ทวงคืนหลายพื้นที่! ยึดปราสาทคนา-รุกคืบตาควาย-พลีชีพ1เจ็บ18/รบ.ไม่เจรจา
ศึกชายแดนไทย-กัมพูชาระอุ! เขมรเปิดแนวรบตั้งแต่ตีห้าในหลายพื้นที่ทั้ง “อุบลฯ-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สระแก้ว” ทำ 2 วันทหารเสียชีวิต 1 นาย เจ็บรวม 18 นาย ภท.2 เผยยึดปราสาทคนา-ถล่มกาสิโนร้างฐานสแกมเมอร์-ทำลายกระเช้าลำเลียงเนิน 350 ตาควาย-ทำลายเสา Anti Drone พื้นที่พระวิหารและห้วยตามาเรีย-ยึดพื้นที่ช่องระยี "เสธ.ทบ." ลั่นต้องทำให้สิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน "ทอ." ส่ง F-16 ถล่มกาสิโน-ที่ตั้งโดรน “อนุทิน” ออกแถลงการณ์ ให้ปฏิบัติการทางทหารรักษาความมั่นคง-อธิปไตยของประเทศ ประกาศเลิกเจรจา ไล่ “อันวาร์” ไปกดดันเขมรให้อย่ามารุกราน ไม่ใช่ให้ไทยอดทน “ฮุน เซน” มาสไตล์สแกมเมอร์ โพสต์รูปนายกฯ หนูหวังแบล็กเมล
เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงร้อนแรงต่อเนื่องจากเหตุปะทะกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. ที่ทหารกัมพูชาลอบโจมตีทหารชุดรักษาความปลอดภัยทหารช่างในพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย โดยเมื่อเวลา 05.05 น. ในพื้นที่ช่องอานม้า ทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนเล็กยาวยิงเข้าใส่ฝ่ายไทย ในพื้นที่ตำรวจตระเวนชายแดน 793 (ตชด.793) จากนั้นเวลา 05.11 น. พื้นที่ช่องอานม้าแดนไกล ทหารกัมพูชาได้ยิงปืนเล็กยาวเพิ่มอีก 3 นัด เวลา 05.21 น. ที่ฐานรากหญ้า เจ้าหน้าที่ทหารไทยตรวจพบโดรน 2 ลำจากฐานแดนไกล เวลา 05.23 น. พื้นที่ตลาดช่องอานม้า ทหารกัมพูชายิงปืนกล 1 ชุดใส่ฝ่ายไทย
เวลา 05.24 น. ฐานปฏิบัติการเจนศึกทำการยิงตอบโต้ป้องกันตัวตามหลักสากล ด้วยปืนกลจำนวน 1 ชุดใส่ตลาดช่องอานม้า เวลา 05.30 น. ฐานแดนไกลตะวันออกทหารกัมพูชา ทำการยิงปืนกลใส่ฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เวลา 05.36 น. ฝ่ายไทยได้ยิงป้องกันตัวตอบโต้ไป แต่ไม่มีการยิงตอบโต้กลับ เวลา 05.57 น. ตรวจพบทหารกัมพูชา 50 คน เดินเท้าจากกาสิโนขึ้นเนิน 677 เวลา 06.00 น. พื้นที่ห้วยบอน ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กใส่ฝ่ายไทย 5 นัด เวลา 06.07 น. พื้นที่ฐานต้นมะนาวและฐานห้วยบอน ทหารกัมพูชาได้ยิงปืน ค.ใส่ฝ่ายไทย พื้นที่ละ 1 นัด รวม 2 นัด เวลา 06.11 น. มีกระสุนปืน ค.ตกบริเวณบ่อดินหลังตลาดไท 1 นัด เวลา 06.17 น. ทหารไทยตอบโต้ทหารกัมพูชาด้วยปืน ค.60 ตามสัดส่วนหลักสากล เวลา 06.23 น. มีกระสุนปืน ค.ตกที่มั่น 3 ฐานริมผา
ในเวลา 07.10 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า ฝ่ายไทยเริ่มใช้อากาศยานกระทำต่อเป้าหมาย คือที่ตั้งยิงอาวุธสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่ช่องอานม้า เนื่องจากเป้าหมายมีการใช้อาวุธปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดกระทำต่อฝ่ายไทยที่บริเวณฐานอนุพงศ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย
ในเวลา 13.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ รักษาราชการแทน ผวจ.สุรินทร์ เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่สิบเอกอนุชาติ เรือนคำ ที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2568 ขณะนี้เข้ารับการรักษาพยาบาลอยู่ที่ รพ.สุรินทร์ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสิบเอกอนุชาติไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์
ขณะเดียวกัน พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม ได้เดินทางมายังตึกอุบัติเหตุ รพ.สุรินทร์ เข้าเยี่ยมอาการและให้กำลังใจ ส.อ.อนุชาติ ก่อนเดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้อพยพและเจ้าหน้าที่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
รายงานข่าวจากกองทัพอากาศ (ทอ.) แจ้งว่า ทอ.ใช้เครื่องบิน F-16 ในการสนับสนุนภาคพื้นดิน โดยเป้าหมายอยู่ที่ปืนใหญ่ฝั่งกัมพูชาที่ยิงเข้ามาฝั่งไทย ได้แก่ ช่องอานม้า, ปราสาทคนา, เสาวิทยุ และพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร
พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษก ทอ. กล่าวว่า เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังสุรนารี ในการตอบโต้ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย รวมทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ต่อมามีรายงานว่า กัมพูชาได้ยิง BM-21 ลงพื้นที่พลเรือนในพื้นที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และยังคงมีการปะทะตลอดแนวช่องอานม้า, เนิน 677, ห้วยตามาเรีย, พื้นที่บริเวณปราสาทคนา และปราสาทตาเมือนธม
ขณะที่ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษก ทบ. กล่าวถึงการยิงกระสุน BM-21 ใส่พื้นที่พลเรือนที่บ้านสายโท 10 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ว่ายังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย
โดยเพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความระบุว่า "กระเช้าเนิน 350 ทางด้านทิศตะวันตกปราสาทตาควายถูกทำลายแล้ว และในเวลา 17.00 น. กกล.บูรพา โดย ฉก.12 สามารถยึดควบคุมที่หมาย บ.ไปรจัน ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้วได้เรียบร้อย และเตรียมวางแนวลวดหนามตามแผนต่อไป"
จ้องถล่ม ‘สนามบิน-รพ.’
พล.ต.วินธัยสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การใช้อาวุธตอบโต้ยังคงเป็นไปตามแผนการเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ตามกฎการใช้กำลัง และมุ่งโจมตีพื้นที่เป้าหมายที่มีเจตนาคุกคามหรือกระทำต่อฝ่ายไทย เพราะพบว่ากัมพูชามีการเตรียมความพร้อมกำลังพล ยุทโธปกรณ์และอาวุธยิงสนับสนุนเพิ่มเติม รวมไปถึงมีแนวโน้มว่ากัมพูชามีการระบุพิกัดการใช้อาวุธระยะไกลในเขตพื้นที่ตอนใน ครอบคลุมพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์ และบริเวณพื้นที่ใกล้โรงพยาบาลใน อ.ปราสาท ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนถึง 30 กิโลเมตร
พล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า เหตุการณ์ในช่วงกลางดึกวานนี้จนกระทั่งวันนี้ มีการยิงและเกิดการปะทะในหลายพื้นที่จนกระทั่งรุ่งเช้า และเริ่มปะทะหนักขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00 น. โดยฝ่ายกัมพูชาใช้ปืนเล็ก ปืนใหญ่ อาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ เข้ามา จนเป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และพบหลักฐานว่าฝ่ายกัมพูชาได้เปิดพื้นปะทะเพิ่ม เช่น ช่องอานม้า, ปราสาทคนา, ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ และห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ โดยฝ่ายไทยตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุเน้นเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก เช่นฐานทหารที่ตั้งอาวุธจริงสนับสนุน พร้อมประสานการใช้อากาศยานของ ทอ.ในการปล่อยอาวุธเพื่อยับยั้งการโจมตีของทหารกัมพูชา
“ขอเน้นย้ำว่าการใช้กำลังทางอากาศของไทยเป็นการปฏิบัติต่อเป้าหมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น กำจัดวงและขอบเขตความเสียหาย การโจมตีการปล่อยอาวุธจากอากาศยานเป็นการโจมตีที่ค่อนข้างมีความแม่นยำสูงบริเวณแนวปะทะ ไม่กระทบต่อพลเรือน”
เมื่อถามถึงกรณีที่ F-16 โจมตีพื้นที่กาสิโนว่าเป็นที่ตั้งของอาวุธชนิดใด โฆษก ทบ.ระบุว่า เป็นทั้งสถานที่บังคับการและศูนย์บังคับบัญชาของอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และเป็นที่ตั้งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโดรน
พล.ต.วินธัยยังกล่าวถึงการยิง BM-21 ของกัมพูชาว่า มีการยิง BM-21 ตกในพื้นที่เกษตรกรรม ไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย แต่ต้องติดตามเป็นระยะว่ามีการใช้อาวุธประเภทจรวดกี่จุดกี่พื้นที่
ในเวลา 18.00 น. พล.ต.วินธัยสรุปเหตุการณ์สู้รบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 2 วัน ว่ามีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 18 นาย โดยในวันที่ 7 ธ.ค. บาดเจ็บ 2 นาย พื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน คือ 1.ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงที่ขาซ้าย และ 2.พลทหารพรชัย จำปาจูม โดนแรงอัดกระสุนปืนเล็ก
ส่วนวันที่ 8 ธ.ค. เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 16 นาย ประกอบด้วยพื้นที่ฐานป้องไพรช่องบก ได้แก่ 1.จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต กองร้อยทหารม้าลาดตระเวนที่ 6 เสียชีวิต 2.พลทหารยุทธภูมิ ปริปุรณะ กองร้อยทหารม้าลาดตระเวนที่ 6 โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้า 3.พลทหารพีรวัส ตะเพียนทอง กองร้อยทหารม้าลาดตระเวนที่ 6 โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณขาทั้งสองข้าง 4.จ.ส.อ.นภา เถื่อนไพล กองร้อยทหารม้าลาดตระเวนที่ 6 ถูกโจมตีจากอาวุธยิงสนับสนุน มีอาการแน่นหน้าอก 5.พลทหารธนวัฒน์ แก้วหาญ สังกัดกรมทหารราบที่ 16 โดนแรงระเบิดแน่นหน้าอก 6.พลทหารดำรง มูลสาร สังกัดกรมทหารราบที่ 16 โดนแรงระเบิดแน่นหน้าอก
พื้นที่ฐานแดนไกล ช่องอานม้า 7.ส.อ.ธรรมวัฒน์ ศรีหมอก กองพันจู่โจม ถูกสะเก็ดที่ต้นขาทั้งสองข้าง 8.ส.อ.ชนะพงษ์ สถิตป่าแขม กองพันจู่โจม ถูกสะเก็ดบริเวณต้นขาทั้งสองข้าง 9.พลทหารวิรัก อรุณประสิทธิชัย กองพันจู่โจม โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณขาขวา, บริเวณฐานเนิน 527 10.อส.ทพ.สนิท หวังลาภ กรมทหารพรานที่ 23 บาดเจ็บที่นิ้วมือ 11.พลทหารศรายุทธ พินิจภาระ กองพันทหารม้าที่ 17 กรมทหารราบที่ 1 บาดเจ็บที่นิ้วมือ
พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 12.พลทหารธีรพัฒน์ พรมเย็น กองพันทหารม้าเฉพาะกิจที่ 20 โดนแรงอัดจากระเบิด, พื้นที่พระร่วง 13.พลทหารกิตติโชติ ศรีสุลัย กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 106 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 โดนแรงอัดจากระเบิด และพื้นที่ปราสาทคนา 14.ส.อ.สมเกียรติ กาละพันธ์ สังกัดกองพันทหารช่างที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 โดนแรงระเบิดจาก RPG
พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 3 นาย คือ 15.ส.อ.นพชัย คลังแสง ร.112 บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณปากและมีอาการแน่นหน้าอก 16.ส.อ.ธีรวัฒน์ วงด้วง ช.พัน.2 อาการแน่นหน้าอก หูอื้อจากแรงระเบิด และ 17.จ.ส.อ.สิรวิชญ์ อะมะมูล ช.พัน.2 บาดเจ็บบริเวณสะโพกจากแรงระเบิด
ด้านกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงการปฏิบัติการทางทหารต่อเป้าหมายทางทหารกัมพูชาว่า มีการปฏิบัติที่สำคัญได้แก่ 1.การยิงทำลายตึกร้างที่ทำการเครือข่ายสแกมเมอร์ พื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 2.การยิงทำลายเสา Anti Drone พื้นที่พระวิหารและห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 3.การกวาดล้างสวนมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งรุกล้ำเส้นปฏิบัติการ บริเวณช่องระยี ทางทิศตะวันออกช่องจอม
4.การเข้าควบคุมปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ 5.การยิงทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงเนิน 350 ปราสาทตาควาย แต่คาดว่าในช่วงเวลากลางคืนฝ่ายกัมพูชาอาจใช้อาวุธจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) ยิงใส่ประชาชนพลเรือน เพ่งเล็งพื้นที่เดิมที่เคยถูกยิง ทำลาย เพื่อสร้างความสับสนให้สนามรบ
ทำให้สิ้นสภาพทางทหาร!
พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ระบุถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังมีการปะทะเข้าสู่วันที่ 2 ว่า เป้าหมายคือกองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา
ส่วน พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ร่วมบัญชาการในวอร์รูมอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้หน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ยุทธศาสตร์เข้าสู่โหมดรบทุกมิติ เพื่อเฝ้าระวังและปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานว่า กองกำลังบูรพาได้รายงานสถานการณ์อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ โดย 4 อำเภอในจังหวัดสระแก้ว อพยพออกจากพื้นที่สู้รบแล้ว 56% ส่วนพื้นที่กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราดไม่มีประชาชนอพยพ แต่ยังคงติดตามสถานการณ์และเตรียมการอพยพอยู่
ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่นั้น ที่ จ.สุรินทร์ หลังจากทหารเขมรเปิดฉากยิงใส่ไทยก่อน ฝั่งไทยจึงมีการตอบโต้ด้วยการยิงปืนใหญ่กลับ เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ติดกับชายแดนได้อพยพออกมาจนเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ อป.พร.ยังอยู่รักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านตามระเบียบ
ขณะที่ จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านในพื้นที่แนวชายแดนรวมถึงอำเภอใกล้เคียง ต่างพากันขนสัมภาระขึ้นรถและเร่งเดินทางเข้าสู่เขตปลอดภัย ทำให้เส้นทางจากแนวชายแดนมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวจังหวัด ถนนหลายสายมีปริมาณรถหนาแน่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเขต อ.ประโคนชัย ในขณะที่นายเอกวัฒน์ พวงประโคน นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้สั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ 100% ทั้ง 9 ตำบล ซึ่งมีประชากร 76,000 คน แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่จริง 40,000 คน อพยพแล้วกว่า 29,000 คน
ด้านความเคลื่อนไหวในส่วนกลางนั้น นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สธ.ได้นำเอาแผนเดิมในการรับมือการปะทะความรุนแรงเมื่อครั้งที่ผ่านมามาปรับใช้ โดยแบ่งพื้นที่ความเสี่ยงเป็น 3 โซนหลัก คือสีแดงระยะห่างจากเหตุปะทะ 20 กม. สีชมพูห่างออกมา 50 กม. และสีส้มห่างออกมา 100 กม. โดยขณะนี้รอพยพผู้ป่วยใน รพ.พื้นที่สีแดงแล้วใน 4 จังหวัด คือ อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และบุรีรัมย์
ขณะที่ ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้สั่งให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประสานไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในสังกัดทั้ง 5 จังหวัด คือ สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์ และสระแก้ว ปิดการเรียนการสอนชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 641 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของครู นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่เดิมจะนำคณะลงพื้นที่ก็ได้เลื่อนออกไป และได้เรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคงที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ต่อมาในเวลา 11.40 น. นายอนุทินโพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า “หน้าที่เรา รักษาสืบไป” ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวเป็นท่อนหนึ่งของเพลงพระราชนิพนธ์เราสู้ ของรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นเพลงปลุกใจที่พระราชทานเป็นของขวัญปีใหม่แก่ทหาร อาสาสมัครและตำรวจชายแดน
ต่อมานายอนุทินพร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม, พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส., พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผบ.ทร., พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.)
โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลขอยืนยันว่า ประเทศไทยจะดำรงความมุ่งมั่นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และวันนี้ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ คือจะมีปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น
"ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า การปกป้องประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน คือภารกิจสูงสุดของรัฐบาลและกองทัพไทย ประเทศไทยไม่เคยต้องการเห็นความรุนแรง โดยยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มหรือรุกรานแต่อย่างใด แต่ประเทศไทยจะไม่ยอมให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตย และจะดำเนินการอย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ และยึดหลักสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรมเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลจะรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด"
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ภายหลังถึงกรณีสื่อต่างชาตินำเสนอข่าว ทำนองว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน ว่าเขาต้องเชื่อข้อมูลของไทย ที่เราได้พิสูจน์ให้เห็นในทุกเวทีว่าเรารักสงบ เราเป็นฝ่ายถูกคุกคาม ถูกรุกราน ถูกกระทำ และถูกยั่วยุในทุกกรณี ได้แสดงหลักฐานให้เห็น ยื่นหนังสือไปยังองค์กรนานาชาติ เราได้พิสูจน์และยืนยันแล้วว่าไม่ได้รุกรานใคร แต่เราไม่ยอมให้ถูกรุกรานแน่นอน
ลั่นไม่มีเจรจา!
เมื่อถามว่า ยังเปิดช่องให้เกิดการเจรจาอีกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า "คงไม่ให้เจรจาแล้ว ถ้าเขาดำเนินการกับเราถึงขนาดนี้ และเราก็ได้ตอบโต้ให้เขาเห็น เที่ยวนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่าการตอบโต้ของเราไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาณใดๆ แต่เป็นการตอบโต้ให้เขาเห็นว่า เขาไม่ควรเข้ามาคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย ดังนั้นการเจรจาก็จะไม่มีแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด”
เมื่อถามว่า ต้องฉีกถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับกัมพูชา (Joint Declaration) ที่ลงนามที่ประเทศมาเลเซียใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ไม่มีแล้วครับ จำไม่ได้”
เมื่อถามว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องได้คุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เป็นพยานหรือจำเป็นต้องแจ้งก่อนหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า "ไม่คุย และไม่แจ้ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของไทยและคู่กรณี" ถามว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า "ไม่กังวล"
ถามถึงกรณีนายอันวาร์โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า รู้สึกกังวลเกี่ยวกับการปะทะด้วยอาวุธบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ นายกฯ ย้อนว่า โพสต์ถึงใคร ไม่ได้โพสต์ให้ตนเอง ถ้าจะบอกให้ประเทศไทยทำอะไร วิงวอนคนที่เกี่ยวข้องและเป็นพยานควรต้องไปพูดให้กับคนที่รุกรานประเทศไทยให้หยุดการกระทำเช่นนั้นเสียก่อน ไม่ใช่มาบอกให้ไทยเราต้องอดทนต่อไป ยังต้องหยุดหรือดำเนินการอะไร มันเลยเวลานั้นมาแล้ว ถ้าอยากจะหยุดต้องบอกคนที่รุกรานเราให้หยุด
เมื่อถามว่า กัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นคนเปิดฉากก่อน นายกฯ กล่าวว่า คุณเชื่อกองทัพไทยหรือจะเชื่อศัตรูเรา คุณถามได้อย่างไรว่าเขาก็บอก คุณเป็นคนไทย และกองทัพไทยก็เป็นกองทัพที่เชื่อถือได้ รัฐบาลไทยเชื่อกองทัพไทยครับ เมื่อถามว่า สถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบคำถามพร้อมเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที
ทั้งนี้ นายอันวาร์โพสต์ว่า ขอเร่งให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจให้มากที่สุด รักษาช่องเปิดของการสื่อสารและใช้กลไกอย่างเต็มที่ มาเลเซียพร้อมสนับสนุนขั้นตอนที่สามารถช่วยฟื้นฟูความสงบและหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ต่อไป ภูมิภาคของเราไม่สามารถเห็นข้อพิพาทที่เป็นเวลานานหลุดเข้าสู่วงจรของการเผชิญหน้าได้ สิ่งสําคัญทันทีคือการหยุดการต่อสู้ ปกป้องพลเรือน และกลับไปสู่เส้นทางการทูตที่ได้รับการสนับสนุนโดยกฎหมายระหว่างประเทศและจิตวิญญาณแห่งมิตรภาพที่อาเซียนพึ่งพา
ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงภายหลังนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตและบรรดาผู้แทนองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับพัฒนาการของสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟังที่เป็นเอกอัครราชทูต 58 ประเทศ 1 องค์กร และ 2 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 73 คน
โดยนายนิกรเดชได้ย้ำต่อคณะทูต 5 ประเด็น คือ 1. สถานการณ์ตอนนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นการกระทําแบบเดิมๆ เป็นแท็กติกของฝ่ายกัมพูชาที่รุกรานไทยก่อน และปฏิเสธว่าไม่ได้ทํา รวมถึงเป็นการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ 2.ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ดังนั้นเราจําเป็นต้องดําเนินการทางการทหารอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน 3.สาธารณชนไทยหมดความอดทนอดกลั้นต่อกัมพูชา ที่ไม่เคยคํานึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อความปลอดภัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า 4.ท่าทีของไทยรวมถึงปฏิบัติการทางทหาร จะดําเนินไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่นการเลือกทางเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพที่แท้จริง และ 5.กัมพูชาเป็นฝ่ายเหยียบย่ำข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันไปเมื่อเดือนตุลาคม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ฮุน เซนโพสต์ภาพนายกฯ หนู
เมื่อถามถึงสถานะทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา นายนิกรเดชยืนยันว่า เราลดความสัมพันธ์กับกัมพูชามานานแล้ว ก็ยังคงสถานะนี้อยู่ ตอบไม่ได้ว่าจะไปไกลกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับฝ่ายกัมพูชาด้วย สิ่งที่เราทำได้คือ เราจะพยายามดูแลคนไทยในกัมพูชา โดยจะมีการประเมินสถานการณ์รายวัน
ส่วนเพจเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อความว่า กองกําลังแนวหน้าทุกคนต้องอดทน เพราะผู้บุกรุกใช้อาวุธทุกชนิดยิงใส่เราตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อคืน และเช้านี้ เพื่อดึงเราเข้าสู่การตอบโต้เพื่อทําลายการหยุดยิงนี้ แถลงการณ์สันติภาพกัมพูชา-ไทย
ฮุน เซน ยังโพสต์ข้อความพร้อมภาพและคลิปของนายอนุทิน ในชุดภาพถ่ายและวิดีโอความยาว 16 วินาที ปรากฏภาพความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างนายอนุทินกับนางบัน สเร มอม ผู้ว่าราชการจังหวัดไพลินของกัมพูชา และยังระบุว่า ไม่น่าเชื่อว่านายกฯ ไทยดําเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ของการลงคะแนนเสียงอนาคต คือการกล้าที่จะใช้ชีวิตของกองทัพและประชาชน โดยการประกาศสงครามกับกัมพูชาในช่วงเวลากองทัพเขมรยังไม่ตอบโต้ เมื่อยังไม่ได้เป็นนายกฯ ก็เป็นเพื่อน จนได้เป็นนายกฯ ก็ลืมเรื่องมิตรภาพ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ โต้เรื่องนี้ว่า เป็นภาพเก่าตั้งแต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องชายแดน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และการเดินทางไปของนายอนุทินในเวลานั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นสไตล์ของฝั่งนั้นอยู่แล้วที่ชอบใช้วิธีแบบสแกมเมอร์ที่จะเอามาแบล็กเมล ซึ่งนายกฯ ทราบเรื่องนี้แล้ว ไม่ได้มีความหวั่นไหวแต่อย่างใด ยังคงยืนยันหนักแน่นว่าเรื่องความสัมพันธ์เก่าๆ ไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกับอธิปไตยของไทยได้ ดังนั้นการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจได้ มั่นใจในกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทำผลงานให้เราได้เห็นมาแล้วในหลายเวที และขอให้มั่นใจในตัวนายกฯ และรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ไม่ได้ให้ค่าฮุน เซน ใช่หรือไม่ นายสิริพงศ์กล่าวว่า นายกฯ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ สิ่งที่เรามุ่งหวังวันนี้มันไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับใคร แต่มันเป็นเรื่องอธิปไตยของชาติ เป็นเรื่องที่ตอนนี้คนไทยทั้งชาติร่วมใจกัน
ขณะที่เพจกองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters ระบุว่า "กัมพูชาหนีไม่พ้นข้อเท็จจริง ทุ่นระเบิด PMN-2 เบี่ยงประเด็นเปิดศึก เพื่อกลบหลักฐานจากเวทีการประชุม Ottawa ที่ชี้ชัดมัดตัวเอง".