โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สิ้นสุดสงครามเวียดนาม ปี 2518 ไทยลดระดับสัมพันธ์ "สหรัฐ" ยักษ์ใหญ่โลก

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 30 เม.ย. เวลา 05.58 น. • เผยแพร่ 30 เม.ย. เวลา 05.58 น.
รถถังของเวียดกงพังประตูด้านข้าง เพื่อเข้าสู่ทำเนียบอิสรภาพของรัฐบาลเวียดนามใต้ ในวันที่ 30 เมษายน 2518 หนึ่งในภาพสัญลักษณ์การสิ้นสุดสงครามเวียดนาม (ภาพจาก MIC)

30 เมษายน 2518 เป็นวันสิ้นสุดสงครามเวียดนาม รถถังเวียดกงรุกคืบบุกมาประชิดใกล้ชานเมือง แล้วเคลื่อนมาถึงประตูทำเนียบประธานาธิบดีในเวลาไม่นานนัก ประธานาธิบดีเดืองวันมินห์ ซึ่งรออยู่ ได้ลุกขึ้นพร้อมกล่าวต่อทหารกองหน้าของทหารเหล่านั้นว่า “การปฏิวัติมาถึงแล้ว พวกคุณก็มาแล้ว” และพูดเสริมว่า “เรากำลังรอคุณอยู่ที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ส่งมอบอำนาจให้กับคุณ” ก่อนที่ประธานาธิบดีเดืองวันมินห์จะได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายว่า “ไม่มีคำถามเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจของคุณ อำนาจของคุณถูกทำลายไปนานแล้ว คุณไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่คุณไม่มีอีกต่อไปให้ผู้อื่นได้”

“เวียดกง” หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ เป็นกลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มรัฐบาลไซ่ง่อนของเวียดนามเหนือ ที่มีสหรัฐอเมริกาสนับสนุน

สงครามครั้งนี้ สหรัฐสูญเสียประชากรชาวอเมริกันไปกว่า 56,000 คน บาดเจ็บกว่า 150,000 คน ใช้เงินไปกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนเวียดนามสูญเสียประชาชนไปกว่า 10 ล้านคน

เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในเวียดนามส่งผลถึงประเทศไทย

มีรายงานข่าวว่าในวันที่ 29 เมษายน ที่ฐานทัพสหรัฐ อู่ตะเภา สัตหีบ เครื่องบินนานาชนิดของเวียดนามใต้บินลงที่สนามบินตลอดทั้งวัน ทั้งเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เครื่องบินบรรทุก เฮลิคอปเตอร์รวม 74 เครื่อง บรรทุกชาวญวนอพยพกว่า 2,000 คน มาอยู่ที่แคมป์ทหารสหรัฐในอู่ตะเภา รวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวเขมร ซึ่งสหรัฐพามาจากพนมเปญอีกไม่น้อยกว่า 1,000 คน

ด้านจังหวัดศรีสะเกษ เครื่องบินเอฟ 5 ของเวียดนามใต้ ร่อนลงถนนสายโชคชัย-เดชอุดม เมื่อเวลา 13.45 น. เครื่องบินอยู่ในสภาพถูกยิง ยางล้อหลุด มีจรวดติดเครื่องบินด้วย แต่นักบินปลอดภัย

สถานการณ์ในเวียดนามยังเป็นข่าวใหญ่ในไทย หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 พาดหัวว่า “เวียดกงยึดไซง่อนปกครองเวียดนามใต้” ระบุเนื้อความข่าวว่าประธานาธิบดี มินห์ประกาศออกอากาศทางวิทยุไซง่อนยอมแพ้แก่เวียดกง เมื่อเวลา 10.40 น. หลังประกาศยอมแพ้ ก็มีการชักธงขาว 3 ผืนขึ้นเหนือกรมตำรวจกลางกรุงไซ่ง่อน และอีกผืนหนึ่งปลิวไสวอยู่ทางชานเมืองด้านเหนือ

ผู้นำไทยต่างออกมาแสดงความเห็น เช่น พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิจารณ์ไซ่ง่อนแตกว่า อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพราะจะได้หยุดยิงเสียที แล้วแต่ประชาชนจะปกครองกันอย่างไร

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้านในสภา กล่าวว่า “ไทยจะหลับฝันต่อไปอีกไม่ได้ว่าไซ่ง่อนแตกแล้วกรุงเทพจะไม่แตก คงจะมาถึงเราสักวัน” และบอกอีกว่า ไทยต้องไม่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรจะเริ่มความสัมพันธ์กับจีน รวมทั้งเขมรและเวียดนาม ทั้งนี้จะต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศเสียใหม่ ถ้าทหารสหรัฐถอนออกไปได้ก็จะเป็นการดี ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยแย่มาก

ฐานทัพสหรัฐในไทย หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม

หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม การมีฐานทัพสหรัฐในไทยก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ

ในการแถลงนโยบายต่างประเทศต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี กล่าวอย่างชัดเจนว่า “…เพื่อให้เกิดดุลยภาพในความสัมพันธ์กับประเทศอภิมหาอำนาจ รัฐบาลนี้…จะให้มีการถอนทหารต่างชาติออกจากประเทศไทยในระยะเวลา 1 ปี…” ซึ่งในช่วงนั้น สหรัฐยังคงมีทหารประจำการในไทย 25,000 นาย และเครื่องบินอีก 350 ลำ

รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” โดย ศิบดี นพประเสริฐ ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ปีที่ 47 ฉบับที่ 2 (2560) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า

การแถลงนโยบายเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายต่างประเทศไทยแนวใหม่ ที่ต้องการลดพันธะกับสหรัฐ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในอินโดจีน ที่สหรัฐไม่อาจเอาชนะในสงครามเวียดนาม รัฐบาลนิยมตะวันตกที่เวียดนามใต้และรัฐบาลลอนนอลในกัมพูชา ต้องลงจากอำนาจด้วยชัยชนะของฝ่ายสังคมนิยม ไม่มีแนวป้องกันคอมมิวนิสต์สำหรับไทยในอินโดจีน ส่งผลให้รัฐบาลไทยไม่อาจดำเนินนโยบายต่างประเทศในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐนั้นมิได้ใกล้ชิดกันดังเดิม

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน กระทรวงการต่างประเทศได้พบข้อตกลงลับ 2 ฉบับ ส่งผลให้สหรัฐสามารถคงกำลังเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารไว้ในประเทศไทยได้อีกประมาณ 3,000 นาย

นั่นคือ ข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาวิทยุโทรคมนาคมของสหรัฐฯ พ.ศ. 2507 และ ข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาทางด้านการจัดตั้งการควบคุมและการสนับสนุนวิทยุโทรคมนาคมในไทย พ.ศ. 2508 อันเป็นที่มาของการจัดตั้ง ค่ายรามสูร จังหวัดอุดรธานี เพื่อให้สถานีเรดาร์แห่งนี้สอดแนมความเคลื่อนไหวในอินโดจีนต่อไป โดยที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของสหรัฐที่ประจำการทั้งที่อู่ตะเภา จ. ระยอง อ.เกาะคา จ. ลำปาง และฐานทัพอื่น ๆ ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูตตามข้อตกลงลับทั้งสองข้างต้น

แน่นอนว่ารัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และกระทรวงการต่างประเทศ มองสิ่งที่เกิดขึ้นว่าไม่เหมาะสมต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ

รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องการให้สหรัฐตระหนักว่า กระบวนการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลก่อนยุค “14 ตุลา” แล้ว และรัฐบาลชุดนี้ได้ตัดสินใจให้มีการถอนทหารสหรัฐ

รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” ระบุด้วยว่า นายอานันท์ ปันยารชุน หัวหน้าคณะเจรจาเรื่องการถอนทหารสหรัฐ กล่าวถึงเรื่อง “New ground rules” อันหมายถึงกรอบการดำเนินความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ประกอบไปด้วยหลักการ 7 ประการ ได้แก่

1) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐ อยู่ภายใต้อำนาจกฎหมายไทย ถ้าไม่ได้รับการยกเว้นจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ

2) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐ จะไม่ถูกนำมาใช้คุกคามหรือแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของรัฐใดๆ

3) เพื่อผลประโยชน์และความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ จะต้องมีการทำรายงานส่งถึงรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพย์สินหรืออุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น

4) การฝึกอบรมต่างๆ จะต้องใช้บุคลากรฝ่ายไทยแทนบุคลากรของฝ่ายสหรัฐ

5) บุคลากรของฝ่ายสหรัฐ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการทางด้านอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ จะต้องไม่มีจำนวนมากไปกว่าที่รัฐบาลไทยให้ความยินยอม

6) เอกสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของสหรัฐ ไม่แตกต่างกับที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของประเทศอื่นได้รับ

7) ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือแต่ละประการนั้น จะยังคงอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีแต่อาจทบทวนให้ต่ออายุ หรืออาจให้สิ้นสุดลงก่อนระยะเวลา 2 ปีก็ได้

รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับรองหลักการ 7 ประการของกระทรวงการต่างประเทศนี้ แม้ว่ามีเสียงคัดค้านมาจากบางส่วนของกองทัพ เช่น กองบัญชาการทหารสูงสุด ก็ตาม

กรณีค่ายรามสูร ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐถอยลงเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดข้อขัดแย้งและการต่อสู้ในระบบราชการไทย นั่นคือกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการต่อสู้กันระหว่างข้าราชการฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือน เช่นเดียวกับมวลชนฝ่ายหนึ่งที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้มีการถอนฐานทัพสหรัฐ และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นมวลชนฝ่ายขวาจัด ที่ต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์

ผู้นำกองทัพไทยกังวลเป็นอย่างมากกับการถอนตัวของสหรัฐออกจากไทย จนถึงกับมีข่าวลือว่าจะเกิดรัฐประหารในช่วงรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ โดยมีสัญญาณบางประการ เช่น พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก มีคำสั่งให้กองทัพบกเตรียมความพร้อมใน พ.ศ. 2519 หรือการที่ผู้บัญชาการทหารบกเตือนว่า การรัฐประหารอาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519

อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม ได้นำมาสู่การปิดฐานทัพสหรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 31 มกราคม 2519 รวมไปถึงการถอนทหารสหรัฐออกจากไทย

ทำให้ท้ายที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้คะแนนเสียงเพียง 23,634 คะแนน พ่ายแพ้ต่อนายสมัคร สุนทรเวช ที่ได้คะแนนเสียง 33,335 คะแนน ในเขตดุสิต ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นทหาร

รัฐบาลชุดต่อมาที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี นายพิชัย รัตตกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พยายามเดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม

นายพิชัยและนายอานันท์ได้เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลเวียดนามที่กรุงฮานอย ในเดือนสิงหาคม 2519 จนได้ข้อตกลงเพื่อการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฉบับที่จะเป็นหลักฐานในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งจะต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

ครั้งนั้น นายพิชัยจะต้องส่งวิทยุเข้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศ โดยมี นายเล็ก นานา รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รอฟังผลการเจรจา ทำให้เห็นอุปสรรคประการหนึ่งของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปรากฏใน รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” ดังนี้

“…เมื่อผมบอกคุณเล็กว่าทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ขออนุมัติ ครม. ด่วน เพราะขณะนั้น ครม. กำลังประชุมอยู่ รออยู่ 1 ชั่วโมงก็ไม่มีข่าว… ถ้า ครม. ไม่อนุมัติ ผมก็เซ็นไม่ได้…ได้ความว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความคิดขวาตกขอบไม่เห็นด้วย กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ ผมก็ส่งวิทยุไปอีกเป็นครั้งที่ 3 บอกคุณเล็กว่า คุณไปบอกอาจารย์เสนีย์ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภาว่าเราจะทำอย่างนี้ บัดนี้เราทำสำเร็จแล้ว เพียงขอ ครม. อนุมัติ เพราะอาจารย์เสนีย์ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหัวหน้ารัฐบาล อย่านั่งทำเป็นเฉย คุณเล็ก ไปบอกเดี๋ยวนี้เลย อย่านั่งเฉย ต้องกล้าตัดสินใจ…”

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามได้

สิ้นสุดสงครามเวียดนามไปแล้ว 50 ปี มาถึงวันนี้เวียดนามคือดาวรุ่งพุ่งแรงจากการส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐ เป็นคู่เจรจาที่โดดเด่นของทำเนียบขาว ในขณะที่ไทยอยู่บนทางแพร่งของการตัดสินใจท่ามกลางสงครามยุคใหม่อีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 เมษายน 2568

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สิ้นสุดสงครามเวียดนาม ปี 2518 ไทยลดระดับสัมพันธ์ “สหรัฐ” ยักษ์ใหญ่โลก

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...