“ฟักแฟง” ในวันที่ไม่มีน้ำตา..อีกต่อไป
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนดูที่อยู่ในคอนเสิร์ต G19 งานใหญ่รวมศิลปินยกค่ายของจีนี่ เรคคอร์ดส ที่จัดขึ้นเมื่อต้นปี คุณคงจำได้ว่าเซอร์ไพรส์บนเวทีที่เรียกเสียงฮือฮาจากคนดูได้มากที่สุดคือการปรากฏตัวของ “ฟักแฟง No More Tear” ที่ห่างหายจากการทำงานเพลงไปหลายปี
โชว์ของฟักแฟงในวันนั้นเหมือนเป็นการบอกแฟนเพลงกลายๆ ว่า ร็อกเกอร์สาวคนนี้กำลังจะกลับมาอีกครั้ง และในวันนี้เธอก็ประกาศการคัมแบ็กอย่างชัดเจนด้วยเพลง “อย่าบอกว่ารัก” ที่เธอนำเพลงของ Silly Fools มาถ่ายทอดใหม่ใน Play 2 Project
หลายคนทักว่าการกลับมาครั้งนี้ ฟักแฟงดูเปลี่ยนไปจากในอดีต แต่ฟักแฟงบอกว่าถ้าได้นั่งคุยกันจริงๆ และฟังเพลงที่เธอร้องก็จะรู้ว่า เธอยังเป็นฟักแฟงคนเดิม ไม่ต่างจากเมื่อ 5 ปีก่อนที่เธอหยุดร้องเพลงและเลือกใช้ชีวิตในแบบที่แทบไม่ได้คิดถึงการกลับมาเป็นนักร้องอีกครั้งเลย
“ช่วงที่หายไป เราได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ”
“เราเว้นจากการทำงานเพลงไปประมาณ 5 ปี เป็นช่วงเวลา 5 ปีที่เราไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะหันไปเล่น kite surfing ส่วนเรื่องงานก็ทำงานอย่างอื่นให้พอเลี้ยงตัวเองได้ เรียกว่าเป็นชีวิตที่เปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่ในวงการเพลง ตอนนั้นออกจากบ้านแทบทุกวัน ทั้งทำเพลง ทั้งไปเล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัด เราเปลี่ยนจากความวุ่นวายในเมืองไปอยู่กับความเงียบ อยู่ใกล้กับธรรมชาติ”
“พอวันที่ได้กลับมาเล่นคอนเสิร์ต G19 มันทำให้เรารู้สึกว่าเราคิดถึงการร้องเพลง คิดถึงกระบวนการต่างๆ ของการเล่นดนตรี พอทางจีนี่เสนอโอกาสให้กลับมาทำเพลงอีกครั้ง ก็เลยตัดสินใจว่าจะกลับมาตั้งใจทำงานเหมือนเดิม”
“ช่วงที่หายไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็ไม่ได้เสียดายกับอะไรทั้งนั้นนะ เพราะเราได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่การได้กลับมาทำเพลงอีกครั้งถือเป็นเกียรติและเป็นโอกาสที่ดีมากๆ”
“ดีใจที่ยังมีคนรอฟังเสียงเราอยู่”
“ตอนที่ทางพี่ๆ ที่จีนี่ชวนมาเล่นคอนเสิร์ต G19 เราใช้เวลาคิดอยู่ 2 สัปดาห์กว่าจะตอบตกลง พอถึงวันงาน พี่นิคที่เป็นเฮดของจีนี่ก็มาเปรยๆ ว่า มาทำเพลงในโปรเจกต์พิเศษกันไหม ในใจเราก็คิดว่า เอาแล้วไง ต้องตัดสินใจอีกแล้ว ซึ่งสุดท้ายก็ตอบตกลง ทั้งที่ตอนช่วง 5 ปีนั้นเราไม่ได้นึกถึงการกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอถึงตอนที่ต้องตัดสินใจ ตอบตรงๆ เลยว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์เราตอนนั้นล้วนๆ เพราะอย่างที่บอกว่าการได้ขึ้นเวทีในวันนั้นมันทำให้เราคิดถึงอะไรหลายๆ อย่างในการทำเพลง”
“ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตวันนั้น เราแทบไม่ได้บอกใครเลยเพราะมันเป็นความลับ วันนั้นเราเล่นกับวง "The Yers" ตอนที่วงเริ่มเล่นเพลงความพยายาม ถ้ามีแฟนเพลงเราอยู่ในนั้น เขาก็คงคิดเหมือนกันว่า เฮ้ย จะมาจริงหรือเปล่า แล้วพอตอนกลางเพลงเราก็เดินออกมาบนเวทีจริงๆ”
“มาอ่านคอมเมนต์ของแฟนเพลงหลังจากนั้น มีบางคนบอกว่า พี่… ตอนพี่เดินออกมา ผมน้ำตาไหลเลยนะ อ่านแล้วก็ดีใจว่ามีคนที่ยังจำเราได้และรอฟังเสียงเราอยู่”
“ทุกครั้งที่ร้องต้องแน่ใจว่าเข้าใจในเนื้อหาและดนตรีของเพลงนั้น”
“สำหรับเราดนตรีมันคือศิลปะอย่างหนึ่งและศิลปะมันคือการที่เราอยากถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกส่งผ่านไปถึงคนรับ แล้วความรักที่ผ่านๆ มาของเรามันไม่ค่อยจะแฮปปี้เอ็นดิ้งเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าตัวเองเหมาะกับการถ่ายทอดเพลงโทนนี้มากกว่า เวลาเขียนเพลงมันเลยเป็นการเขียนจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเรา”
“แม้แต่เวลาเล่นคอนเสิร์ตแล้วต้องคัฟเวอร์ เราก็จะเลือกคัฟเวอร์แต่เพลงที่เราร้องแล้วรู้สึกตามไปด้วย ร้องแล้วเข้าใจในความหมายของเพลง ไม่ใช่เลือกเพลงเพื่อให้คนดูสนุกเฉยๆ แต่ทุกครั้งที่ร้องเพลง เราต้องแน่ใจว่าเข้าใจในเนื้อเพลงและดนตรีของเพลงนั้น”
“ตอนที่ต้องเลือกว่าจะเอาเพลงไหนมาคัฟเวอร์ เราใช้เวลาคิดประมาณ 1 สัปดาห์กว่าจะประมวลเพลงในหัวได้ เพราะเพลงแกรมมี่มีเยอะมาก เลยใช้วิธีตัดทอนลงมาก่อนว่าจะเป็นเพลงแฮปปี้หรือเพลงเศร้า ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของตัวเองไปในทางของเพลงเศร้ามากกว่า”
“พอต้องเลือกว่าจะเอาเพลงเศร้าของใครหรือวงไหนดีมาทำ เรานึกถึง Silly Fools เพราะเวลาร้องคัฟเวอร์เพลงของพี่ๆ เขา เราจะอินกับเพลงมาก แล้วก็เลือกเพลงที่คีย์ตรงกับเส้นเสียงเรา เลยมาเป็นเพลง ‘อย่าบอกว่ารัก’ ซึ่งเวอร์ชันนี้อารมณ์เพลงจะยังหม่นๆ เหงาๆ เศร้าๆ เหมือนต้นฉบับ เพราะเราไม่ได้เอามาเปลี่ยนมันเป็นร็อกเร็ว ยังเป็นเพลงร็อกมีเดียมเหมือนเดิม”
“เพลงนี้ได้พี่อู๋ The Yers เป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งเราก็บอกพี่อู๋ว่า ตอนนี้เราออกเดี่ยวแล้ว คงไม่ได้ร็อกหนักหน่วงเท่าเมื่อก่อน เลยอยากได้อารมณ์เหงาๆ แต่ดนตรียังคงความร็อกอยู่นิดๆ และแนวทางการร้องของเราก็ยังคงเป็นร็อกอยู่”
“ใส่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เป็นเราเข้าไปในผลงาน”
“การทำงานกับพี่อู๋ก็สนุกดี เพราะด้วยแง่คิดในการทำเพลง อารมณ์ของเพลง ตัวเรา กับตัวพี่อู๋มันค่อนข้างไปกันได้อยู่แล้ว อายุก็ใกล้เคียงกันด้วย การทำงานก็เลยราบรื่น ต่างคนต่างรับฟังกัน เขามีอะไรนำเสนอ เราก็ฟัง เราอยากจะทำอะไร พี่อู๋ก็รับฟัง”
“ในการทำงานทั้งหมดที่เกิดไปแล้วและน่าจะเกิดต่อไปอีกหลังจากนี้ แน่นอนเราว่าอยากจะใส่ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่เป็นเราลงไปในผลงาน ซึ่งพี่อู๋เองก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราก็รู้ว่าตัวเองมีความไม่พอดีอยู่หลายอย่าง พอพี่อู๋เข้ามาช่วย เขาก็จะรับฟังและจัดการให้ส่วนที่มันมากหรือน้อยเกินไปให้มาอยู่ตรงกลางได้”
“ส่วนท่าเต้นที่เห็นในเอ็มวี ได้พี่วิทย์ AF1 มาช่วยคิดให้ ที่อยากเต้นในเพลงนี้เพราะตอนที่ทำเพลงเสร็จ เราฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็นึกถึงภาพใครสักคนขยับตัวไปตามเพลงในที่มืดๆ หม่นๆ หน่อย พอบวกกับการที่เราเป็นศิลปินเดี่ยวตอนนี้ ยังไม่พร้อมที่จะให้ใครมายืนข้างหลังแทนที่วงเดิม ก็เลยนำเสนอดูว่า เอ็มวีนี้ขอเป็นเราคนเดียวก็แล้วกัน แต่ถ้ายืนร้องเพลงเฉยๆ ก็คงน่าเบื่อ เราเลยบอกเขาว่าลองเต้นดูไหม ทั้งที่ไม่เคยฝึกเต้นมาก่อน แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเอ็มวีเพลงนี้”
“พอมาเต้นจริงๆ แล้วมันเหนื่อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้เหนื่อยที่การขยับร่างกายนะ เพราะการเต้นแบบนี้ไม่ได้ขยับเยอะมาก แต่มันเหนื่อยสมองเพราะต้องคิดเยอะ คิดตามเนื้อหาของเพลงทุกคำเลย”
“ยืนยันว่าตัวตนที่เราเป็นมันยังเหมือนเดิม”
“จากที่เคยทำงานแบบมีวง พอมาเป็นศิลปินเดี่ยว มันเปลี่ยนทุกสิ่ง ยิ่งตอนนี้เรามีงานประจำอยู่ด้วยก็ยิ่งต่างเรื่องเวลา และที่ต่างมากๆ อีกอย่างคือเราเป็นตัดสินใจเองทุกกระบวนการ ที่ผ่านมามันเป็นการตัดสินใจร่วมกันของทุกคนในวง เวลาคิดอะไรไม่ออกก็มีพี่ๆ ในวงช่วยกันคิด คอยให้คำปรึกษา เพราะฉะนั้นปัจจุบันเราก็ยังต้องเรียนรู้ในเรื่องการทำงานคนเดียวที่ต้องตัดสินใจเองและบอกความต้องการของตัวเองให้ชัดเจนทุกอย่าง”
“หลายคนทักว่ากลับมาครั้งนี้เราเปลี่ยนไป หลักๆ ก็คงเป็นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก เพราะเรื่องแนวดนตรีก็คงยังบอกไม่ได้ชัดเนื่องจากเราเพิ่งออกมาเพลงเดียว เขาคงยังตัดสินเราไม่ได้ แต่เรื่องลุคนี่เราก็ยอมรับว่าเปลี่ยนไปจริงๆ ถ้าใครจะจำไม่ได้ เราก็ไม่โกรธ ไม่เสียใจด้วย”
“เรื่องรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะวัยเราด้วย ตอนที่ทำวง No More Tear เราอายุยี่สิบต้นๆ เอง แต่ตอนนี้ใกล้จะสามสิบ แล้วก็อาจจะเปลี่ยนเพราะสีผิวกับรูปร่างด้วย ซึ่งเรื่องเปลี่ยนนี่ก็แล้วแต่จะคิดแล้วกัน แต่เรายังคงยืนยันว่าในใจของเรากับตัวตนที่เราเป็นมันยังเหมือนเดิม บางคนที่จำไม่ได้ในตอนแรก พอพูดคุยกันไม่กี่ประโยคเขาก็บอกว่า เฮ้ย ดูเหมือนเปลี่ยนไป แต่จริงๆ ก็ยังเป็นคนแบบเดิมเลย พูดจาแบบเดิม นิสัยเหมือนเดิม”
“นิสัยเหมือนเดิมก็คือทุกๆ ครั้งที่เราสัมภาษณ์หรือพูดอะไรกับใครไป เราจะไม่โกหก เรายอมพูดความจริงที่ฟังดูแล้วรู้ว่าเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ดีกว่าพูดโกหกเพื่อให้เราดูดี เราไม่สามารถโกหกตัวตนของเราผ่านทางสื่อหรือทางเพลงของเราได้ เราเป็นยังไงก็ต้องแสดงออกมาอย่าง ต้องเป็นตัวเราที่แท้จริงไว้ก่อน คนจะชอบหรือจะเกลียดมันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้”
ขอบคุณสถานที่: V8 Diner
ความเห็น 4
สมัยนั้นจำได้ว่าคนนี้โคตรไอคอนิกในยุคนั้นมาก แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก(ในทางที่ดีนะ 555) ไม่เหมือนคนเดิม แต่ยังไงก็ชอบ
29 ก.ย 2561 เวลา 04.12 น.
AOD H-D Rayong
ชอบครับ รักเคยดีกว่านี้
29 ก.ย 2561 เวลา 03.35 น.
GIFTZY TAN
ไม่มีน้ำตา...อีกต่อไป!!!.....งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราถึงเวลาที่ต้องไปเค้าไล่เค้าไม่เอาไว้แล้วคงไม่ทน ทนเพื่ออะไร เพื่อใครในเมื่อเค้าต้องการให้เราเป็นฝ่ายไปเองคงจะรู้สึกปวดหัวและดูวุ่นวายมากสินะแต่ไม่รู้เหตุผลเลยว่ามาจากใครเริ่ม!!! ไม่เคยฟ้อง และจะ
ไม่ถาม ไม่บอก เดินออกไปแบบเงียบๆไม่ทำให้ปวดหัว วุ่นวายกับใครอีกแน่นอนสบายใจได้ไม่ต้องไล่กันอีกต่อไปแล้วนะคะ
29 ก.ย 2561 เวลา 17.32 น.
🍭*~NuMTaRn~*🙋🏻♀️💁🏻♀️🙅🏻♀️🙆🏻♀️
ชอบเสียงดี
29 ก.ย 2561 เวลา 14.55 น.
ดูทั้งหมด