3 กูรูการตลาดแนะสูตรบุกจีน ชูแอป ‘เสี่ยวหงชู’ สะพานเชื่อมดีมานด์ทั่วโลก
ในยุคที่การแข่งขันในตลาดโลกทวีความรุนแรง การพาแบรนด์ไทยให้ก้าวไปยืนในใจผู้บริโภคต่างชาติ โดยเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างจีน และเวียดนาม อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะหากทำการตลาดแบบหว่านแหหรือมองภาพผู้บริโภคแบบผิวเผินก็อาจจะเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นแบรนด์จะต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เพื่อที่จะสร้างกลยุทธ์ที่เฉียบคมและตรงจุด
โดย 3 กูรูการตลาดจากบริษัทชั้นนำ“Mango Group-เซียงเพียว-ฟาร์อีสท์ เฟมไลน์ ดีดีบี” มาเผยกลยุทธ์เจาะลึกอินไซต์ผู้บริโภคจีน พร้อมชี้ช่องแบรนด์ไทยต้องทิ้งตำราการตลาดแบบเหมารวม หันมาเจาะรายมณฑล-รายพฤติกรรมเฉพาะกลุ่ม แนะใช้แพลตฟอร์ม “เสี่ยวหงชู” เป็นสะพานเชื่อมดีมานด์ชาวจีนทั่วโลก
ในงานเสวนา “AssetWise presents Marketing Oops ! Summit 2025” ภายใต้หัวข้อ“From Local Love to Global Demand : กลยุทธ์ Go Global ของแบรนด์ไทยในตลาดจีน & เวียดนาม” ก็ได้ 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแถวหน้าของเมืองไทย
ไม่ว่าจะทั้ง “ดร.ปณิชา ปะทีปะวณิช” ผู้ร่วมก่อตั้ง Mango Group,“มีนา อัครพงศ์พิศักดิ์” ผู้ช่วยประธานบริหารด้านการตลาด บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “เซียงเพียว” และ “เกษแก้ว อิทธิกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์อีสท์ เฟมไลน์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน) เอเยนซี่โฆษณา มาร่วมถอดรหัสพฤติกรรมใหม่ของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงโอกาสที่แบรนด์ไทยต้องคว้าให้ได้ก่อนจะหลุดมือไปกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
อย่ามองคนจีนเป็นกลุ่มเดียวกัน
“ดร.ปณิชา ปะทีปะวณิช” เริ่มต้นด้วยการเปิดอินไซต์ใหม่ที่น่าสนใจว่า นักท่องเที่ยวจีนในวันนี้เปลี่ยนจากกลุ่มเดิมที่นิยมมา “เที่ยว-กิน-สปา” ไปสู่กลุ่มใหม่ที่นิยมกิจกรรมที่ต่างออกไป โดยเฉพาะ “เทศกาลดนตรี” ที่กลายเป็นหมุดหมายใหม่ เช่น S2O หรือ Big Mountain ที่มีนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหม่เดินทางมาร่วมเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันอีกกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว คือ LGBTQ+ ที่มองเห็นประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดกว้างและมีงานเทศกาลรองรับหลากหลาย เช่น Pride Parade และ White Party ขณะที่อีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้าม คือ “นักท่องเที่ยวสายสุขภาพ” ที่เดินทางมาเพื่อเข้าคอร์สสปา โยคะ ซึ่งล้วนเป็นโอกาสของธุรกิจที่เข้าใจความต้องการลึกซึ้ง
โดยปัจจุบันถ้าแบรนด์อยากเจาะตลาดจีนให้ได้ผลจะต้องเลิกมองว่า “คนจีนคือกลุ่มก้อนเดียวกัน” เนื่องจากแต่ละมณฑลมีลักษณะนิสัยและความชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางมณฑลอาจนิยมผลไม้อบแห้ง ในขณะที่บางแห่งไม่ทานผลไม้เลย
หรือบางพื้นที่ชอบอาหารทะเล แต่บางพื้นที่อย่างเซี่ยงไฮ้อาจไม่นิยม ดังนั้นการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึกรายพื้นที่ (Consumer Insight) จึงเป็นหัวใจสำคัญในการเจาะตลาดให้ประสบความสำเร็จ
“เราต้องวิเคราะห์ลงลึกถึงระดับภูมิภาค และทำคอนเทนต์หรือแคมเปญที่ตรงใจแต่ละกลุ่ม ไม่ใช่คิดว่าตลาดจีนคือก้อนเดียว”
ปั้นสินค้าม้ามืดสู่ Best Seller
โดย “ดร.ปณิชา” ได้ยกตัวอย่างหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนพลังของการเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งและนำอินไซต์มาใช้พลิกเกมการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ “มายองเนสคิวพี” ที่เล็งเห็นช่องว่างของการทำการตลาด จากการที่รสชาติของมายองเนสคิวพีบางตัวที่ไม่ได้มีจำหน่ายในตลาดจีน โดยเฉพาะรสทรัฟเฟิล และรสชีส ซึ่งถือเป็นรสชาติที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทย จนถึงขั้นซื้อกลับบ้านเป็นลังก็มี
ด้วยการหันมาทำการโปรโมตต่อยอดในแอปพลิเคชั่น “เสี่ยวหงชู” (Xiaohongshu) ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของชาวจีน ทั้งในประเทศจีนเอง และกลุ่มผู้ใช้ภาษาจีนในต่างประเทศ โดยใช้คีย์เมสเสจที่ทรงพลังว่า “ถ้ามาเมืองไทย ต้องซื้อมายองเนสคิวพี 2 รสชาตินี้กลับไป เพราะไม่มีขายที่ไหนในโลก มีเฉพาะที่ประเทศไทยที่เดียว”
ซึ่งกลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างมหาศาล สะท้อนจากที่นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากเริ่มตามหามายองเนสคิวพีสองรสนี้ผ่านร้านค้าปลีกต่าง ๆ ในไทย จนปัจจุบันได้กลายเป็นสินค้า “ม้านอกสายตา” ที่ขายดีอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาจไม่ได้อยู่ในลิสต์ของฝากยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนมากนัก
เช่นเดียวกับ ยาสระผม Falles ที่ได้เปลี่ยน Key Message ให้ตรงกับพฤติกรรมคนจีนที่ไม่ได้ถนัดในการสระผมทุกวัน ด้วยการเน้นย้ำถึงคุณสมบัติของยาสระผมไทยที่ให้ความสดชื่นและกลิ่นหอมยาวนาน ซึ่งการเปลี่ยนข้อความให้ตรงกับพฤติกรรมจริงของลูกค้า จึงทำให้ Falles ทะยานขึ้นเป็นยาสระผมอันดับ 1 ที่นักท่องเที่ยวต้องซื้อกลับไป
ครอบคลุมทุก Touchpoint
ด้าน “มีนา อัครพงศ์พิศักดิ์” เล่าต่อว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวถือเป็นเซ็กเมนต์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อยอดขายของเซียงเพียวในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายในประเทศทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงได้วางกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับนักท่องเที่ยวจีนอย่างเป็นระบบ
โดยเบื้องต้นเราจะมุ่งเน้นเจาะไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอิสระ (FIT-Foreign Independent Tour) อายุ 35-50 ปี, กลุ่มทัวร์ อายุ 40-50 ปีขึ้นไป, กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และชื่นชอบสมุนไพร และกลุ่มที่มองหาของฝากคุณภาพดี ราคาเข้าถึงง่าย
ด้วยการทำกลยุทธ์การตลาดที่ครอบคลุมตลอดการเดินทาง โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1.ก่อนการเดินทาง (Pre-Trip) สร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจผ่านช่องทางออนไลน์ที่นักท่องเที่ยวจีนใช้ในการค้นหาข้อมูลท่องเที่ยว เช่น Xiaohongshu (เสี่ยวหงชู) และ Douyin (โต้วอิน)
โดยใช้กลยุทธ์ Social Seeding ผ่าน KOLs และ KOC ทั้งที่อยู่ในจีนและคนจีนที่อาศัยในไทย, การซื้อโฆษณาแบบ Programmatic Buying และการทำ Baidu SEM เพื่อให้แบรนด์ปรากฏในการค้นหาอันดับต้น ๆ
2.ระหว่างการเดินทาง (During Trip) เน้นสร้างประสบการณ์และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น สื่อโฆษณานอกบ้าน ติดตั้งสื่อโฆษณาในจุดที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น เช่น สายพานรับกระเป๋าที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเรือด่วนข้ามฟากที่เชื่อมต่อไปยังเอเชียทีคและไอคอนสยาม
3.หลังการเดินทาง (Post-Trip) วางแผนสร้างการจดจำและรักษาความสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำหรือระลึกถึงแบรนด์ในการเดินทางครั้งถัดไป ด้วยการจัดทำป้ายและสื่อส่งเสริมการขายเป็นภาษาจีนที่ชัดเจนบริเวณชั้นวางสินค้า พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ
รวมไปถึงการจัดบูทกิจกรรมในห้างสรรพสินค้าและแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองใช้และสัมผัสกลิ่นผลิตภัณฑ์โดยตรง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ
ทั้งนี้ นอกจากลูกค้าชาวจีนแล้ว การทำการตลาดแบบ 360 องศา ซึ่งใช้การเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง มาผสมผสานทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และออนกราวนด์ เพื่อกระตุ้นยอดขายนี้สามารถนำไปปรับใช้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ได้เช่นกัน
ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
ขณะที่ด้าน “เกษแก้ว อิทธิกุล” ได้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของแพลตฟอร์ม “เสี่ยวหงชู” ว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังเปรียบเสมือน “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เนื่องจากเป็นแอปพลิเคชั่นที่ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้ภาษาจีนที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในจีนแผ่นดินใหญ่
โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีผู้ใช้งานในไต้หวันเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคน, มาเลเซียกว่า 3 ล้านคน, ฮ่องกง 2.5 ล้านคน และสิงคโปร์ 1 ล้านคน ซึ่งผู้ใช้งานเหล่านี้มีพฤติกรรมขยันรีวิวและปักหมุดสถานที่ในไทย ทำให้ร้านค้าหรือแบรนด์ต่าง ๆ สามารถโด่งดังขึ้นมาได้แบบไม่รู้ตัว
ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสของแบรนด์ไทยที่จะใช้เสี่ยวหงชูเป็นเครื่องมือในการเจาะตลาดชาวจีนในประเทศอื่นได้ อาทิ ไต้หวัน สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย เป็นต้น
เข้าใจ Insight เจาะตลาดไม่ยาก
“เกษแก้ว อิทธิกุล” กล่าวทิ้งท้ายว่า การทำตลาดในยุคนี้ไม่ใช่แค่การขายของที่มีอยู่แล้ว แต่คือการเข้าใจว่านักท่องเที่ยวกำลังหาอะไร และอะไรที่บ้านเขาไม่มี เพราะถ้าแบรนด์เข้าใจ Insight นักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาจะมาจากจีน มาเลเซีย หรือเวียดนาม โอกาสการโตในตลาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : 3 กูรูการตลาดแนะสูตรบุกจีน ชูแอป ‘เสี่ยวหงชู’ สะพานเชื่อมดีมานด์ทั่วโลก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net