เทียบฟอร์มหุ้นกู้ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “Lotus’s vs BJC” ใครเจ๋งกว่ากัน?
ภาพรวมธุรกิจค้าปลีก
Opportunity : โอกาส
- การท่องเที่ยวฟื้นตัวดีกว่าคาด ทำให้คาดการณ์ปี2024 จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาถึง90% จากปี2019
- รัฐบาลวางกรอบการเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินไม่ต่ำกว่า3.5 ล้านล้านบาท เริ่มเบิกจ่าย ต.ค. 2024
Threat : ความเสี่ยง
- ต้นทุนการทำธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากราคาพลังงาน วัตถุดิบ และการขนส่ง
- การบริโภคภาคเอกชนคาดการขยายตัวต่ำจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้าและภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง
การวิเคราะห์หุ้นกู้คุณภาพดี แบ่งออกเป็น2 ส่วน
- Fundamental ประกอบด้วย ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น, ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นไม่รวมInventory, หนี้สินต่อทุน, ความสามารถในการทำกำไร, ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
- Momentum ประกอบด้วย Bloomberg default probability และ Altman Z-score
Bloomberg Default Probability และ Altman Z-score ของกลุ่มค้าปลีก
- จากกราฟBloomberg Default Probability ของBJC ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน แต่หากดูจากค่าBloomberg Default Probability แล้วอยู่ที่0.23% ยังถือว่าเป็นค่าที่ต่ำ หมายความว่าในอีก12 เดือนข้างหน้ามีโอกาสเพียง0.23% ที่BJC จะผิดนัดชำระหนี้
- Altman Z-score ของกลุ่มค้าปลีกทุกตัวมีค่าเกิน0.50 ซึ่งเป็นระดับที่ลงทุนได้
เปรียบเทียบFundamental ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
1. ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น: วิเคราะห์จากตัวเลข อัตราส่วนทุนหมุนเวียน หรือCurrent Ratio มีสูตรดังนี้
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Asset) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
- ถ้าค่า> 1 = สินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน หมายถึงบริษัทนั้นมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นที่ดี
- ถ้าค่า< 1 = หนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน หมายถึงบริษัทนั้นอาจมีปัญหาในการชำระหนี้ระยะสั้นได้
Current Ratio ของ Lotus’s อยู่ที่ 0.93 ในขณะที่ Current Ratio ของ BJC อยู่ที่ 0.66
2. หนี้สินต่อทุน(D/E Ratio): แสดงสัดส่วนการกู้หนี้ยืมสินว่าเป็นกี่เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น มีสูตรดังนี้
หนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) = หนี้สินรวม (Total Debt) / ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
ยิ่งD/E สูง จะแสดงถึงภาระหนี้ที่สูง สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทนั้น โดยD/E จองLotus’s อยู่ที่4.06 ในขณะที่D/E ของBJC อยู่ที่1.69
3. ความสามารถในการทำกำไร: วิเคราะห์จากตัวเลข อัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin) เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่าขาย100 บาท จะมีกำไรสุทธิเท่าไรยิ่งNet Profit Margin สูง แสดงว่าบริษัทนั้นมีความสามารถในการทำกำไร มีสูตรดังนี้
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) = (กำไรสุทธิ / ยอดขายสุทธิ) *100
อัตรากำไรสุทธิของ Lotus’s อยู่ที่ 0.15 ในขณะที่ BJC อยู่ที่ 3.40
4. ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย: วิเคราะห์จากตัวเลข อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย(Times Interest Earned Ratio) มีสูตรดังนี้
อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) = กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)/ ดอกเบี้ยจ่าย(เท่า)
- ถ้าค่า> 1 กิจการมีรายได้เพียงพอต่อดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
- ถ้าค่า< 1 กิจการไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ เจ้าหนี้สามารถบังคับหนี้ได้ตามกฎหมาย
สำหรับอัตราส่วนนี้ ยิ่งมีค่าสูงยิ่งดี โดยค่าเฉลี่ยInterest Coverage Ratio ของLotus’s อยู่ที่3.85 ในขณะที่BJC อยู่ที่2.16
5. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน(Cash Flow from Operating: CFO) คือกระแสเงินสดที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อให้กิจการดำเนินกิจการต่อได้
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของLotus’s อยู่ที่17,637 ล้านบาท ในขณะที่BJC อยู่ที่19,856 ล้านบาท
สรุป2 หุ้นกู้ ค้าปลีกยักษ์ใหญ่Lotus’s vs BJC
“ชมรมหุ้นกู้” รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลีนิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง! 🔔 พบกันทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Facebook และ Youtube ของ Finnomena
สำหรับ EP เจาะลึกหุ้นกู้ของ TPIPP สามารถรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/live/ZQ1QFENP4Fc