โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กกร. มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มอ่อนแรงลงจากหลายปัจจัยรุมเร้า

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 02 ก.ค. เวลา 09.34 น.
กกร. มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มอ่อนแรงลงจากหลายปัจจัยรุมเร้า แนะแบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ยนโยบาย ดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องภูมิภาค

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนแรงลง โดยว่าคาดทั้งปี 68 ขยายตัวในระดับต่ำ ที่ราว 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยโดนเรียกเก็บยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่จะลดลงมาใกล้ 1.5% หากโดนเรียกเก็บที่ 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff

ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังทดแทนด้วย Long haul ได้ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ที่เหลืออยู่ และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายประจำปี 2569 ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

นอกจากนี้ กกร. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 2.3% ซึ่งดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังประเมินว่า การส่งออกไทยในครึ่งหลังของปีนี้จะหดตัว เพราะการส่งออกของไทยช่วง 5 เดือนแรก ขยายตัวถึง 14.9% เป็นเพราะการเร่งนำเข้า ก่อนหมดช่วงผ่อนปรนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แต่ระยะข้างหน้าการส่งออกมีสัญญาณแผ่วลง และมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี จะหดตัวกว่า -10% จึงทำให้การส่งออกทั้งปี ขยายตัวใกล้เคียง 0% ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จะมีความคืบหน้า โดยเฉพาะกับจีน และสหราชอาณาจักร แต่ยังไม่น่าที่จะได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมก่อนวันที่ 9 ก.ค. 68 ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้นหากไม่ขยายเวลาการผ่อนผัน ขณะที่เศรษฐกิจประเทศหลักมีแนวโน้มแผ่วลง นอกจากนี้ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อาจมีความรุนแรงขึ้นได้อีก

นายผยง กล่าวด้วยว่า กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมาอยู่ในช่วง 32.50 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทไม่สอดคล้องกับภาวะเศษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมาก รวมทั้งภาวะเงินตึงตัว สินเชื่อไม่เติบโต และทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในภาวะ Inverted Yield Curve หรือการที่ตลาดคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะลดลงในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เร่งดูแลทิศทางของค่าเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ แยกแยะและลดผลกระทบจากปัจจัยอื่นที่กระทบค่าเงินบาท เช่น การซื้อขายทองคำ การเกินดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) จาก Error& Omission ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าในปัจจุบัน ที่แม้จะมีการขยายตัวสูง แต่มาจากการนำเข้าที่สูงเช่นกัน สะท้อนจากการผลิต และการจ้างงานที่ยังอยู่ในระดับต่อเนื่อง นับตั้งแต่ covid-19 ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาการสวมสิทธิ์เพื่อการส่งออกสินค้า (transshipment) การนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ยังมีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและควบคุม และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสนับสนุนการสร้าง supply chain ในประเทศ

ดังนั้น การเร่งการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ ต้องอาศัยความร่วมมือด้านการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งนอกจากภาครัฐ เอกชนไทย ยังรวมถึงผู้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาอย่างถูกต้องและสนับสนุนธุรกิจในประเทศ เพื่อยกระดับในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...