โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สร้าง Next-Gen อย่างไร ให้พร้อมรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว

Thairath Money

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
ภาพไฮไลต์

เมื่อรุ่นผู้ใหญ่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่ทำธุรกิจครอบครัวมาสักระยะ เห็นลูกๆ เติบโต ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า “เราต้องวางแผนสร้างลูกหลานอย่างไรให้รับช่วงต่อกิจการได้?” ทั้งจังหวะที่เหมาะสม ความสามารถ ชั่วโมงบิน และความพร้อมของลูกในการสานต่อกงสีให้ส่งไปได้สู่รุ่นหลาน

ความมั่งคั่งธุรกิจครอบครัว = ความมั่งคั่งด้านการเงิน + ความมั่งคั่งด้านจิตใจ

Family Business Wealth = Financial Wealth + Non-Financial (Emotional) Wealth

คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อแม่ทุกคนเสมอมาว่าทำอย่างไรดี เพราะฝั่งหนึ่งลูกหลานก็เติบโต ก็นับเป็นเวลาในการส่งต่อกิจการครอบครัว มรดกของที่บ้านให้ถูกสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ “กลัว” “กังวล” จนไม่กล้าทำอะไร กลายเป็นกับดักกงสี ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วทางออกคืออะไร?

จากการให้คำปรึกษามามากกว่า 50 ธุรกิจครอบครัว (ตั้งแต่ SME จนไปถึงธุรกิจครอบครัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) และวางแผนการสืบทอดหลายครอบครัว

จึงสามารถสรุปได้ว่า การส่งต่อ (Succession) เป็นเรื่องของ “กระบวนการ” การสร้างมากกว่าธรรมชาติคัดสรร (Process > Natural Selection) ดังนั้นแล้ว การสร้าง Next-Gen นั้นสามารถเริ่มได้ตอนนี้ประกอบกับมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผ่าน Framework ที่ชื่อว่า Succession N-Action

Succession N-Action: สร้างคนรุ่นใหม่สู่ผู้บริหารที่เหมาะสมในอนาคต

Succession N-Action คือ Framework ที่ใช้เพื่อวางแผนการสืบทอดธุรกิจครอบครัว โดยเน้นการปฏิบัติ และสามารถพัฒนารุ่นถัดไปได้อย่างเป็นรูปธรรม มีกระบวนการที่ไม่ยัดเยียดเกินตัวแต่ไม่ช้าเกินพอดี โดยพื้นฐานของ Framework นี้มาจาก Framework การกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวในอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วย 2 มิติหลักด้วยกัน นั่นก็คือมิติด้านความเสี่ยง (ของธุรกิจ) และมิติด้านองค์ความรู้ (ของครอบครัว)

จาก Framework ที่ปรากฏ จะเห็นได้ว่าการบริหารธุรกิจครอบครัวประกอบไปด้วย 3 ด้านด้วยกัน

  • ด้านที่เรารู้แต่ไม่เสี่ยง (เช่นการบริหารการทำงานด้านคน สต็อกสินค้า การตลาด เป็นต้น)
  • ด้านที่เรารู้แต่เสี่ยง (เช่นการลงทุนซื้อสินค้า ขยายโรงงาน เป็นต้น)
  • ด้านที่เราไม่รู้แต่ไม่เสี่ยง (เช่นระบบการเงิน ปฏิบัติการ การขาย เป็นต้น)

แต่ในด้านสุดท้ายนั้นคือกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจครอบครัว ซึ่งจะพากิจการไปอนาคตที่ไม่รู้และเสี่ยง (โดยมีผลตอบแทนที่ดี เป็น New S-Curve ของกลุ่มธุรกิจในอนาคต) หลายครอบครัวที่ให้ลูกหลานเข้ามาทำงานแต่กลับโยนไปให้ทำงานที่แม้แต่คนในบ้านยังไม่รู้ หรือบางทีรู้แต่กลับมีความเสี่ยง ผลสุดท้ายเมื่อ project ไม่เป็นไปตามแผน ก็กลับดุด่าว่ากล่าว หรือฝังใจว่าลูกไม่ได้เรื่องทำงานไม่สำเร็จ ทั้งที่จริงเรายังไม่ได้ลองให้เขาเริ่มจากล่างขึ้นบนด้วยซ้ำ

การบริหารธุรกิจครอบครัว ≠ กลยุทธ์พัฒนาธุรกิจ

ถ้าเราจะเริ่มใหม่ โดยผนวกเอากลยุทธ์ธุรกิจครอบครัวมาเชื่อมโยงกับการสร้างคนรุ่นถัดไป เราควรเริ่มโดยขั้นตอน N-Action เพื่อสั่งสมความสามารถ สั่งสมประสบการณ์ และที่สำคัญสั่งสมความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรุ่นเด็กและรุ่นผู้ใหญ่

หากรุ่นเด็กยังเป็นเด็กจบใหม่ หรือยังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก การเริ่มต้นจากเรื่องที่เรารู้และไม่เสี่ยงนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะนั่นคือพื้นที่ของการเรียนรู้และเก็บประสบการณ์ (Learning & Experience Area) โดยเราสามารถสั่งสอนได้ หรือให้รุ่นเด็กลองฝึกฝนจนคุ้นมือ คุ้นชินกับระบบบริษัทจนกล้าไปสู่พื้นที่ถัดไป

เมื่อรุ่นเด็กเติบโตขึ้น มีความรู้ประสบการณ์มากขึ้น ครอบครัวสามารถขยับให้ไปลงมือทำในสิ่งที่รู้แต่เสี่ยงมากขึ้นได้ ไปลอง Lead Project การลงทุนบางอย่างในธุรกิจ ไปลองเป็นคนขยาย Line การผลิต หรือขยายโรงงาน/โรงแรม ภายในการดูแลของเรา ให้พวกเขาเจอปัญหาและพยายามแก้ไขปัญหาไปด้วยโดยเรายังช่วยได้เป็นพื้นที่ที่เรายังสามารถสอนได้ (Coaching Area) เลวร้ายที่สุดของกรณีนี้ เราก็ยังรู้วิธีบริหารจัดการวิกฤต กู้สถานการณ์ได้ และเป็นบทเรียนให้ลูกหลานเราเริ่มใหม่โดยไม่กล่าวโทษกัน

เมื่อรุ่นเด็กเริ่มบริหารงานเป็น ประสบการณ์เริ่มได้ มีองค์ความรู้ครอบคลุมขึ้น เราจะสามารถปรับเปลี่ยนให้พวกเขาไปลงทุนในสิ่งที่ครอบครัวไม่รู้ แต่ไม่เสี่ยงดู เป็นการบริหารความไม่รู้ของครอบครัวไปในตัว เช่น ลงทุนระบบบัญชี Online ใหม่ให้สามารถวิเคราะห์ทำ Report ได้รายเดือน หรือลงระบบ ERP ทำให้ Track Performance การทำงานได้อย่างเต็มที่

เรื่องพวกนี้ไม่เคยมีความเสี่ยงในเชิงธุรกิจแม้แต่น้อย (เว้นแต่เรื่องเงินทุน) เพราะทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีการลงทุนระบบเป็นประจำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่เสี่ยงแค่ครอบครัวไม่รู้เท่านั้น และเมื่อพวกรุ่นเด็กทำสำเร็จนั้นจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาได้รับความไว้วางใจ (Trust Area) ในการเป็นผู้ริเริ่มทำในสิ่งที่ครอบครัวไม่เคยมีความรู้มาก่อน

ในพื้นที่สุดท้าย เมื่อรุ่นเด็กได้พิสูจน์ตนเองจนได้รับความเชื่อใจจากกงสีแล้วนั้น ครอบครัวสามารถวางตำแหน่งที่สำคัญต่อความเป็นไปของกงสีได้ นั่นคือการวางตำแหน่งให้ไปทำในสิ่งที่เสี่ยงและไม่รู้มาก่อนในธุรกิจครอบครัว เช่น การทดลองเปิดสินค้า/บริการใหม่ เอาสินค้าเดิมไปขายต่างประเทศ (Offshore) เปิดธุรกิจใหม่นอกจาก Comfort Zone เดิมของที่บ้าน (จากผลิต OEM เป็นมี Brand เอง) เป็นต้น

พื้นที่ตรงนี้ถือเป็นพื้นที่อันตราย ถ้าใครไม่พร้อม หรือคนในครอบครัวไม่ Trust การทำงานก็ไม่อาจได้รับแรงสนับสนุน (ด้านการเงิน) ซ้ำอาจเกิดแรงต้านทำให้การขยับไปพื้นที่ดังกล่าวไม่เกิดผลสำเร็จ แต่หากคนที่ไปได้รับความไว้วางใจจากครอบครัว สั่งสมประสบการณ์ทำงาน มีประสบการณ์แก้ไขสถานการณ์ได้ดี มีภาวะผู้นำ หรืออื่นใดที่ทำให้ครอบครัว Trust แล้วนั้น แรงสนับสนุนที่ครอบครัวจะมีให้ในพื้นที่ที่ครอบครัวไว้ใจและกระจายอำนาจให้ทำ (Trusted & Delegate Zone) พร้อมอัตราความสำเร็จย่อมสูงกว่าการดื้อดึงทำโดยไม่ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวอย่างแน่นอน

Case Studies: 2 เรื่องที่แตกต่าง แต่ปรับใช้ด้วยหลักการเดียวกัน

แต่แน่นอนว่าหลักการนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทของรุ่นผู้ใหญ่ ครอบครัว และรุ่นเด็ก ในบางกรณีที่ลูกหลานของเรามีประสบการณ์ทำงานจากข้างนอกมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น ครอบครัวหนึ่งที่ได้ไปให้คำปรึกษา ลูกคนหนึ่ง (ชื่อสมมติ: นางสาว A) เป็นถึงระดับหัวหน้างานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Head of Business Development / Project Leader) ขององค์กรข้ามชาติชื่อดังในอุตสาหกรรม FMCG (Top 5 ของโลก) และครอบครัวอยากที่จะให้กลับเข้ามาช่วยกิจการของครอบครัว แน่นอนว่ากงสีนั้นเลยได้วางตำแหน่ง บทบาท หน้าที่ให้เหมาะสม ไม่ใช่เริ่มจาก Learning & Experience Area แต่ด้วยคุณวุฒิ + วัยวุฒิ ที่ได้รับการพิสูจน์จากภายนอก

ประกอบกับกฎระเบียบของครอบครัวที่มีกฎเกณฑ์ในการรับสมาชิกครอบครัวเข้าทำงาน (ตามธรรมนูญครอบครัว) นางสาว A นั้นจึงได้อยู่ในตำแหน่ง Sales Director ควบ Operations Director ทำงานขึ้นตรงกับคุณพ่อ และมีลูกน้องพ่อเป็นทีมงานเข้ามาช่วยวางระบบการขาย + ระบบการทำงานภายในองค์กร (Workflow) ทั้งหมด

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ครอบครัวยังไม่ได้ไว้ใจปล่อยให้นางสาว A ไปเปิดตลาดใหม่ซะทีเดียว เงื่อนไขที่ครอบครัวมอบให้คือขอให้ทำงานในองค์กรโดยมีคุณพ่อเป็นหัวหน้าสักระยะหนึ่งก่อนที่จะคุยเรื่องขยายกิจการใหม่โดยให้นางสาว A เข้าไปดูแลเต็มตัว เป็นการเรียนรู้งาน รู้วัฒนธรรม รู้พื้นฐานการทำงานในฝั่งของนางสาว A และเป็นการดูทรงจากฝั่งกงสีว่านางสาว A สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ขนาดได้ด้วยเช่นเดียวกัน เป็น Win-Win Solution

หรืออีกหนึ่งกรณีตัวอย่างของลูกคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญาโทด้านการเงินมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา (ชื่อสมมติ: นาย B) อายุ 23 ปี นาย B เป็นคนหัวดีมาก เรียนเก่ง จบไว แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน มีแต่ปริญญา 2 ใบ และสังคมเพื่อนที่อยากทำ Startup และ Scale Fast แต่ด้วยปี 2020 เป็นปีที่เชื้อไวรัส COVID-19 ระบาด ครอบครัวและนาย B จึงตัดสินใจกลับไทยด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เมื่อกลับมาครอบครัวเลยให้นาย B เข้ามาทำงานในตำแหน่ง การเงินการบัญชี คอยช่วยคุณน้าดูเรื่องความถูกต้องของการเงินในธุรกิจ

นาย B มาช่วยธุรกิจครอบครัวได้ไม่ถึง 4 เดือน แต่เพราะเหตุที่ธุรกิจครอบครัวเขามีการใช้เงินอย่างไม่ถูกต้อง เงินธุรกิจปะปนกับเงินครอบครัว ทำสองบัญชี (บัญชีสองคือบัญชีกงสี) ทำให้นาย B เห็นตัวเงินกงสีที่เป็นเงินเย็นจำนวนมหาศาลกว่า 500 ล้าน นาย B ที่มีแนวคิดเปิดธุรกิจ Startup อยู่แล้ว ก็เลยคุยกับครอบครัวว่าขอเงินจำนวน 50 ล้านมาเปิดธุรกิจ Startup โดยให้ครอบครัวเป็นเหมือน Investor แม้ Business Plan จะมี แต่ด้วยความที่ครอบครัวยังไม่รู้ถึงความสามารถ ยังไม่เชื่อใจนาย B รวมถึงไม่ได้มี Process การสืบทอดธุรกิจครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้แต่ตอบปฏิเสธไป

ด้วยแนวคิดที่แน่วแน่ของนาย B ทำให้เกิดการทักท้วง และทะเลาะภายในบ้านเป็นระยะเวลานาน ฝั่งนาย B ก็อ้างว่าเงินเย็นตั้งเยอะทำไมไม่เอามาใช้ ลงทุนกับลูกจะเป็นอะไรไป ฝั่งครอบครัวก็บอกเงินนี้คือเงินสำรอง ฉุกเฉิน เกิดกิจการลำบากจะได้มีเงินสดใช้จ่ายได้

สุดท้ายศึกนี้ยื้อมาซักพักนาย B ไม่พอใจอย่างมากหาว่าครอบครัวขี้งก กงสีหวงเงิน “กงสีมีแต่เรื่องน่ารำคาญ ติดนู่นติดนี่ เงินมีแต่ใช้ไม่ได้ น่าเบื่อ” - นาย B กล่าว และไม่กลับเข้าทำงานในกงสี (แต่ในท้ายที่สุดก็กลับเข้าทำงานในธุรกิจครอบครัวเพราะ COVID-19 ไม่มีใครรับเข้าทำงาน & ขาย Idea ธุรกิจกับ Investor ไม่ผ่าน และหลังจากที่ได้รับคำปรึกษาทำให้นาย B เข้าใจและพิสูจน์ตัวเองจนสามารถขยายธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจครอบครัวได้ในท้ายที่สุด)

จากทั้ง 2 Case Studies จะเห็นได้ว่าเมื่อกงสีมีการวางแผนการส่งต่อธุรกิจครอบครัวกับคนรุ่นใหม่อย่างเป็นกระบวนการจะทำให้ทั้งฝั่งผู้ใหญ่ ครอบครัว และรุ่นเด็กเข้าใจถึงจุดเริ่ม บทพิสูจน์ และปลายทางที่จะเป็นในกงสีอย่างชัดเจน ไม่มีการเดาเกม ไม่คิดคาดหวังลมๆ แล้งๆ จนผิดใจกัน แต่บทสำคัญของครอบครัวก่อนการวางแผนส่งต่อกิจการคือการมีกฎระเบียบกงสีที่ชัดเจนโปร่งใสเรื่องของอนาคต การใช้เงิน การลงทุน รวมถึงเกณฑ์ Trust ว่าเท่าไรถึงจะเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจกันภายในครอบครัว โดยหากเราสามารถวางกฎระเบียบเหล่านี้ได้นั้น กระบวนการส่งต่อกิจการผ่าน N-Action ก็จะไม่ใช่เรื่องที่สับสนและลำบากอีกต่อไป

บทสรุปส่งท้าย

การวางแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัว สร้าง Next-Gen ให้พร้อมสำหรับการรับช่วงต่อต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เหมาะสม และกฎระเบียบครอบครัวที่เอื้อต่อการพัฒนา ต่อยอดของคนรุ่นใหม่ และกิจการที่พร้อมจะแตกขยายออกไปในอนาคต รวมถึง

เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องเข้าใจว่า

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สร้าง Next-Gen อย่างไร ให้พร้อมรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...