นอกจากความสุขแล้ว
การมีชีวิตอยู่นั้น เราต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง
ผมได้ฟัง TED TALK เกี่ยวกับการค้นหาความหมายของชีวิต ของนักจิตวิทยา แล้วก็นักเขียนที่เชื่อว่า Emily Smith
เค้าบอกว่าจริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่มีความสุขกับชีวิต
คือคนที่ค้นพบว่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของเค้าคืออะไร
คนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร มักจะมีชีวิตที่เดินหน้าไปได้ไกลกว่า
ซึ่งคุณเอมิลี่ใช้เวลากว่า 5 ปี คุยกับคนหลายร้อยคน อ่านงานวิจัยเป็นพัน ๆ หน้า
จนได้ข้อสรุปว่าจริง ๆ แล้วมันมี 4 ข้อหลักๆ นะที่จะทำให้เรามีชีวิตที่มีความหมาย
ซึ่งเราจะมีมันทุกข้อ หรือจะทำมันแค่บางข้อในชีวิตก็ได้
- การได้เป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างหรือบางคน
เรียกง่ายๆ กว่ามันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่พอเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว
เรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า แล้วเราก็ให้ค่าเค้าคนนั้นไปด้วย
ซึ่งมันอาจเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว คนรัก เพื่อน หรือคนรู้จัก
มันคือการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
ยกตัวอย่างละกัน
ผมเป็นคนชอบคุยกับแม่บ้าน พี่รปภ. หรือคนขับรถ เวลาที่เจอ เดินผ่าน หรือต้องใช้บริการพวกเค้านะครับ
ไม่ใช่เพราะเราจะใช้เค้าหรอก ผมถึงคุยด้วย
แต่ส่วนตัวรู้สึกลึกๆ ข้างในว่า การที่เราเดินผ่าน แบบที่ทำเป็นมองไม่เห็นป้าที่กำลังถูพื้นอยู่
การที่เราทำเป็นเมินพี่ยามที่มาช่วยเข็นรถคันอื่นเพื่อให้รถเราออกจากที่จอดรถได้
แบบนั้นเป็นการลดคุณค่าในตัวพวกเค้าไป
ลองคิดง่ายๆ ถ้าเราไปทำงาน แล้วเพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านายไม่คุยกับเรา ทั้ง ๆ ที่เรานั่งทำงานอยู่
แบบนั้นเราก็จะรู้สึกไม่ดี ทั้งกับพวกเค้า แล้วก็กับตัวเองที่รู้สึกว่า เออ เรานี่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลย
ซึ่งเราทำกันอยู่แบบไม่รู้ตัวเอง การลดคุณค่าของคนอื่น
เช่น การเล่นโทรศัพท์ตอนที่เรากำลังคุยกับใครอยู่ข้างหน้า
เดินผ่านแล้วทำเป็นมองไม่เห็นนี่ชัดเลย
ซึ่งผมเองก็เคยทั้งถูกทำแบบนั้น แล้วก็เคยทำแบบนั้นกับใครสักคนเหมือนกัน
ซึ่งแน่นอน ในใจเราตอนนั้นคือไม่ได้อยากคุยด้วย
หรือสนใจ เราเลยทำให้เค้ากลายเป็นธาตุอากาศ
ลดคุณค่าของตัวเค้าไป ไม่ได้ให้เค้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราซะ
ซึ่งความสัมพันธ์ที่จะทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง คือความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยแล้วแฮปปี้
ต่างคนต่างยกระดับจิตใจตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มันเป็นได้ในทุก ๆ ความสัมพันธ์
แล้วพอได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว นั่นทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น
แต่สำหรับบางคน ความหมายที่สำคัญของชีวิต อยู่ในข้อที่สอง
- การมีจุดหมาย
เค้าบอกว่าการมีจุดหมายนี่มันไม่เหมือนกับการตามหาวิชาที่ชอบ งานที่ใช่
แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่เราได้เป็นผู้ให้ มากกว่าผู้รับ
เช่น จุดหมายของพ่อแม่บางคน คือการได้เลี้ยงลูกจนโต แล้วเห็นเค้าดูแลตัวเองได้
หัวใจสำคัญของการมีจุดหมายคือการใช้จุดแข็งของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
ซึ่งแน่นอน คุณอาจจะคิดว่า นั่นมันก็คือการทำงานรึเปล่า
มันคือการทำให้ตัวเองมีประโยชน์แล้วก็รู้สึกว่า มีคนต้องการเรา
แต่จริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องหาจุดหมายของชีวิตในหน้าที่การงานก็ได้
แต่มันคือ อะไรบางอย่างที่มันบอกเราว่า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้ เราจะเอาแรงที่เรามีทั้งหมดไปลงกับอันนี้
- การสลายตัวตน
อันนี้ถ้าฟังเฉย ๆ อาจดูเข้าใจยาก
แต่ผมจะอธิบายให้ฟังว่า ครั้งแรกที่ผมขึ้นเครื่องบิน
ผมได้นั่งริมหน้าต่าง ระหว่างที่นั่งไป ผมก็ทอดสายตามองไปสุดลูกหูลูกตา
เท่าที่ก้อนเมฆบนเครื่องมันจะแหวกทางให้ผมมองลอดผ่านออกไปได้
พอมองลงมาข้างล่าง
ผมเริ่มเห็นบ้านเล็กลงๆ คน รถ กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ
นั่งทำให้ผมรู้สึกว่า เออ จริง ๆ แล้วเรามันก็แค่ส่วนหนึ่งในระบบนิเวศ ในสังคม ในประเทศ ในโลก
จริง ๆมันไม่ได้สำคัญอะไรมาก เรื่องที่เราแบกเอาไว้ เก็บเอาไว้ รู้สึกหนักโลกส่วนตัวมาก
มันอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรเลยในโลกใบบนี้
นั่นทำให้ผมปล่อยวางอะไรบางอย่างในใจได้หลังจากที่ลงเครื่องมาวันนั้น
หรือเวลาที่ผมนั่งเขียนหนังสือ ผมจะรู้สึกว่าผมลืมตัวเอง
ผมกลายเป็นอีกคนที่กำลังวางเรียงตัวอักษรให้ออกมาแล้วรู้สึกสบายหูสบายตา
ผมจะลืมไปเลยว่าผมนั่งมานานเท่าไหร่แล้ว
ซึ่งเค้าบอกว่า ภาวะเหล่านี้แหละคือการสลายตัวตนของตัวเอง
และมันจะทำให้ข้างในของเราเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เราพูดถึง การเป็นส่วนหนึ่ง
การมีจุดหมาย แล้วก็การสลายตัวตน
อย่างสุดท้าย อันนี้ผมชอบ เพราะมันตรงกับใจผม
นั่นก็คือ
- storytelling หรือการเล่าเรื่อง
อาจดูงงๆ อ้าว เกี่ยวไรกันกับการค้นหาความหมายของชีวิต
มันคือการเล่าเรื่องของตัวเอง ให้ตัวเองฟัง
เราเล่าความรู้สึก บอกสิ่งที่ตัวเองคิด หรือพบเจอ ทำให้ภาพมันชัดเจนอยู่ในหัว
ซึ่งมองกันดี ๆ มันสามารถบอกเราได้เลยนะว่า
ทำไมเราถึงได้เป็นตัวเองในแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ซึ่งสิ่งที่เราไม่ค่อยสังเกตก็คือ
เราเป็นคนเล่าเรื่องก็จริง แต่เราสามารถปรับเปลี่ยน
แก้ไขมุมมองของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แปลความหมาย แล้วก็เล่าเรื่องใหม่ให้ตัวเองฟังได้
ถึงแม้ว่าสุดท้ายความจริงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
ซึ่งเราชอบเล่าเรื่องราวให้ตัวเองฟังอยู่ตลอดว่า
ชีวิตแต่ก่อนแกดีนะ แต่ตอนนี้คือพัง
อยากกลับไปเป็นคนเดิม คนเดียวกับเมื่อสองสามปีก่อน
ก่อนที่จะมาเป็นตัวเองในวันนี้
ซึ่งการเล่าความคิดตัวเองแบบนี้ให้ตัวเองฟัง ก็มีแต่จะทำให้เราหดหู่ แล้วก็เศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งผมเคยเป็น ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เราเจอกับเหตุการณ์อะไรแย่ๆ ที่รู้สึกว่า
มึง มันแย่จริง ๆ วะ
แต่ผมก็บอกกับตัวเองนะว่า แล้วผมสามารถเอาสิ่งที่ผมกำลังเจออยู่
มาทำให้มันเกิดประโยชน์กับตัวเอง หรือกับใครได้บ้าง
ผมสามารถทำความเข้าใจกับตัวเอง
แล้วมันสามารถช่วยให้คนอื่นเข้าใจตัวเองได้ด้วยรึเปล่า ถ้าได้ ผมจะเล่าเรื่องของผมออกไป
แต่เราจะเล่าเรื่องตัวเองได้ยังไง
สำหรับผม มันคือการตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ
ว่า ตอนนี้เราอยู่กับอะไร กับใคร ใครบ้างที่หายไป ใครบ้างที่ยังอยู่
เราเสียอะไรไปบ้าง แล้วอะไรที่เราได้กลับมา แล้วอะไรที่เราควรจะทำต่อไป
เพื่อที่จะทำให้ชีวิตเราเดินหน้าต่อไป
การเป็นส่วนหนึ่ง
การมีจุดหมาย
การสลายตัวตน
และการเล่าเรื่อง
4 ข้อที่จะสร้างความหมายของชีวิตเรา
ผมคิดว่าผมไม่ได้มีทั้งสี่ข้อนะ
แต่ผมอยากมาชวนคุณมาคิด ทบทวนกับตัวเองว่า
ตอนนี้คุณกำลังทำข้อไหน หรือมีข้อไหนกันบ้าง
เค้าบอกว่า ความสุข มันเข้ามา แล้วมันก็จะจากไป
แต่ไม่ว่าชีวิตคุณจะดี หรือแย่แค่ไหน
ถ้าเราพบแล้วว่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตัวเองคืออะไร
เราจะกลับมายืนหยัดอยู่ได้ แบบที่ไม่ต้องรอให้ใครมาฉุดให้ลุกขึ้นยืนเลย
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์