“แอนิเทค” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ พลิกเกมด้วย Character Marketing
การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของแบรนด์ผ่านการออกแบบที่โดดเด่นและแฝงเรื่องราวที่น่าสนใจไว้เบื้องหลัง ดูจะเป็นกระบวนท่าแรก ๆ ที่ผู้ประกอบการไทยนำมาปรับใช้ เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการข้ามพรมแดนของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมาสู่ไทยผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ
“แอนิเทค” (anitech) แบรนด์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติไทย เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่พยายามสร้างความแตกต่างผ่านการใช้กลยุทธ์ “Character Marketing” ด้วยการนำแคแร็กเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาเป็นแกนหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์ จากความสำเร็จของแคมเปญ anitech x PEANUTS ที่จำหน่ายสินค้าคอลเล็กชั่น “สนูปปี้” (Snoopy) ตั้งแต่ปี 2565 นำมาสู่การคอลแลบส์แบรนด์ครั้งใหม่กับ “ซานริโอ” (Sanrio) พร้อมไปกับการเปิดตัวแคมเปญ “anitech Sanrio Art N’Joy Collaboration” ในปี 2567 นี้
สานต่อ Character Marketing
“พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า กระแสความนิยมอาร์ตทอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากมูลค่าตลาดอาร์ตทอยโลกที่สูงถึง 8,517.81 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.87 แสนล้านบาท) สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ซื้อชาวไทยที่นิยมซื้อสะสมให้ครบทุกเซต สะท้อนถึงความสนใจของกลุ่ม “Kidult” (Kid+Adult) หรือคนรุ่นใหม่ที่ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ยังมีความเป็นเด็กแฝงอยู่
จากความสำเร็จของแคมเปญ anitech x PEANUTS กับการจำหน่ายสินค้าคอลเล็กชั่น “สนูปปี้” ทำให้ภาพรวมของบริษัทในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้น โดยกลุ่มสินค้า Own Brand เติบโตขึ้น 20% ทดแทนรายได้จากกลุ่มสินค้ารับจ้างผลิต (OEM) ที่ลดลง ขณะที่ช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นถึง 1,000% ทำให้ในปีนี้แอนิเทคตัดสินใจใช้กลยุทธ์ Character Marketing ต่อ เพื่อกระตุ้นยอดขายในกลุ่มสินค้า Own Brand
สัดส่วนรายได้ของแอนิเทคปัจจุบัน แบ่งเป็นสินค้า Own Brand 95% และ OEM 5% จากที่ก่อนหน้านี้ สินค้า Own Brand มีสัดส่วน 70% ส่วน OEM 30% เมื่อเจาะไปยังกลุ่มสินค้า Own Brand โดยเฉพาะ จะแบ่งได้เป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ 1.Computer Accessories เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด 2.Home Devices เช่น รางปลั๊กไฟ และ 3.Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งในแต่ละหมวดหมู่มีสัดส่วนรายได้ให้พอ ๆ กัน
“แอนิเทค รับผลิตแบบ OEM มาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท คือในปี 2549 กระทั่งปี 2565 เริ่มเห็นสัญญาณว่าคนต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเองน้อยลง รายได้จาก OEM เองก็ตกมาเรื่อย ๆ จึงปรับกลยุทธ์มาโฟกัสสินค้า Own Brand มากขึ้น”
สำหรับปีนี้ บริษัทจะใช้งบประมาณด้านการตลาด 10 ล้านบาท ในการคอลแลบส์กับซานริโอ และออกแบบสินค้าจากแคแร็กเตอร์ เพิ่มคอลเล็กชั่นสินค้านอกเหนือจาก “สนูปปี้” ตั้งเป้ายอดขายตลอดแคมเปญตั้งแต่ ก.ย. 2567-ม.ค. 2568 ไว้ที่ 50 ล้านบาท ส่วนเป้ารายได้ปีนี้วางไว้ที่ 300 ล้านบาท
ขยายฐานเจาะคนรุ่นใหม่
“พิชเยนทร์” เล่าเบื้องหลังการทำงานร่วมกับ “ซานริโอ” ว่า ใช้เวลาในการพูดคุยกว่า 2 ปี เพื่อทำความเข้าใจถึงรายละเอียดการนำแคแร็กเตอร์มาใช้กับสินค้าของบริษัท โดยเลือกจากแคแร็กเตอร์ที่มีกว่า 450 แบบ และท้ายที่สุดก็ได้มาเป็น “คุโรมิ” (Kuromi) กับ “Bad Badtz-Maru” ซึ่งอยู่ในท็อป 10 ของแคแร็กเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีฐานแฟนคลับอยู่ในไทยจำนวนมาก
“ซานริโอเป็นหนึ่งในการส่งออกทางวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพ และทรงพลังมากที่สุดของญี่ปุ่น สามารถสร้างฐานแฟนคลับได้จากทั่วทุกมุมโลกผ่านแคแร็กเตอร์ที่น่ารัก และมีเอกลักษณ์เฉพาะ ครองใจผู้คนได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่อายุ 70 ปี”
“ความตั้งใจในการใช้กลยุทธ์ Character Marketing ยังมีเรื่องของความต้องการในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบสินค้าที่ผสมผสานระหว่างความสนุกกับการใช้งานด้วย เราจึงออกแบบสินค้าที่สามารถซื้อได้จากอารมณ์ หรือ Emotion ควบคู่ไปกับการใช้งาน (Function)”
โดยออกแบบให้ตอบโจทย์ลูกค้าช่วงอายุ 25-40 ปี ที่อยู่คนเดียว หรือเพิ่งเริ่มสร้างครอบครัว เป็นความตั้งใจที่จะทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่กับชีวิตของลูกค้าตั้งแต่ต้น เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อซื้อชิ้นแรกก็จะมีชิ้นต่อไปตามมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากการใช้งาน หรือดีไซน์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ก็ตาม
“พิชเยนทร์” เล่าต่อด้วยว่า ลูกค้าของแอนิเทคเป็นผู้ชายกว่า 60% ผู้หญิง 40% เนื่องจากสินค้าที่จำหน่าย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไอทีเข้ากับความสนใจของผู้ชายมากกว่า ดังนั้นการนำแคแร็กเตอร์น่ารัก ๆ มาออกแบบสินค้า จึงเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อขยายกลุ่มลูกค้ามายังผู้หญิง ซึ่งชื่นชอบสินค้าไลฟ์สไตล์ มักตัดสินใจซื้อสินค้าจากดีไซน์ที่ถูกใจ เพื่อบาลานซ์ให้สัดส่วนระหว่างลูกค้าผู้ชายและผู้หญิงพอ ๆ กัน ไม่ติดภาพว่าขายสินค้าไอทีอย่างเดียว
ขยับรุกตลาดต่างประเทศ
การใช้กลยุทธ์ Character Marketing ยังเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
“พิชเยนทร์” มองว่า ความท้าทายในการทำตลาดต่างประเทศ คือการสร้างตัวตนให้คนในแต่ละประเทศรู้จักชื่อแบรนด์ ซึ่งใช้งบประมาณการตลาดสูงมาก และกว่าที่คนจะรู้ว่าเราเป็นใครก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน การดึงแคแร็กเตอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบผลิตภัณฑ์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัท 90% เป็นตลาดในประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีสัดส่วน 10% ตลาดหลักอยู่ในกัมพูชา ลาว และเมียนมา
“ตลาดในไทยมาจากการขายผ่านหน้าร้านออฟไลน์ 85% ส่วนออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และเว็บไซต์อยู่ที่ 15% ภายในปีหน้า เราต้องการขยับสัดส่วนออนไลน์เป็น 30% อีก 2 ปีข้างหน้า เป็น 50% ส่วนในต่างประเทศทำตลาดผ่านดิสทริบิวเตอร์เป็นหลัก แต่ก็เริ่มเห็นพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้วย”
แม่ทัพ “แอนิเทค” บอกว่า นอกจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้าไปทำตลาดมาแล้วหลายปี ก็ยังมีเวียดนามที่ทำตลาดผ่านดิสทริบิวเตอร์รายเล็ก ส่วนอินโดนีเซีย มีการสำรวจตลาดและพูดคุยกับพาร์ตเนอร์หลายราย แต่ยังไม่เจอคนที่ใช่
“เราไม่เข้าไปทำตลาดต่างประเทศเอง เพราะเคยลองแล้วรู้ว่ายากมาก ไม่สามารถยกสิ่งที่ทำสำเร็จในไทยไปใช้กับที่อื่นได้ ใน 3 ประเทศที่เข้าไปแล้วตลาดค่อนข้างเล็ก จึงต้องการขยายไปยังประเทศอื่น ๆ อีก แต่ละประเทศมีความท้าทายต่างกัน เช่น เวียดนาม เน้นขายในห้างขนาดใหญ่ ต้องสู้กับผู้เล่นรายใหญ่ในประเทศเขา ส่วนอินโดนีเซียยากเรื่องโลจิสติกส์ ขณะที่ฟิลิปปินส์แข่งขันสูง เพราะมีสินค้าจากจีน และแบรนด์ตะวันตกเข้าไปทำตลาดต่อเนื่อง”
รับมือวิกฤตกำลังซื้อ
“พิชเยนทร์” กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจมากังวลกับเศรษฐกิจในปีนี้มากที่สุด เพราะรู้สึกเลยว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวจริง ๆ ไม่มีทั้งเงินในกระเป๋า และอารมณ์ในการใช้เงิน ดังนั้นการจะทำแคมเปญหรือโปรโมชั่นอะไร ก็ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าที่จะซื้อมากที่สุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมาก เนื่องจากสินค้าอยู่ในระดับ Mid to High แม้การแข่งขันด้วย “ราคา” จะสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถลดลงไปถึงจุดที่แบรนด์จะเสียโพซิชั่นได้
“ด้วยความที่เราอยู่ในยุคGlobalization ผู้ค้าต่างชาติเข้ามาขายสินค้าได้ง่าย การพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาเข้าถึงได้ เกิดเงินหมุนเวียน และการจ้างงานในไทยได้มากที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ แอนิเทคยึดมั่นตลอดมา”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “แอนิเทค” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ พลิกเกมด้วย Character Marketing
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net