท่าแต่ก่อนแล้ว
แต่ความไม่เบอร์ใหญ่ในการแสดงออกไปนี่แหละ
ที่มันทำให้ข้างในมันโคตรจะอึดอัด
เพราะทุกวันต้องทำตัวปกติ เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
เรียกว่าไม่ได้ร้องไห้เบอร์ใหญ่ แต่แสดงออกว่าตัวเองปกติได้เกินเบอร์เอามาก ๆ
เป็นเรื่องยากนะครับที่เราจะเทความรู้สึกดี ๆ ความเสียใจ ความเศร้า ออกไปในความคิดได้
ผมเลยมานั่งคุยกับตัวเองว่า
ผมมีวิธีคิดยังไงบ้าง ที่จะค่อยๆ รินเอาความรู้สึก ความทรงจำเหล่านั้นออกมา
ไม่ให้มันส่งผลกระทบกับตัวผมในวันถัดๆ ไป
ผมไม่เชื่อนะว่า สุดท้ายแล้วเราจะเทมันออกไปจนหมด
เพราะบางวันเราก็ตักมันกลับเข้าไปอีก
แต่ถ้าการมีชีวิตอยู่คือการเยียวยาให้ตัวเองดีขึ้นกว่าเมื่อวาน
ถ้าทำได้ดีกว่าเดิมวันละ หนึ่งเปอร์เซ็นต์
นั่นก็น่าจะทำให้ค่อยๆ ดีขึ้นในระยะยาว
พอครบร้อยวัน ก็ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทำบุญครบร้อยวันกันไปเลยแบบนี้ (ฮา)
- ต้องไม่เติมเรื่องใหม่เข้าไปเพิ่ม
ผมมาสังเกตตัวเองจากการที่เลิกกับแฟนคนแรกๆ น่าจะเมื่อสิบปีก่อน
แน่นอนว่าตอนก่อน ชีวิตเราไม่ได้ออนไลน์กันขนาดนี้
การเลิกรา มันคือการแยกทางกันจริงๆ
เราจะแทบไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเค้าเข้ามาเพิ่มในชีวิตเลย
เราต่างหายจากกัน แรกๆ มันก็เจ็บเหมือนกันนั่นแหละ
แต่การไม่ได้พบ ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้เติมอะไรเข้ามาเพิ่ม
ทำให้ผมไม่ต้องมี material ใหม่ๆ เข้าไปสร้างเรื่องสร้างราว
ให้ทุก ๆ วันต้องไปโฟกัสกับเค้าคนเดิม
แต่ทุกวันนี้ชีวิตมันง่าย
โลกของเค้ามันอยู่ในมือเรา
หมายถึงแค่โลกที่เค้าอยากให้เห็นนะ
โลกของเค้าจริง ๆ คือเค้าไล่เราออกมาแล้ว
ตอนนี้เราแยกทาง เราจบ
แต่โลกของเค้าและเรายังคงออนไลน์
รอคอยให้นิ้วโป้งข้างที่เราถนัด แตะเข้าไปดูอีกครั้ง
เราสร้างแอ็คหลุม แอบเข้าไปส่องแฟนเก่า
หวังเพื่อจะไปดูว่าชีวิตยังสุขสบายดีอยู่มั้ย
เติมความรู้สึกที่ขาดหาย แต่พอเห็นแล้วกลับรู้สึกว่าเราขาดมากกว่าเดิม
เราอัพเดทสตอรี่ไอจี ทำเหมือนชีวิตโอเค แต่ในใจลึกๆ ก็แอบคิดว่าเค้าจะเข้ามาส่องด้วยรึเปล่า
มันเป็นพฤติกรรมที่โคตรประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลย
ผมถามตัวเองตลอดเลยนะว่า ทำไรอะ เหงาหรอ ?
กดเข้าไปดูแล้วได้อะไร กดเข้าไปแล้วมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ใช่มั้ย
มันมีความอยากรู้และไม่อยากรู้เข้ามาผสมกัน
เหมือนมันมีสัญชาตญาณว่า เค้าต้องกำลังทำสิ่งนี้อยู่แน่ ๆ
กูอยากรู้มาก แต่พอได้รู้แล้วยังไงต่อ
การที่ไม่รู้มาแล้วสองสามอาทิตย์ แล้วกลับมาดูวันนี้
ทำให้ระยะทางที่เยียวยา มันหดกลับไปที่เดิมเลยนะ
การไม่รู้เพิ่ม มันคือลาภอันประเสริฐของผู้ที่ต้องมานั่งเยียวยาตัวเองเลยนะ
จริง ๆ มันควรมีหนังสือฮาวทู ไม่ stalker ชีวิตแฟนเก่านะ
คือเหมือนเราเข้าทวิตเตอร์แล้วตามแฮชแท็กใต้เตียงดารา
แต่มันคือแฟนเก่าเรา เราไถดูจนกว่าจะพอใจ
แล้วก็ค้นพบว่า มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าเดิมเลย
ผมเลยบอกตัวเองว่า
ไม่เทนะ แต่ไม่ตักเอามาเพิ่ม
ค่อยๆ ทำ ถ้ารู้สึกว่าอยากรู้ ไปทำอะไรทำ วางโทรศัพท์
อย่าไปอยู่กับมันมากโทรศัพท์ เวลาอกหัก
ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่จะทำให้เราดีขึ้น
- บางครั้งมันเป็นเรื่องของความเหมาะไม่เหมาะเหมือนกันนะ
เหมาะในที่นี้หมายถึง
เค้าไม่เหมาะที่จะมาอยู่ในชีวิตของเราอีกแล้ว
ส่วนใหญ่ความคิดแบบนี้มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ
เราได้เจอกับเหตุการณ์ที่มันสะท้อน หรือพิสูจน์ได้ว่า
ช่วงเวลาที่เราตกต่ำ หรือช่วงเวลาที่เรามองว่าเค้าคือคนที่จะต้องผ่านมันไปกับเราให้ได้
จริง ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ ที่บอกว่าอยากให้ผ่านไปด้วยกัน
บางทีก็แค่อยากให้อยู่ข้างๆ อยากให้คอยให้กำลังใจ
ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แต่คือเข้าใจแววตาที่มันเข้าใจกันปะ
จะเอาอะไรกับคนที่ไม่ได้รักแล้ว
จะเอาอะไรกับคนที่ไม่ได้สนใจในความเป็นไปของชีวิตเราแล้ว
ผมถามตัวเองแบบนี้นะ
พอเรารู้ว่า สุดท้ายแล้วเราเองก็ต้องเดินออกมา
นั่นก็หมายความว่า เราต่างไม่ได้เหมาะสมกันอีกต่อไปแล้ว
เค้าก็ไม่ได้เหมาะที่จะมาเป็นใครสักคนที่เราควรให้ความสำคัญ
แล้วเราควรดีใจมั้ย ที่คนที่ไม่เหมาะสมได้ออกไปจากชีวิตเราแล้ว
เราควรรู้สึกดีนะ ถึงแม้มันจะยอมรับความจริงได้ยาก
แต่ถ้าถึงวันที่เรามีสติมากพอ เราจะเข้าใจว่าการจากไปของคนที่ไม่สำคัญ
มันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ
พอคิดแบบนั้นได้ ผมก็จะฟูมฟายกับมันน้อยลง
อีกอย่างนึงที่ผมคิดได้คือ มันมีเพื่อนสนิทผมคนนึง
ส่งข้อความมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามันไปแอบอ่านมาในร้านหนังสือรึเปล่านะ
เขียนไว้ประมาณว่า
การที่เราเสียคนที่ไม่ได้รักเราไป
เราไม่ควรเสียใจนะ
คนที่ควรเสียใจคือคนที่เค้าเสียคนที่รักเค้ามากๆ ไปมากกว่า
มันก็จริง ทำไมเราถึงเศร้ากับการจากไปของคนที่ไม่ได้รักเรา
เค้ารึเปล่าที่ต้องเสียใจ ที่คนที่รักเค้ามากที่สุดคนนึงได้หายไปจากชีวิตเค้าแล้ว
แต่ก็นะ เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอก
นั่นก็เป็นคำถามต่อว่า แล้วทำไมเราต้องรู้สึกอะไรต่อไปด้วย
- เราทุกคนต่างมีเหตุผลตอบรับการกระทำของตัวเอง
ประโยคนี้ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า
ทุกวันที่ผมยังมูฟออนต่อไปไม่ได้
เพราะผมไม่เคยยอมรับในเหตุผลการจากไปของเค้าเลย
ผมใช้เหตุผลของตัวเองเป็นที่ตั้ง
แล้วถามตัวเองตลอดว่า เหตุผลของผมมันดีพอไหม
ที่จะทำให้เค้าอยู่
ทั้ง ๆ ที่เราต่างมีเหตุผลของตัวเอง
วันที่เรารักกัน นั่นแหละเหตุผลของเราไปในทิศทางเดียวกัน
แต่วันที่เหตุผลของการมีอยู่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เราเองก็ควรยอมรับความจริงในเหตุผลของเค้า
มันไม่ใช่ความผิดใครเลย ผมเองก็ไม่ได้อยากพูดว่า การที่เรายังเศร้าอยู่
มันเป็นเพราะเค้า เพราะตั้งแต่เค้าเดินจากไป เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว
เราเองต่างหากที่ยังทำให้ตัวเองรู้สึกได้อยู่ตลอดเวลา
เราต่างมีเหตุผล
แต่ไม่ใช่ว่าเหตุผลของเราจะทำให้เค้าอยู่กับเราได้เสมอ
ถ้าเหตุผลของเค้าไม่ใช่เราอีกต่อไปแล้ว
เหตุผลของเรามีชีวิตอยู่ต่อ มันก็คือต้องเป็นเราจริง ๆ แล้วละ
ไม่ได้พูดให้เศร้าเลยนะ
พอผมคิดได้ ผมเทความรู้สึกออกไปได้อีกเยอะเลยนะ
คือส่วนตัวคิดว่า เออ กูเองนี่หว่าที่ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักยอมรับเหตุผลคนอื่น
ก็มันไม่ใช่แล้ว ก็ต้องไม่ใช่รึเปล่า ตีโพยตีพาย
ยอมรับความจริงกับเหตุผลนั้นแล้วนะ
ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่เจ็บน้อยกว่าการไม่เชื่อว่านั่นคือความจริงมากกว่า
- การเทความรู้สึกของตัวเองหลังการเลิกรามันเป็นเกมต่อจุด
เราค่อยๆ ลากตัวเองจากจุด ๆ นึง ค่อยๆ ไปอีกจุดนึง
จุดที่ไม่ได้ไกลจากจุดแรกหรอก เผลอๆ มันเหลื่อมกันด้วยซ้ำ
แต่การค่อยๆ เอาตัวเองออกจากทุกอย่างที่จะทำให้เราจมอยู่บ่อน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำตากับความทรงจำ
ก็มีแต่จะทำให้เราหมดอาลัยตายอยาก
ผมว่าช่วงที่อยากที่สุดในการข้ามผ่านการถูกเท การเลิกราเนี่ย
มันคือช่วงของการยอมรับความจริงนะ ว่าทุกอย่างมันจบ มันเกมแล้ว
คือเรารู้แหละว่ามันจบ แต่ในใจเรามันไม่เลิกคิด ไม่เลิกเอาภาพเก่าๆ มาวนฉาย
ผมว่ามันเป็นขั้นตอนปกติของการสุญเสียนะ
แต่ถ้าเราไม่หยุดที่เติมอะไรเข้าไปใหม่อย่างที่ผมเล่าไป
ขั้นตอนนี้มันก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่ได้ไปยังขั้นถัดไปสักที
คือส่วนตัวคิดว่า การอกหักอะไรแบบนี้มันน่าจะมี stage ของมันนะ
แบบช่วงแรก ช่วงแผลสด ก็จะแสบหน่อย ร้องดังหน่อย
ช่วงถัดมาก็ช่วงที่ร้องเบาลงแล้ว แต่ก็ยังอ่อนไหว มีอะไรมากระตุ้นจะทำให้กลับมาแบบแรกได้
ช่วงที่สามก็น่าจะเป็นช่วงที่เราเริ่มมีสติมากขึ้น ที่จะจับความคิดตัวเองที่มันดิ้นไปดิ้นมา เริ่มโฟกัสสิ่งอื่น
ที่ทำให้เรามีความสุขได้ หรือเริ่มที่จะสังเกตได้ว่า สอง stage ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้เรามูฟออนต่อไปได้จริง ๆ
ช่วงที่สี่ผมคิดว่าเป็นช่วงที่เราจะหันกลับมาดูแลตัวเอง
คือพูดแบบนี้แล้วมันเหมือนอย่างที่คนอื่นเค้าบอกๆ กันว่า เออ ต้องรักตัวเองนะ
แต่ประโยคนี้มันพูดง่ายมากเลยนะ ผมก็พูดได้
คุณจะมูฟออนหรอ แกต้องรักตัวเองนะเว้ย
แต่ถ้าเรายังไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกลับตัวเองจริง ๆ
เราจะทำไม่ได้
บางทีก็ต้องถามตัวเองต่อนะว่า
ถ้ารักตัวเอง ดูแลตัวเอง ทุ่มเทกับตัวเองได้มากเท่ากับที่ทุ่มเทให้กับเค้าคนนั้น
เราจะเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดแล้ว
นานแค่ไหนแล้วที่พลังความคิดที่มีหมดไปกับการทุ่มเทกับคนที่ไม่ได้รักเราแล้ว
นานแค่ไหนแล้วที่นอนไม่หลับ เพราะเรื่องราวต่าง ๆ มันวนเวียนมาทุกครั้งที่หลับตา
ผมไม่คิดหรอกว่าการที่คุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนในตอนนี้แล้วมันจะทำให้คุณเทความรู้สึกของตัวเองไปได้
แบบที่ไม่กลับมามูฟออนเป็นวงกลมอีก
แต่การข้ามผ่านการอกหักมันคือการเล่นเกมต่อจุด
พาตัวเองไปยังจุดต่อไป จุดไหนยืนแล้วไม่แฮปปี้ ก็ย้ายจุด
อย่าคาดหวังว่าการทำอะไรเดิม เข้าไปดูแบบเดิม คิดแบบเดิม วนเวียนกับอะไรแบบเดิม
จะทำให้เราพบผลลัพธ์ใหม่
ถ้าอยากออกจากวังวนนี้
ก็ต้องค่อยๆ เทเอาความรู้สึกเก่าๆ ไปทิ้ง
ถ้ายังไม่พร้อมก็ค่อยๆ ริน
จะได้ไม่อาฟเตอร์ช็อคมาก
ขีดเส้นในหัวตัวเองทุก ๆ วัน
ว่าวันนี้ความทรงจำเก่าๆ มันลดต่ำลงไปถึงขีดไหนแล้ว
ถ้าไม่ตักมาเพิ่ง
สักวันมันก็ต้องหมดแหละ
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์