โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เจาะลึก ‘หุ้นกู้มีประกันทองคำ’ คืออะไร? AURA ชูจุดเด่นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 100% นักลงทุนต้องรู้อะไรบ้าง?

THE STANDARD

อัพเดต 07 ส.ค. เวลา 04.36 น. • เผยแพร่ 07 ส.ค. เวลา 04.36 น. • thestandard.co
เจาะลึก ‘หุ้นกู้มีประกันทองคำ’ คืออะไร? AURA ชูจุดเด่นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 100% นักลงทุนต้องรู้อะไรบ้าง?

สร้างความฮือฮาในวงการหุ้นกู้ไม่น้อย เมื่อ AURA หรือ ออโรร่า ร้านค้าปลีกทองคำเจ้าใหญ่ได้ออกหุ้นกู้ตัวใหม่ ซึ่งทีเด็ดคือมีหลักประกันเป็น ‘ทองคำ’ ถือเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของตลาดทุนไทย

แล้วหุ้นกู้ตัวนี้มีอะไรพิเศษกว่าหุ้นกู้ทั่วไป และถ้าลงทุนจะได้ทองคำแถมหรือไม่? มาหาคำตอบและทำความเข้าใจเรื่องนี้ไปพร้อมกัน

หุ้นกู้มีประกันทองคำ ไม่ใช่เรื่องใหม่

การใช้ทองคำเป็นหลักประกันของหุ้นกู้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่หุ้นกู้มีประกันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว

หุ้นกู้มีประกัน (Secured Debenture)คือหุ้นกู้ที่บริษัทผู้ออกนำสินทรัพย์ของบริษัทมาเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร โดยมูลค่าของสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันต้องไม่น้อยกว่ามูลค่าของหุ้นกู้ที่เสนอขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน และลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้

และหากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีประกันประสบปัญหาจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิในการเรียกร้องสิทธิเหนือหลักประกันนั้นก่อนเจ้าหนี้รายอื่นๆ โดยกระบวนการเรียกร้องสิทธินี้จะดำเนินการโดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ลงทุนทั้งหมดในการดูแลหลักประกันและดำเนินการทางกฎหมายเมื่อเกิดการผิดนัดชำระหนี้

โดยครั้งนี้ AURA หรือ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้มีประกันครั้งแรก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งหุ้นกู้นี้มี ทองคำ 96.5% และสินค้าคงเหลืออื่นๆ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 100% ของมูลหนี้ทั้งหมด โดยมีมูลค่าหลักประกันรวมถึง 10,560 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งหนี้จากหุ้นกู้และหนี้ที่มีต่อสถาบันการเงินด้วย

โดยหลักประกันส่วนใหญ่เป็นทองคำ (90%) และจะมีการประเมินมูลค่าแบบระมัดระวัง หากมูลค่าลดลง บริษัทจะเติมหลักประกันเพิ่มทุกไตรมาส แม้ทองคำจะเป็นสินค้าคงคลัง แต่ AURA ยืนยันว่าจะรักษาระดับสินค้าคงคลังขั้นต่ำไว้เสมอเพื่อไม่ให้กระทบการดำเนินธุรกิจ นักลงทุนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องมูลค่าหลักประกันที่ลดลง

หุ้นกู้ชุดนี้เป็นประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน อายุ 2 ปี มีอัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี และจะจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2568

ทำไมหุ้นกู้ต้องมีหลักประกันเป็นทองคำ แล้วซื้อหุ้นกู้จะได้แถมทองคำแถมหรือไม่

การมีทองคำเป็นหลักประกันในหุ้นกู้มีข้อดีหลักๆ คือช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงให้กับการลงทุน เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

ดังนั้นหากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถชำระหนี้ได้ มูลค่าของทองคำที่ใช้ค้ำประกันจะสามารถนำมาใช้บรรเทาความเสียหายและเพิ่มโอกาสที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับเงินต้นคืนได้

อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นกู้ที่มีหลักประกันเป็นทองคำไม่ได้หมายความว่าผู้ถือหุ้นกู้จะได้ทองคำมาเป็นเจ้าของ แต่ยังคงสถานะเป็นเจ้าหนี้ที่ได้รับดอกเบี้ยสม่ำเสมอตามที่ตกลงไว้ โดยหลักประกันทองคำจะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้เท่านั้น ทำให้การลงทุนประเภทนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน และยังได้รับความคุ้มครองจากสินทรัพย์ที่มีค่าอย่างทองคำ

หุ้นกู้แต่ละประเภท มีลักษณะเด่นอย่างไร แบบไหนเสี่ยงน้อย

นอกจากหุ้นกู้แบบมีหลักประกัน ก็ยังหุ้นกู้ประเภทอื่น ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้หลายเกณฑ์ ดังนี้:

  • สิทธิในการรับชำระคืน

  • หุ้นกู้มีประกัน (Secured Debenture): มีสินทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร หากบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิยึดสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า

  • หุ้นกู้ไม่มีประกัน (Unsecured Debenture): ไม่มีสินทรัพย์มาค้ำประกัน ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระหนี้ตามลำดับเจ้าหนี้ทั่วไป

  • หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Debenture): ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิในการเรียกร้องชำระหนี้เป็นลำดับสุดท้าย รองจากเจ้าหนี้สามัญทั่วไป แต่ยังคงมาก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ มักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

โดยหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดคือ หุ้นกู้มีประกัน ซึ่งผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับเงินคืนจากสินทรัพย์นั้นก่อนเจ้าหนี้รายอื่น และหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดคือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิ ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะได้รับเงินคืนเป็นลำดับสุดท้ายของกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งหมด ซึ่งมักจะมาพร้อมกับผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

  • ลักษณะการจ่ายดอกเบี้ย

  • อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed-rate Debenture): จ่ายดอกเบี้ยในอัตราเดิมตลอดอายุของหุ้นกู้

  • อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating-rate Debenture): อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด

  • หุ้นกู้ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย (Zero-coupon Debenture): จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยระหว่างทาง แต่จะขายในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ และจ่ายคืนเงินต้นเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดอายุ ทำให้ผลตอบแทนที่ได้อยู่ในรูปของส่วนต่างราคา

หุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ จะมีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยสูง หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น มูลค่าของหุ้นกู้จะลดลง ในขณะที่ หุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว จะมีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า แต่ผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่แน่นอน ส่วน หุ้นกู้ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ถือว่ามีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด เพราะมูลค่าจะผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดมากกว่าหุ้นกู้ประเภทอื่นอย่างชัดเจน

  • การแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ

  • หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debentures): เป็นหุ้นกู้ที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญของบริษัทได้หลังจากครบกำหนดเวลาที่กำหนด ทำให้ผู้ลงทุนได้ทั้งดอกเบี้ยคงที่และโอกาสในการเพิ่มทุนจากราคาหุ้นที่อาจสูงขึ้น

  • หุ้นกู้ไม่แปลงสภาพ (Non-Convertible Debentures): เป็นตราสารหนี้ที่คงสถานะเป็นหนี้ตลอดอายุสัญญา ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคงที่เป็นประจำ แต่ไม่มีสิทธิ์แปลงเป็นหุ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงและรับความเสี่ยงได้ต่ำกว่าหุ้น

  • การไถ่ถอน

  • หุ้นกู้ไถ่ถอนได้ (Redeemable Debentures): มีวันครบกำหนดไถ่ถอนที่แน่นอน ทำให้ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด ถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย

  • หุ้นกู้ไถ่ถอนไม่ได้ (Irredeemable Debentures): หรือที่เรียกว่าหุ้นกู้ตลอดชีพ ไม่มีวันครบกำหนดไถ่ถอนที่แน่นอน บริษัทจะคืนเงินต้นให้ก็ต่อเมื่อมีการเลิกกิจการเท่านั้น ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่มีความไม่แน่นอนสูง

อยากลงทุน หรือซื้อหุ้นกู้ ต้องทำอย่างไร?

การเลือกซื้อหุ้นกู้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น:

1. พิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)

ดูว่าหุ้นกู้มีอันดับเครดิตที่จัดโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่น่าเชื่อถือหรือไม่ เช่น TRIS Rating, Fitch Ratings, หรือ Moody’s โดยอันดับเครดิตที่สูง (เช่น AAA, AA, A, BBB) แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่สูง และมีความเสี่ยงต่ำ

2. ศึกษาข้อมูลบริษัทผู้ออกหุ้นกู้

ดูว่าบริษัทมีผลประกอบการที่มั่นคง มีรายได้และกระแสเงินสดสม่ำเสมอหรือไม่ ไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะอัตราดอกเบี้ยสูง

3. ทำความเข้าใจเงื่อนไขของหุ้นกู้

อ่านรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน เช่น อัตราดอกเบี้ย ประเภทของหุ้นกู้ (มีประกัน/ไม่มีประกัน) และวันครบกำหนดไถ่ถอน

4. เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น ๆ

เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้กับผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงใกล้เคียงกัน เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนรวมตราสารหนี้

5. กระจายความเสี่ยง

ไม่ควรลงทุนในหุ้นกู้ทั้งหมดที่ออกโดยบริษัทเดียว หรือในอุตสาหกรรมเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกู้ของบริษัทหลายๆ แห่ง และในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อดีและข้อเสียของหุ้นกู้

ข้อดี

  • ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก: โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้จะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล
  • สร้างรายได้สม่ำเสมอ: หุ้นกู้ส่วนใหญ่มักจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ตามที่กำหนด ทำให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอน
  • ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ: มีความผันผวนของราคาน้อยกว่า และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้คืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ

ข้อเสีย

  • ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้: แม้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้อาจไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้
  • ผลตอบแทนตายตัว: ผู้ถือหุ้นกู้จะไม่ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นเมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ซึ่งแตกต่างจากผู้ถือหุ้น
  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: หากลงทุนในหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าของหุ้นกู้ที่ถืออยู่จะลดลง

ใครที่เหมาะจะซื้อหุ้นกู้?

หุ้นกู้เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร แต่รับความเสี่ยงได้ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ โดยผู้ที่เหมาะจะลงทุนในหุ้นกู้มีลักษณะดังนี้

1.ต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอ

หุ้นกู้ส่วนใหญ่มักจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ ทำให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนและสามารถนำไปวางแผนทางการเงินได้

2. รับความเสี่ยงได้ต่ำ-ปานกลาง

หุ้นกู้มีความผันผวนของราคาน้อยกว่าหุ้น และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้คืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ

3. ต้องการกระจายความเสี่ยง

การมีหุ้นกู้ในพอร์ตจะช่วยลดความผันผวนโดยรวมได้ เนื่องจากราคาหุ้นกู้มักจะไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้นในตลาด

4. สามารถถือครองได้จนครบกำหนด

หุ้นกู้มีสภาพคล่องในการซื้อขายในตลาดรองต่ำกว่าหุ้นสามัญ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนในระยะสั้นและสามารถรอจนกว่าจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ

ใครที่กำลังสนใจลงทุนอยากให้ศึกษาข้อมูลก่อนซื้อหุ้นกู้ให้รอบคอบ หุ้นกู้ไม่เเหมือนเงินฝาก ที่ปลอดภัย 100% แต่หุ้นกู้เป็น ตราสารหนี้ ที่ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกจะ ไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้ แม้ว่าหุ้นกู้จะมี อันดับเครดิต สูงหรือมี หลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็ยังมีความเสี่ยง ไม่ควรหลงเชื่อผลตอบแทนที่สูงเกินจริงโดยไม่พิจารณาความเสี่ยงประกอบ

ภาพ: Thichaa / Shutterstock

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...