โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

[จบ]ย้อนเวลามาเป็นเศรษฐินีผู้มั่งคั่งร่ำรวย

นิยาย Dek-D

อัพเดต 17 เม.ย. 2567 เวลา 07.12 น. • เผยแพร่ 17 เม.ย. 2567 เวลา 07.12 น. • OfficeOnlybook
เหยียนซีทะลุมิติไปอยู่ในร่างเด็กตัวน้อยในยุคจีนโบราณ ทั้งยังโดนขายไปเป็นทาสให้สตรีนางหนึ่ง…เมื่อแรกพบฝ่ามือของอีกฝ่ายอบอุ่นมาก แต่เมื่อไปถึงหมู่บ้านนางกลับเอาเธอไปทำพิธีขจัดเสนียดจัญไรให้ลูกชายตนเอง

ข้อมูลเบื้องต้น

เหยียนซีทะลุมิติไปอยู่ในร่างเด็กตัวน้อยในยุคจีนโบราณ ทั้งยังโดนขายไปเป็นทาสให้สตรีนางหนึ่ง…เมื่อแรกพบฝ่ามือของอีกฝ่ายอบอุ่นมาก แต่เมื่อไปถึงหมู่บ้านนางกลับเอาเธอไปทำพิธีขจัดเสนียดจัญไรให้ลูกชายตนเอง

ย้อนเวลามาเป็นเศรษฐินีผู้มั่งคั่งร่ำรวย
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
การแปลนี้จัดร่วมกับ SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
ลิขสิทธิ์แปลไทย ⓒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็นจอยบุ๊ค
---------------------------------------
นิยายแปลเรื่อง ย้อนเวลามาเป็นเศรษฐินีผู้มั่งคั่งร่ำรวย
ผู้แต่ง : 清茶煮酒 ผู้แปล : ทีมงาน Onlybook

เรื่องย่อ : เหยียนซีพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในสายงานของเธอ…แต่แล้วหลังจากเธอดื่มเหล้าอย่างหนักเพื่อฉลองความสำเร็จ เหยียนซีกลับโดนผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยงผลักจนล้มไปกับพื้น! แต่เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุราวแปดถึงเก้าปีที่ผอมแห้งแรงน้อยจนแทบยืนไม่ไหว ยัง!! ความซวยของเธอยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เธอยังโดนสตรีใบหน้าใจดีซื้อเธอไปขจัดเสนียดจัญไรให้ลูกชายของตนเอง ให้ตายเถอะนี่เธอกำลังเจอกับสถานการณ์อะไรอยู่กันเนี่ย!!!

** วางจำหน่าย E-book ทุกสิ้นเดือน เดือนละ 1 เล่ม **
1 เล่มมีประมาณ 60 ตอนนะคะ

ติดตามข้อมูล ไม่พลาดการอัปเดตได้ที่ : Facebook
หรือพูดคุยกับแอดมินแบบรวดเร็ว แอดไลน์ : @onlybook

บทที่ 1 มาจากฟากฟ้า

บทที่ 1 มาจากฟากฟ้า

เหยียนซีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงุนงงเมื่อเธอได้ยินเสียงดังที่ข้างหู "หนึ่งตำลึงเงิน ตกลง!"

เสียงนั้นดังเหมือนระฆัง เธอตกใจมาก เมื่อลืมตาขึ้นและเห็น ‘กำแพง’

ถัดจากนั้นเธอก็มองเห็นชายผมดำมีหนวดเครา กำลังหยิบเงินของผู้หญิงคนหนึ่งด้วยมือข้างหนึ่ง และผลักเหยียนซีไปด้านข้างด้วยมืออีกข้าง…

มันเป็นการผลักจริง ๆ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเนื้อหมูบนเขียงและหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

ผู้หญิงคนนั้นเมื่อเห็นว่าตานางยังคงปิดก็พูดขึ้นว่า "เด็กคนนี้?…"

"นางยังไม่ตาย ไม่ต้องห่วง นางแค่หิว! นังเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย พอกินอิ่มก็คิดจะหนีน่ะสิ!" ชายร่างใหญ่ตาคมก้มลงแล้วดึงแขนของเหยียนซีขึ้น "ดูสิ นางลืมตาขึ้นมาแล้ว!"

เหยียนซีถูกฉุดขึ้นมายืนอยู่ระดับเอวของอีกฝ่าย เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดที่มีแต่รอยปะดูน่าสงสาร วัยประมาณสามสิบปี แต่ใบหน้าของนางนั้นค่อนข้างใจดี

ทันทีที่ชายร่างใหญ่ปล่อยร่างของเธอ เหยียนซีต้องการจะยันร่างกายไว้ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่มีแรงเลย ร่างของเธอจึงล้มคะมำไปข้างหน้า ผู้หญิงที่มีใบหน้าใจดีรีบกอดเอาไว้ "ระวัง เดี๋ยวล้ม!"

“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ นังเด็กที่ข้าขายไปคนนี้ยังไม่เคยได้รับการฝึกฝน ดังนั้นเมื่อซื้อกลับไป เจ้าต้องทุบตีนางสักสองสามครั้งเพื่อทำให้เชื่องเสียก่อน!” ชายร่างใหญ่ยัดกระดาษแผ่นหนึ่งและสอนประสบการณ์การฝึกของเขาที่เคยทำมาก่อนให้อีกฝ่าย "อย่าคิดว่านังนี่ที่ดูเหมือนมีเนื้อไม่เยอะจะรับมือง่ายล่ะ เจ้าต้องตีนางสักสองสามรอบ เพื่อให้เชื่อฟังแล้วจากนั้นนางก็จะพร้อมทำงานในไร่นาให้แก่เจ้า!"

คำพูดเต็มไปด้วยความดุร้ายจนเหยียนซีรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง

สถานการณ์นี้คืออะไรกัน?

เธอทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตการทำงานของเธอ หญิงสาวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของคณะกรรมการตั้งแต่อายุเพียงสามสิบสองปี เธอดื่มไวน์ฉลองอย่างหนักหน่วงหลังจากกลับบ้าน แต่กลับถูกพ่อและแม่เลี้ยงของเธอผลักล้มลงไปกองกับพื้น ทว่าสถานที่ที่เธออยู่เมื่อตื่นขึ้นมากลับไม่ใช่โรงพยาบาล แต่กลับเป็นสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้?

ถนนเต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คน มีบ้านอิฐสีเขียวทั้งเก่าและใหม่อยู่ข้างถนน และมีมืออันอบอุ่นของผู้หญิง… เธอกัดริมฝีปาก ครางออกมาด้วยความเจ็บปวด และในที่สุดหญิงสาวก็เชื่อว่า นี่คือยุคก่อนการปฏิวัติทางการเมือง ยุคก่อนการปลดแอกที่ย้อนเวลาไปกว่าเมื่อพันปีก่อน!

เธอรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อนึกถึงพินัยกรรมที่เขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว

หญิงสาวมองการณ์ไกลเอาไว้แล้ว เธอจึงเขียนพินัยกรรมไว้ว่าจะบริจาคบ้าน รถ และเงินของเธอไปฟรี ๆ…

เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของแม่เลี้ยงหลังจากที่พบว่าตะกร้าไม้ไผ่ว่างเปล่า ผู้หญิงคนนั้นต้องตีโพยตีพายและคลั่งแน่ ๆ อีกทั้งยังมีน้องชายจอมขี้เกียจและพ่อของเธอที่เมื่อขอเงินก็จะทำดีด้วย แต่ถ้าไม่มีเงินให้ เขาก็แทบจะฆ่าเธอให้ตาย…

เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้ แม้เหยียนซีจะพบว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้กำลังน่าเป็นห่วง เธอก็ยังอยากจะหัวเราะออกมา

สตรีผู้มีใบหน้าใจดีผู้นั้นรู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเหยียนซี นางรู้สึกมีความสุขที่ได้เฝ้าดูอีกฝ่าย นางลูบหัวของเหยียนซีเบา ๆ "เด็กดี เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ไม่มีใครทุบตีเจ้าอย่างแน่นอน"

หลังจากพูดจบ สตรีนางนั้นก็รับสัญญาซื้อขายจากชายวัยกลางคนมาโดยไม่สนใจคำพูดแปลก ๆ ของชายผู้นั้น ก่อนจะก้มลงอุ้มเหยียนซีและออกจากตลาดไป

การกระทำที่อ่อนโยนของผู้หญิงคนนี้ทำให้เหยียนซีนึกถึงแม่ของเธอในความทรงจำอันแสนห่างไกล ตอนที่เธอป่วยเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แม่ของเหยียนซีมักจะแบกเธอไว้บนหลังเช่นนี้… เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงและแนบหน้าบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย

เมื่ออายุได้หกขวบแม่ของเธอก็เสียชีวิต จากนั้นก็ไม่มีใครแบกเธอขึ้นหลังอีกเลย ชั่วขณะหนึ่ง เธอคิดด้วยซ้ำว่าแม้เธอจะถูกขายเป็นทาส ตราบใดที่ป้าคนนี้ยังใจดีอยู่เช่นนี้ เธอก็จะเต็มใจอยู่กับป้าคนนี้ต่อไป

สตรีผู้มีใบหน้าใจดีแบกร่างของเด็กหญิงไว้บนหลัง นางเหนื่อยมากจนหอบไม่ยอมหยุด แต่ก็ยังกัดฟันเดินไปจนสุดทาง

นางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และมาถึงบ้านหลังคามุงกระเบื้องเก่า ๆ หลังหนึ่ง มีกลิ่นกำยานโชยออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจะเห็นควันลอยออกมาจากลานบ้าน เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นและกระโดดลงไป "ไฟไหม้หรือ ไฟไหม้!"

สตรีนางนั้นไม่ได้ตั้งตัว จึงปล่อยให้เด็กหญิงกระโดดลงไป และเมื่อได้ยินเสียงตะโกน นางก็รีบปิดปากอีกฝ่าย "อย่าพูดไร้สาระ ที่เห็นข้างในท่านเทพธิดาเป็นคนทำมันเอง"

ขณะที่พูด นางก็ดึงตัวเหยียนซีเอาไว้และผลักประตูเดินเข้าไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงไอดังออกมาจากห้อง นางจึงปล่อยมือของเหยียนซีและตะโกนเข้าไปในห้องว่า "เอ้อร์หลาง เอ้อร์หลาง แม่กลับมาแล้ว!"

เหยียนซีที่ยืนอยู่ในลานบ้านตระหนักได้ว่าควันที่เธอคิดว่าเกิดจากไฟไหม้นั้น แท้จริงแล้วมาจากการจุดธูปประมาณกำมือหนึ่งบนโต๊ะหิน

ลานบ้านเต็มไปด้วยหมอกควันและเครื่องรางของขลังแปะอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีหัวหมูใหญ่อยู่บนโต๊ะหินตรงกลางและกระถางธูปขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังหัวหมูที่ไหม้ไปมากแล้ว ไม่สิ ควรจะเรียกว่าธูปกำใหญ่ในกระถางธูปที่ไหม้ไปแล้วมากกว่า

ควันอบอวลไปทั่วทั้งลานบ้าน แม้จะอยู่ด้านนอกก็ยังได้กลิ่น ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายจมูก นอกจากนี้ยังมีไก่ดำตัวใหญ่อยู่ใต้โต๊ะหิน มีคราบเลือดทั้งบนพื้น บนผนัง และแม้กระทั่งบนประตูไม้ด้านหลังเธอ

หากนี่ไม่ใช่ภาพลวงตา มันก็เป็นฉากฆาตกรรมชัด ๆ

หลังลงจากแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น เหยียนซีก็เงียบขรึมลงเช่นกัน ในสมัยโบราณการเป็นทาสหรือนางกำนัลไม่ใช่เรื่องดี ชีวิตของมนุษย์ในยุคโบราณนั้นไร้ค่า ต้องรอจนกว่าถึงยุครุ่งเรืองเท่านั้นจึงจะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่อนุญาตให้ทรมานทาสอีกต่อไป

เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายของผู้หญิงและการตกแต่งบ้านแล้ว นางดูไม่เหมือนครอบครัวที่ร่ำรวยสักนิด

หนึ่งตำลึงเงินไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลย แล้วทำไมป้าคนนี้ถึงซื้อตัวเธอกลับมากัน?

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เธอควรจะฉวยโอกาสนี้หนีดีไหมนะ?

ขณะที่หญิงสาวในร่างเด็กหญิงกำลังจะหันกลับหลัง เท้าของเธอก็เดินกะเผลก ถ้าไม่ยื่นมือไปจับโต๊ะหินเอาไว้ เธอก็คงล้มลงกับพื้นไปแล้ว ไม่มีทางหนีได้เลย และเธอคงจะถูกจับได้ก่อนจะวิ่งพ้นจากหมู่บ้านด้วยซ้ำ อีกทั้งร่างกายนี้ก็หิวโหยเสียจนไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อน

เมื่อนึกถึงความหิวที่ปรากฏเด่นชัดนี้ กลิ่นของหัวหมูบนโต๊ะก็แรงขึ้นในทันที ซึ่งมันดึงดูดสายตาของเหยียนซีได้เป็นอย่างดี เนื้อหัวหมูตุ๋น หูหมูเย็น ลิ้นหมูเย็น… แม้แต่กระดูกก็สามารถนำไปใช้ทำซุปได้

เมื่อเด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหาหัวหมู ร่างคนที่มีเอวโก่งและถือกระดิ่งอยู่ในมือ ดูคล้ายกับแม่หมอก็ตะโกนว่า "เจ้ากำลังทำอะไร!"

จากประตูไปยังโต๊ะหินมีระยะทางประมาณสองจั้ง แม่หมอก้าวไปที่โต๊ะหินสามก้าวแล้วคว้ามือของเหยียนซีเอาไว้

“ข้า…ข้าเห็นขี้เถ้าตกอยู่บนนั้น” เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็รีบหาข้ออ้าง หากหญิงคนนี้รู้ว่าเธอจงใจหยิบเครื่องเซ่นมากินละก็ ไม่ว่าจะเป็นคนใจดีแค่ไหนก็คงไม่ให้อภัยเธอแน่ ๆ

ทว่าในเวลาเดียวกัน ท้องน้อย ๆ ก็ส่งเสียงคำรามประท้วง จนเหยียนซีลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

ทันใดนั้น สตรีคนที่ซื้อเหยียนซีมาก็เดินเข้ามาหาเมื่อได้ยินเสียงท้องร้อง นางหยิบแป้งอบชิ้นหนาที่มีสีดำเล็กน้อยยื่นให้ "เด็กน้อย เจ้าควรกินนี่ก่อน"

เหยียนซีต้องการจะปฏิเสธในตอนแรก แต่มือของเธอดูจะมีสติปัญญาของมันเอง ก่อนที่เธอจะตอบสนอง มันก็ได้คว้าแป้งอบไปแล้ว หญิงสาวมีเวลาเพียงพูดว่า "ขอบคุณ" ด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นจึงยัดแป้งอบเข้าปากอย่างรีบร้อน

ทว่าแป้งอบนี้แข็งเกินไป เธอจึงกัดไม่เข้า และทำได้เพียงแทะทีละน้อยเหมือนกับหนู จากนั้นค่อยคาบมันไว้ในปาก รอจนกว่าแผ่นเนื้อแข็งจะอ่อนนุ่มลง แล้วจึงกลืนเข้าไปหนึ่งคำ

"เซียนกู ดูสิ นี่คือเด็กที่ข้าพามา" น้ำเสียงของผู้หญิงที่ซื้อเหยียนซีมาดูมีความสุขมาก "ท่านไม่ได้บอกหรือว่า หากข้าหาเด็กหญิงมาทำพิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไรให้ลูกชายของข้าได้ ข้าจะมีความสุขและลูกของข้าจะรอด"

บทที่ 2 กำจัดหม้อทิ้ง

บทที่ 2 กำจัดหม้อทิ้ง

เมื่อได้ยินคำว่าพิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไร เหยียนซีก็สำลักแป้งอบที่กินอยู่เต็มปากและไอออกมาชั่วขณะ ผู้หญิงคนนี้ซื้อเธอมาเพื่อทำพิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไรอย่างนั้นหรือ?

เมื่อชาติก่อนเธอเคยดูละครที่พูดถึงพิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไรอยู่บ้าง… ในสมัยโบราณ พิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไรนั้นจะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของคนเราอยู่ดีกินดีขึ้น แต่หากมีคนตาย ก็ถือเป็นลิขิตแห่งสวรรค์ ความตายที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของตัวบุคคลนั้น!

สตรีนางนั้นกลัวว่าเหยียนซีจะสำลักจนป่วย นางจึงเทน้ำชามหนึ่งให้เธอ

ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของอีกฝ่ายในตอนนี้ เหยียนซีจึงไม่อาจรับได้ เนื่องจากนางไม่ได้มองตัวเธอด้วยความรัก แต่กำลังเฝ้ามองความหวังเดียวของตน!

เหยียนซีเข้ามาในบ้านได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่มีคนอื่นเข้ามาสมทบ ดูเหมือนว่าในครอบครัวนี้จะมีแค่คู่แม่ลูกที่พึ่งพาอาศัยกัน ถ้าลูกชายไม่รอด ผู้หญิงคนนี้จะเป็นเช่นไร?

เหยียนซีไม่กล้าจะคิดต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

สตรีใจดีคนนั้นยังคงพูดอย่างมีความสุขว่านางพบเหยียนซีได้อย่างไร "ข้าเดินไปยังตัวเมืองตามทิศทางที่ท่านบอก และก็ได้พบกับใครบางคนที่ขายเด็กจริง ๆ และนี่ก็เป็นเด็กคนเดียวที่เป็นสตรี ไม่ใช่ว่านี่คือผู้สูงศักดิ์ที่สวรรค์ลิขิตหรือ เทพธิดา ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่?”

‘ท่านเทพธิดา?’ ตอนนี้เหยียนซีเชื่อแล้วว่ามีวิญญาณที่สามารถกลับชาติมาเกิดได้ในโลกใบนี้ แต่เมื่อมองไปยังแม่หมอผู้นั้น เธอกลับมองไม่เห็นพลังงานชีวิตเลย อีกฝ่ายดูเหมือนกิ่งไม้แห้งที่พร้อมจะหักเมื่อไหร่ก็ได้มากกว่า!

แม่หมอมีแก้มที่บางและดูเศร้าหมองเล็กน้อย ดวงตาเฉี่ยวคมคู่นั้นมองเหยียนซีขึ้นลง สายตาดูเย็นชา อีกฝ่ายจงใจยืนอยู่ระหว่างเหยียนซีกับโต๊ะหิน เพราะกลัวว่าหัวหมูของตนจะถูกคว้าไป

ทุกคนย่อมรู้ว่าหลังจากพิธีนี้สิ้นสุดลง การเซ่นไหว้หัวหมูและไก่เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ล้วนเป็นของผู้ทำพิธีทั้งหมด

เมื่อได้ยินคำถามของแม่นางผู้นั้น นางก็คว้ามือของเหยียนซีและสัมผัสมัน จากนั้นหรี่ตาของนางลงและโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อเข้าหาเหยียนซีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ใกล้เสียจนเกือบจะชนจมูกของหญิงสาวในร่างเด็กหญิง จากนั้นแม่หมอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจหลังจากมองดูเป็นเวลานาน และพูดกับสตรีคนนั้นที่เดินมาข้างหลังนางว่า "แม่นางหวัง เด็กคนนี้เกิดเมื่อใด"

“วันที่ 16 เดือน 8 ยามเที่ยงเจ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นที่ถูกเรียกว่าแม่นางหวังรีบหยิบสัญญาซื้อขายออกมา

เหอเซียนกูชำเลืองมอง โดยไม่รู้ว่านางอ่านมันได้จริงหรือไม่ ถัดมาจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า "สตรีที่คลอดลูกยามเที่ยงวันเช่นนี้หายากนัก หากให้เด็กหญิงผู้นี้อยู่ในบ้านคืนนี้เพื่อช่วยเอ้อร์หลางและปกป้องครอบครัวของเจ้าจากวิญญาณชั่วร้ายจะเป็นการดีที่สุด เมื่อผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ สิ่งที่เอ้อร์หลางจะต้องประสบในอนาคตจะกลับกลายเป็นโชคดี และภัยพิบัติจะเปลี่ยนเป็นสิริมงคล!"

ขณะที่พูด นางก็หยิบห่อออกมาสองสามห่อแล้ววางไว้บนโต๊ะหิน ก่อนจะพึมพำบทสวดบางอย่างออกมาตรงหน้าโต๊ะหิน

จนกระทั่งมีเสียงไอดังขึ้นอีกครั้งภายในห้อง นางหวังก็อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมอง เห็นได้ชัดว่านางเหม่อลอยและไม่อาจรอได้อีกต่อไป

ดังนั้นแม่หมอที่กำลังทำพิธีจึงหยุดลงและพูดขึ้นช้า ๆ "นี่คือยาวิเศษจากท่านเทพธิดา จงต้มมันให้เอ้อร์หลางของเจ้าได้ดื่ม จำไว้ว่าให้เด็กหญิงนางนี้เป็นคนต้มยา ใส่น้ำสามชามในหนึ่งห่อยา เคี่ยวจนยาเหลือเพียงสองชาม แล้วให้นางนำไปให้เอ้อร์หลางดื่ม จำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถพลาดได้แม้แต่จุดเดียว”

แม่หมอชี้ไปที่เหยียนซี “อย่าลืมเน้นย้ำให้นางแสดงความจริงใจให้มากที่สุด เจ้ารู้จักชื่อของข้าที่มีนามว่าเหอเซียนกู ตราบใดที่เจ้าทำด้วยตนเองมันจะไม่ได้ผล และถ้าสาวน้อยคนนี้ทำให้ทวยเทพขุ่นเคือง ยาก็จะไม่ได้ผลเช่นกัน ดังนั้นหลังจากนี้จะไม่มีใครสามารถช่วยครอบครัวของเจ้าได้อีก คนที่รับเคราะห์มากที่สุดจะเป็นเอ้อร์หลางบุตรชายของเจ้า"

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการโยนความผิดให้พ้นตัว!

มีความจริงใจหรือไม่จะวัดกันได้อย่างไร! ต่อให้แหวกอกออกมาดูก็ไม่เห็นมันอยู่ดี!

แม่หมอเหอเซียนกูผู้นี้น่ารังเกียจอย่างแท้จริง! หลังจากพูดคำเหล่านี้ นางก็แค่อ้างว่าตนขอยาจากเทพสวรรค์ให้แล้วเพื่อให้คนรอดชีวิต แต่ถ้าหากมีความตายเกิดขึ้น ก็หมายความว่าเหยียนซีได้รุกรานสวรรค์เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของนาง

นี่เป็นสมัยโบราณ ถ้านางหวังโกรธ เหยียนซีคงจะถูกเผาจนตายหรือไม่ก็ถูกจับฝังทั้งเป็น…

วิถีแห่งความตายที่น่าสลดใจหนึ่งร้อยแปดวิธีแวบเข้ามาในความคิดของเหยียนซีไม่หยุด และเมื่อเห็นหม้อถูกนำมาวาง เธอก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น “เซียนกู ท่านป้าดูเป็นคนดีตั้งแต่ข้าเห็นเพียงครั้งแรก นางปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี น้ำใจเพียงหยดเดียวควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุ ข้ายินดีแลกชีวิตเพื่ออีกชีวิตหนึ่ง ตราบใดที่ข้าสามารถรักษาคนป่วยไข้ได้ ข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ!"

จากนั้นเหยียนซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่แม่หมอเหอเซียนกูอย่างเคร่งขรึม "ข้าไม่รู้จะบอกทวยเทพได้อย่างไรว่าข้าจริงใจ โปรดสอนข้าด้วย ข้าต้องช่วยชีวิตผู้คน!"

นางจะสอนให้เด็กหญิงผู้นี้ดูจริงใจได้อย่างไร?

สาวน้อยที่ดูอ่อนแอเหมือนถั่วงอกคนนี้กำลังขุดหลุมพรางให้นางตกลงไปด้วยคำพูดของตัวนางเอง?

เหอเซียนกูไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายฉลาดจริง ๆ หรือแค่ถามคำถามนี้โดยบังเอิญ นางมีประสบการณ์มากจึงรู้ว่าเรื่องนี้ตอบได้ไม่ง่ายเลย และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับคำถามนี้

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางหวังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางแดงก่ำ และกล่าวต่อไปว่า "เด็กดี ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็รู้สึกขอบคุณสำหรับความเมตตาของเจ้า"

จากนั้นนางก็เดินไปตรงหน้าแม่หมอเหอเซียนกู "เซียนกู ข้าขอคำชี้แนะหน่อยได้หรือไม่!"

"ใช่ ใช่ เซียนกูสอนข้าที ตราบใดที่ท่านบอกข้า ข้าจะทำมันอย่างแน่นอน!" เหยียนซีแสร้งทำเป็นเชื่อฟังอย่างสุดความสามารถ หญิงสาวในร่างเด็กหญิงมองดูเหอเซียนซึ่งกำลังทำตัวราวกับเป็นผู้วิเศษจริง ๆ เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

เหอเซียนกูกลอกตาเฉี่ยวคมของนางและเหลือบมองเหยียนซี "คนในห้องเป็นวัณโรค เจ้าต้องอยู่ในห้องทั้งเช้าเย็น และไม่สามารถออกจากห้องได้แม้แต่ก้าวเดียว!"

เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ต้องการต่อสู้กับนางอย่างนั้นหรือ?

เมื่อพูดถึงการขว้างหม้อทิ้งแล้ว นางเหอเซียนกูชำนาญนัก!

เฝ้าดูทั้งเช้าเย็น กิน ดื่ม นอนอยู่ในห้องนั้น นางบอกไปแล้วว่าคนข้างในเป็นวัณโรค และวัณโรคนั้นเป็นโรคที่น่ากลัวมาก ดังนั้นนางไม่เชื่อว่านังเด็กคนนี้จะทนได้!

วัณโรคเป็นโรคร้ายในตำนาน…หม้อนี้ต้องทิ้งอย่างเดียวเท่านั้น!

"ข้าทำได้!" เหยียนซีพูดด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น "อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ตราบใดที่ทำให้คนผู้นี้หายได้ ข้าก็จะไม่ออกจากบ้านหลังนี้เด็ดขาด!"

การแพร่เชื้อวัณโรค! มันย่อมมีปัจจัยของมัน

คนยุคใหม่อย่างเธอจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดเชื้อได้อย่างไร?

เมื่อเทียบกับการถือหม้อกระเบื้องเนื้อแข็ง ทุกอย่างสามารถเอาชนะได้!

ทุกอย่างมีไว้เพื่อความอยู่รอด ทุกอย่างมีไว้เพื่อละทิ้งหม้อ!

ในกรณีที่คนในห้องนั้นสิ้นหวังจริง ๆ บางทีนางหวังอาจจะปล่อยตัวเธอไปเพราะความเอาใจใส่และความจริงใจของเธอ?

“แค่นั้นก็พอใช่หรือไม่” นางหวังมองไปที่เหอเซียนกูอย่างมีความหวัง

นังเด็กคนนี้ยังดูเด็กอยู่เลย แต่เหตุใดจึงรับมือได้ยากเช่นนี้?

เดิมทีแม่หมอคิดว่าเด็กหญิงจะกลัวเมื่อได้ยินคำว่าวัณโรค แต่ตอนนี้นางกลับดูไม่กลัวเลย? อีกอย่างสาวน้อยดูอายุเท่าไรกัน ดูจากขนาดตัวที่เล็กของนางแล้ว นางน่าจะอายุแค่ประมาณแปดถึงเก้าขวบ นางรู้หรือไม่ว่าวัณโรคคืออันใด?

“แน่นอนว่าย่อมไม่พอ เจ้าต้องจริงใจเวลาปรุงยาด้วยเช่นกัน”

“ข้าต้องเฝ้าหม้อยาตลอดเวลาเลยหรือ?”

“ไม่พอ เวลาปรุงยาต้องท่องคัมภีร์ด้วย!”

“อะไรนะ ข้าต้องท่องคัมภีร์? อืม ข้าเคยได้ยินพระอาจารย์ในวัดท่องพระสูตรมาก่อน แล้วข้าควรท่องอะไรดี กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร?*[1] วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร?*[2] สัทธรรมปุณฑรีกสูตร?*[3]…" เหยียนซีประกาศเจ็ดหรือแปดพระสูตรในลมหายใจเดียว "พระสูตรพวกนี้ใช่หรือไม่ ข้ารู้บทสวดของมันทั้งหมด"

เธอมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นฆราวาสในศาสนาพุทธ และที่พูดถึงมากที่สุดคือหนังสือสองสามเล่มนี้ ตอนนั้นเธอไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าและพระพุทธเจ้า แต่เธอก็จำเป็นต้องหาความรู้เพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อเอามาพูดคุยได้ตอนเข้าสังคม ทว่าพระสูตรต่าง ๆ ที่เธอพูดมา เธอจำได้แค่ชื่อเท่านั้น หญิงสาวท่องบทสวดจริง ๆ ที่ยาวมากของพวกมันไม่ได้หรอก

ถ้าเธอบอกเหอเซียนกูไปแค่ชื่อพระสูตรเพียงบทเดียว อีกฝ่ายคงจะรีบบอกให้เธอท่องพระสูตรนั้นแน่นอน เหยียนซีจึงพูดพระสูตรออกมาหลายบท โดยวางเดิมพันไว้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อว่าเธอรู้เรื่องนี้จริง ๆ และไม่กล้าเสี่ยงที่จะเอ่ยถึงมันอีก

คนในชนบทหลายคนเคยได้ฟังการบรรยายในวัด แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแยกแยะเนื้อหาของพระคัมภีร์ได้จริง ๆ เหอเซียนกูเป็นเพียงผู้หญิงช่างจ้อที่มีความรู้มากกว่าสาวชาวนาทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พระคัมภีร์ที่เหยียนซีกล่าวมา นางรู้จักเพียงไม่กี่ชื่อ

สาวน้อยคนนี้รู้ชื่อมากขนาดนี้หรือว่านางสามารถท่องได้หมดจริง ๆ ?

สาวน้อยที่นางหวังซื้อมาอย่างลวก ๆ ในเมืองนั้นมีความรู้ขนาดนี้จริง ๆ หรือ?

[1] กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร เป็นพระสูตรในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งแพร่หลายในเอเชียตะวันออก
[2] วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรปรัชญาที่แพร่หลายในเอเชียตะวันออก ซึ่งว่าด้วยเรื่องความว่างเปล่าจากแก่นสารหรือตัวตน
[3] สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นพระสูตรที่สําคัญและทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดาพระสูตรหรือ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน

บทที่ 3 ทวยเทพลงโทษ

บทที่ 3 ทวยเทพลงโทษ

"เซียนกู พระสูตรเหล่านี้ใช้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ข้าก็สามารถท่อง ‘คัมภีร์ตรีอักษร’*[1] กับ ‘ปารมิตาหฤทัยสูตร’*[2] ได้"

เหอเซียนกูกัดฟันแน่น "ทั้งหมดนั่นใช้ไม่ได้ เจ้าต้องท่อง ‘เต้าเต๋อจิง’*[3] จึงจะดีที่สุด!"

โชคดีที่ครั้งก่อนนางไปทำพิธีให้ครอบครัวของเจ้าของที่ดินเหอ แล้วจึงได้ยินว่าฮูหยินของเจ้าของที่ดินขอให้คนคัดลอก ‘เต้าเต๋อจิง’ โดยบอกว่าตนจะประดิษฐานมันไว้ที่แท่นบูชาสามมหาเทพลัทธิเต๋า นางไม่เชื่อว่าสาวน้อยคนนี้จะท่องคัมภีร์เต้าเต๋อจิงได้ทั้งหมดเพราะมันมีถึงแปดสิบเอ็ดบท!

เหอเซียนกูกัดฟันและพนันว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่มีทางที่จะเคยได้ยินเกี่ยวกับเต้าเต๋อจิงเป็นแน่ นางบอกว่าเคยได้ยินพระท่องบทสวดในวัด แต่คัมภีร์เต้าเต๋อจิงนี้ประดิษฐานไว้บนแท่นบูชาอยู่บนภูเขาซานซิง

“เต้าเต๋อจิง?” เหยียนซีพึมพำด้วยความงุนงง

ในที่สุดเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเด็กหญิง เหอเซียนกูก็ฉวยโอกาสโยนหม้อลงไปที่เท้าของอีกฝ่ายทันที นางพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ "ใช่ ต้องท่องเต้าเต๋อจิงในขณะปรุงยา"

"แต่…เต้าเต๋อจิง …เซียนกู ท่านแน่ใจหรือว่าการท่องสิ่งนี้มันจะมีผลกับการปรุงยา? ข้าได้ยินคนพูดว่าปารมิตาหฤทัยสูตรก็ดีมากเช่นกัน”

“แน่นอนว่าปารมิตาหฤทัยสูตรนั้นดี แต่เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไปในตอนนี้ เต้าเต๋อจิงคือบทสวดที่ใช้ได้ผลมากที่สุด ลวี่ต้งปิน พระพุทธเจ้าตถาคต นักรบวัชระ… ทั้งหมดนี้จะลงมาจากฟากฟ้า และเวลานั้นจะไม่มีวิญญาณร้ายตนใดกล้าเข้าใกล้พวกเจ้าอีก" แม่หมอพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง "ข้าเชิญเทพยดาผู้ยิ่งใหญ่เหอเซียนกูจากองค์แปดเซียนอมตะ เทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่าเมื่อนางไปทางทิศตะวันตก เพื่อฟังพระคัมภีร์พระพุทธเจ้าตถาคตจะสามารถสอนเต้าเต๋อจิงได้"

ยุ่งเหยิงอะไรเช่นนี้?

เหยียนซีขบกรามแน่น กลัวจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

"แต่…เต้าเต๋อจิง… ข้า…" เสียงของเหยียนซีเบาลงเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังสูญเสียความมั่นใจ ผู้เป็นแม่หมอก็รู้สึกโล่งใจ

นางหวังมองไปที่เหยียนซีอย่างมีความหวัง นางเคยได้ยินเกี่ยวกับเต้าเต๋อจิงมาบ้าง แต่คนในชนบทมีไม่มากนักที่รู้ตัวอักษร อย่าว่าแต่ท่องบทคัมภีร์ที่ยาวเช่นนั้นได้เลย แค่อ่านก็คงทำไม่ได้

คนส่วนใหญ่ไปวัดเพื่อฟังพระสวดคัมภีร์ในวันที่สิบห้าของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติแค่เท่านั้น เมื่อเห็นว่าเหยียนซีไม่พูดอันใด เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงไม่สามารถท่องพระคัมภีร์ได้แน่ และเมื่อนางได้ยินเสียงไอจากในห้องอีกรอบ นางหวังก็ทำได้แต่กัดฟันและพูดว่า "เซียนกู ถ้าข้าขอเชิญท่านไปท่องเต้าเต๋อจิงในบ้านได้หรือไม่"

เงินในครอบครัวเกือบจะไม่เหลือแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางคือเอ้อร์หลางเท่านั้น! ตราบใดที่ยังมีเศษเสี้ยวแห่งความหวัง แม้ว่าจะต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง นางก็ยินดีจะทำมัน

“ท่านแม่…” มีเสียงตะโกนออกมาจากภายในห้อง แต่หลังจากพูดได้คำเดียว ก็มีเสียงไอดังสนั่นหวั่นไหว และคำที่เหลือก็ถูกกลบหายไป

"ไม่! คนอื่นทำไม่ได้ มีเพียงเด็กนี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถท่องเพื่อแสดงความจริงใจได้!"

“ถ้าข้าท่องเต้าเต๋อจิงได้จริง เขาจะรอดได้จริง ๆ หรือ?" เหยียนซีแสดงสีหน้ามืดมนอย่างเห็นได้ชัด "แต่เต้าเต๋อจิงนั้นยาวมาก ข้า…"

แน่นอนว่าเหอเซียนกูไม่ฟังอีกฝ่ายเลย "ถูกต้อง ตราบใดที่เจ้าสามารถท่องมันได้สักหนึ่งจบขณะปรุงยา!"

เมื่อเห็นเหยียนซีเป็นเช่นนี้ เหอเซียนกูรู้สึกโล่งใจ

"เอาล่ะ มันสายมากแล้ว เทพธิดากำลังจะกลับสวรรค์" แม่หมอเชิดหน้าขึ้น จมูกของนางเกือบขนานกับท้องฟ้า และร่างของนางก็สั่นสะท้าน "เร็วเข้า เจ้าพวกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเราจะไปแล้ว!"

"อันที่จริงข้าสามารถท่องเต้าเต๋อจิงได้!" เสียงร่าเริงของเหยียนซีดังขึ้น "หากให้ข้าท่องมันในขณะที่ปรุงยา ข้าทำมันได้อย่างแน่นอน แต่ท่านเองก็ต้องช่วยบอกมหาเทพเพื่อให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นด้วยเช่นกัน!"

เหอเซียนกูที่กำลังทำร่างกายสั่นให้เหมือนกับกำลังส่งเทพเจ้าออกไป ทันใดนั้นก็ก้มศีรษะลงมาอย่างแข็งค้างด้วยความตกตะลึง "เจ้า…เจ้าท่องได้อย่างนั้นหรือ?"

นางแค่กำลังหลอกผู้คนเท่านั้น!

“แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้า…” เมื่อนึกถึงการถูกหลอกด้วยสีหน้ามืดมนของเด็กหญิงเมื่อครู่ เสียงของเหอเซียนกูก็แหลมเล็ก

"ข้าไม่เพียงท่องจำมันได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเขียนมันได้อีกด้วย หากท่านพูดถึง ‘เต้าเต๋อจิง’ เมื่อครู่นี้ ข้าก็นึกถึงแม่ที่จากไปของข้า ท่านเชื่อในเทพธิดามากเลยล่ะเจ้าค่ะ!" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะโกรธ เหยียนซีจึงพูดเสริมขึ้นทันทีว่า "ท่านแม่ของข้าพูดไว้เสมอว่า ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย เหอเซียนกูนั้นงดงามและจิตใจดีที่สุด ใครก็ตามที่สามารถเชิญนางลงมายังโลกมนุษย์ได้ จะต้องเป็นคนที่มีโอกาสทำความดีเพื่อสั่งสมบุญบารมีอย่างแน่นอน”

มองขาดเรื่องนับหมื่นพัน เว้นแต่เพียงการประจบสอพลอ

เมื่อเหอเซียนกูถูกครอบงำด้วยคำพูดดี ๆ คำที่นางต้องการสาปแช่งก็ติดอยู่ในลำคอ และนางไม่รู้ว่าจะอาเจียนต่อไปได้เช่นไร

"ท่านแม่ของข้าพูดไว้เสมอว่า การวางแผนขึ้นอยู่กับผู้คน สวรรค์ขึ้นอยู่กับการทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น ทวยเทพรักษาโรคภัยได้ แต่รักษาชีวิตไม่ได้! เมื่อท่านพูดถึงเต้าเต๋อจิง ข้าก็นึกถึงคำเหล่านี้ที่ท่านแม่เคยกล่าวไว้ ข้าไม่เคยเข้าใจคำพูดพวกนี้เลย ท่านเป็นคนที่ศึกษาเต๋าจนลึกซึ้ง ดังนั้นท่านช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร"

ปกติแล้วเหยียนซีไม่ต้องการกดใครให้จมดินจนถึงตาย แม้ว่าแม่หมอฉ้อฉลประเภทนี้จะน่ารังเกียจเป็นที่สุด แต่ถ้าเธอล่วงเกินอีกฝ่ายมากเกินไป เธอจะใช้ชีวิตลำบากแน่นอน

ในยุคโบราณนี้มี ‘ร่างทรง’ มากมาย หญิงสาวเพียงต้องการกำจัดความผิดให้พ้นตัวเท่านั้น เธอไม่ได้ต้องการสร้างศัตรูแต่อย่างใด

"เซียนกู ท่านบอกว่าตราบใดที่ข้าไม่ออกจากบ้านหลังนี้ และท่อง ‘เต้าเต๋อจิง’ ในขณะที่ปรุงยา ความเจ็บป่วยของพี่เอ้อร์หลางจะหายไป มันจะเป็นความจริงใช่หรือไม่"

"เป็นเรื่องจริงแน่นอน!" เหอเซียนกูกลอกตาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า "ทว่าทุกอย่างมีชะตากรรมของมันเอง แม่นางหวัง ข้าจะช่วยเจ้าสื่อสารกับเหล่าทวยเทพเมื่อข้ากลับไป และด้วยความช่วยเหลือจากเด็กสาวผู้ถูกสวรรค์ลิขิต ความชั่วร้ายจะถูกปิดกั้น เอ้อร์หลางอาจสามารถรักษาให้หายได้หลังจากกินยาของท่านเทพธิดา แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงในประสงค์ของสวรรค์ มันจะมีสัญญาณแจ้งเตือน! เอาล่ะ ตอนนี้เจ้ารีบให้เด็กคนนี้ไปปกป้องห้องของบุตรชายเจ้าเถิด"

“ขอบคุณเซียนกู! ท่านมีพลังที่ไร้ขอบเขตจริง ๆ !" เหยียนซีแสร้งชมเชยไปตามน้ำ ทว่าลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็กำจัดหม้อทิ้งได้

ตราบใดที่ไม่ใช่เพราะความจริงใจของเธอ แม้ว่าเอ้อร์หลางที่อยู่ในบ้านจะตาย เธอก็ยังรอดพ้นจากความผิดอยู่

ความกังวลของนางหวังยุ่งเหยิงไปหมด นางไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดเมื่อครู่ของเหยียนซีกับเซียนกูเลย แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็พยักหน้าซ้ำ ๆ จากนั้นก็รีบพาเหยียนซีไปที่หน้าห้อง จับมือเด็กหญิงแล้วจึงส่งเข้าไปในห้อง

ในขณะเดียวกันนั้น เหอเซียนกูได้ดึงเชือกป่านออกแล้ววางหัวหมูไว้ในมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างจับไก่ที่พื้น ก่อนจะรอให้นางหวังออกมา แล้วนางก็รีบออกไปจากบ้านในทันที

นางไม่กล้าอยู่กับคนที่เป็นวัณโรคเช่นเขาหรอก!

สาวน้อยที่นางหวังซื้อมานั้นชั่วร้ายเกินไป และนางก็กลัวจะถูกนังเด็กปีศาจจับได้หากอยู่นานเกินไป แต่บ้านของนางก็ไม่ได้อยู่ใกล้กับหมู่บ้านหยางซาน หากหลิวเอ้อร์หลางผู้นี้ตายขึ้นมาจริง ๆ ชื่อเสียงของนางก็จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก เด็กหญิงผู้นั้นไม่ได้เพิ่งกล่าวหรอกหรือว่าอะไรก็ตามที่อยู่ใต้ผืนฟ้า ทุกอย่างล้วนมีชะตากรรม!

เหยียนซีไม่ได้สนใจจะมองแม่หมอผู้นั้นอีกต่อไป หญิงสาวในร่างเด็กหญิงเดินตามนางหวังเข้าไปในห้อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นห้องหลักในห้องโถงใหญ่ โดยมีประตูเปิดทั้งด้านซ้ายและขวาของห้องหลัก ซึ่งน่าจะเป็นปีกทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

สตรีนางนั้นเดินนำเข้าไปทางปีกตะวันออกจากประตูด้านซ้ายแทน ดวงตาของนางมืดลง และมีกลิ่นที่ไม่อาจอธิบายได้ลอยมาเตะจมูก เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดความประหม่าแล้วจึงเดินตามนางหวังเข้าไปในห้อง

ปรากฏว่าหน้าต่างของบ้านหลังนี้ปิดแน่นและผ้าม่านถูกปลดลงจนหมด หญิงสาวไม่แปลกใจเลยทั้งที่เป็นช่วงกลางวันแสก ๆ แต่ที่นี่กลับมืดสนิทเช่นนี้

บนเตียงไม้ที่หันหน้าไปทางประตู เด็กชายอายุราวสิบสามถึงสิบสี่ปี กำลังนั่งพิงพนักเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงนางหวังกับเหยียนซีเข้ามาทางประตู เขาก็เอียงศีรษะและมองดูเหยียนซีเงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่านี่คือเอ้อร์หลางที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้

ในห้องมืดสนิทเสียจนเหยียนซีมองไม่เห็นใบหน้าของเด็กชายได้อย่างชัดเจนนัก แต่เธอกลับรู้สึกว่าใบหน้าอันซีดเซียวและดวงตาสีดำคู่นั้นดูจะมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

เด็กหญิงลังเลว่าจะก้าวไปข้างหน้าดีหรือไม่ แต่นางหวังก็ได้เดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว ยัดหมอนอีกใบไว้ด้านหลังของเด็กชาย และแตะหน้าผากของลูกชายของตน "เอ้อร์หลาง รู้สึกดีขึ้นหรือไม่ลูก ดูสิ นี่คือคนที่เซียนกูบอกว่าจะสามารถช่วยลูกสกัดกั้นความชั่วร้ายได้ ลูกได้ยินที่เซียนกูพูดเมื่อครู่นี้หรือไม่"

“ข้า…แค่ก แค่ก แค่ก… ข้าได้ยิน…แค่ก แค่ก…" เอ้อร์หลางพูดตะกุกตะกัก เสียงไอดังเป็นระลอก

เหยียนซีคว้ากาน้ำข้าง ๆ เขาแล้วรินน้ำหนึ่งแก้ว "ดื่มนี่เสียก่อน!"

[1] คัมภีร์ตรีอักษร เป็นหนังสือฝึกอ่านสำหรับเด็กเล็กในสมัยโบราณ
[2] ปารมิตาหฤทัยสูตร เป็นหลักความเชื่อของพุทธศาสนานิกายวัชรยานของชาวทิเบต
[3] เต้าเต๋อจิง เป็นปรัชญาเกี่ยวกับโลกและชีวิต

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...