เปิดผลสำรวจ 2025 คนไทยเชื่อว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม สำคัญกว่า ค่าครองชีพสูงขึ้น
แม้ว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ ‘สิ่งแวดล้อม’ ยังคงเป็นประเด็นหลักที่คนไทยกังวลมากที่สุด นี่คือข้อค้นพบสำคัญจากผลสำรวจล่าสุดในปี 2025 ของ Marketbuzzz และวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า 44% ของประชาชนเห็นว่า "สิ่งแวดล้อมและมลพิษ" เป็นปัญหาสำคัญเหนือความท้าทายด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น (42%) และสภาพเศรษฐกิจโดยรวม (30%)
งานศึกษาชิ้นนี้ระบุว่า ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรกของคนไทยในปี 2025 ได้แก่
- ภาวะโลกร้อน (46%)
- มลพิษทางอากาศ (45%)
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (29%)
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักที่ลึกซึ้งขึ้นของประชาชน และชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการดำเนินการอย่างครอบคลุมในทุกภาคส่วน
ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เราได้รับแรงหนุนจากความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นและต่อเนื่องของประชาชนต่อภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อม แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงผันผวน
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันมากขึ้น และตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อผลักดันสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”
ผศ.ดร.ประภาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ความกังวลที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน สะท้อนถึงความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความรุนแรงของวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่ “ช่องว่าง” ระหว่างความกังวลและการลงมือทำนั้น ชี้ให้เห็นถึงความต้องการระบบสนับสนุนที่ชัดเจน
คนไทย ไม่ค่อยเปลี่ยนพฤติกรรม
แม้ว่าคนไทยจำนวนมากจะตระหนักถึงผลกระทบของมลพิษต่อชีวิตประจำวัน โดย 65% เชื่อว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลร้ายแรงต่อคุณภาพชีวิต และ 48% กังวลว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่เมื่อลงลึกถึงพฤติกรรมจริง ความเปลี่ยนแปลงยังคงเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันต่อไป
จากผลสำรวจ พบว่า การกระทำที่ทำได้ง่าย เช่น การปิดไฟ (50%) และปิดเครื่องปรับอากาศ (44%) ยังคงเป็นพฤติกรรมที่พบมากที่สุด เพราะทำได้ทันทีและไม่ต้องออกแรงมากนัก ในทางกลับกัน พฤติกรรมที่ต้องใช้การตัดสินใจร่วมกับสังคม เช่น การปฏิเสธถุงพลาสติก กลับมีเพียง 23% ของคนไทยที่เลือกทำ
ความท้าทายยังคงอยู่ในด้านของพฤติกรรมที่ซับซ้อนหรืออาศัยความรู้เฉพาะ เช่น การรีไซเคิลอย่างถูกวิธี หรือการลดการใช้พลาสติก ซึ่งแม้จะมีความตั้งใจดีในใจของหลายคน แต่กลับมีอัตราการปฏิบัติที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจน
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ความตระหนักจะมีสูง แต่การเปลี่ยนแปลงต้องการแรงผลักดันที่ชัดเจนกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาครัฐ กลยุทธ์ของภาคธุรกิจ หรือแม้แต่การรณรงค์ทางสังคม
การสร้างแรงจูงใจ เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อพฤติกรรมที่ยั่งยืน จะช่วยให้ประชาชนสามารถปรับตัวได้ง่ายขึ้น
เพราะระบบยังไม่เอื้ออำนวย?
ข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสิ่งแวดล้อมไม่ได้มาจากความไม่ใส่ใจของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงระบบที่อาจไม่เอื้อให้การลงมือทำเป็นเรื่องง่าย
ตัวอย่างเช่น ระบบรีไซเคิลของไทยยังคงมีความซับซ้อน หลายพื้นที่ไม่มีจุดรับแยกขยะที่ชัดเจน หรือประชาชนไม่แน่ใจว่าการคัดแยกขยะที่ทำอยู่จะถูกนำไปใช้จริงหรือไม่
หากภาครัฐและภาคเอกชนสามารถออกแบบมาตรการหรือเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการกระทำของตน “สำคัญ” และ “สร้างผลได้จริง” ก็อาจเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ช่องว่าง ความกังวลและการลงมือทำ
แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) กล่าวถึงผลการสำรวจครั้งนี้ว่า ช่องว่างระหว่างความกังวลและการลงมือทำ ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นคำเชิญชวน
ความท้าทายในขณะนี้คือการเปลี่ยนความกังวลแบบเฉยชาให้กลายเป็นการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น และชี้ว่าแบรนด์หรือองค์กรต่างๆ สามารถมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
“แบรนด์สามารถเป็นแรงบันดาลใจและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคลงมือทำได้จริง ไม่ว่าจะผ่านแคมเปญสร้างสรรค์ หรือการออกแบบประสบการณ์ที่เอื้อต่อพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
โอกาสสำคัญในการครองใจผู้บริโภคไทย
ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 66% ของคนไทยยังคงให้การสนับสนุนแบรนด์หรือองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แม้ว่าการสนับสนุนนี้จะไม่ได้หมายถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าโดยตรงเสมอไป แต่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนว่า “ความยั่งยืน” กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่แบรนด์ต้องคำนึงถึง
“การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจไม่ใช่เหตุผลอันดับหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ แต่หากคุณสมบัติอื่นๆ ใกล้เคียงกัน เช่น ราคา คุณภาพ และประสิทธิภาพ ความยั่งยืนสามารถพลิกการตัดสินใจได้” บาร์โทลี่ กล่าว
ปัจจัยเปลี่ยนใจผู้บริโภค
บาร์โทลี่ กล่าวด้วยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถยืนหยัดบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนคือ "บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" ผู้บริโภคไม่เพียงแต่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านคุณภาพและราคา แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลเผยว่า การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้พลาสติก หรือสามารถรีไซเคิลได้ จะช่วยให้แบรนด์มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคสามารถเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกับแบรนด์ที่ไม่มีแนวทางด้านความยั่งยืน
“สิ่งนี้เปิดประตูให้แบรนด์ต่างๆ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยการออกแบบเพื่อสร้างผลกระทบ ด้วยการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับคุณค่าหลักของผลิตภัณฑ์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำเสนอให้ผู้บริโภคมองเห็นและเชื่อมโยงได้ และง่ายต่อการลงมือทำ แบรนด์ต่างๆ สามารถเปลี่ยนความกังวลไปสู่การลงมือทำ และสร้างคุณค่าของแบรนด์ได้ในกระบวนการนี้”
ผู้นำขององค์กรมีบทบาทสำคัญ
ผศ.ดร.ประภาภรณ์ กล่าวเสริมว่า นี่คือจุดที่ความเป็นผู้นำขององค์กรมีบทบาทสำคัญ โดยเน้นว่าธุรกิจมีทรัพยากร ขนาด และอิทธิพลที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น เช่น การตั้งราคาที่ไม่แพง การทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสามารถเลือกทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องเสียสละความสะดวกสบาย
“เมื่อบริษัทต่างๆ เป็นผู้นำด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พวกเขาไม่เพียงช่วยบรรเทาวิกฤตโดยตรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย”