โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Hypermarket เปลี่ยนสู่การผูกขาด

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 08 ก.พ. 2563 เวลา 02.50 น. • เผยแพร่ 08 ก.พ. 2563 เวลา 02.50 น.

คอลัมน์ นอกรอบ

โดย ผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทย

 

หากเจาะลึกในรายละเอียด ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในสมรภูมิค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ตช่วงปี พ.ศ. 2536-2548 ถึงแข่งขันกันสูง แต่ก็เป็นไปอย่างเสรี ทั้งจำนวนผู้เล่นค้าปลีกต่างชาติและค้าปลีกสัญชาติไทย หรือในแง่รูปแบบการดำเนินธุรกิจก็มีไฮเปอร์มาร์เก็ตเต็มรูปแบบสไตล์สากล และกึ่งไฮเปอร์มาร์เก็ตแบบไทย ๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าฉุกคิดกลับไม่ใช่อดีต แต่เป็นปัจจุบัน เพราะโครงสร้างการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตกำลังเปลี่ยนแปลง จากที่เคยอยู่ในสมรภูมิการแข่งขันท้ารบแบบเข้มข้น ช้างใหญ่ชนช้างใหญ่ ช้างเล็กรวมตัวสู้ช้างใหญ่ ก้าวสู่จุดที่เรียกว่า “กึ่งผูกขาด” และจะกลายเป็น “การผูกขาด” ในที่สุด

ผู้เขียนซึ่งเป็นนักวิชาการอิสระ อยู่ในแวดวงค้าปลีกและติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดค้าปลีก โดยเฉพาะประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตมาตลอด แม้แต่วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มุ่งสนใจเรื่อง corporate identity ของ Tesco Lotus ไฮเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติอังกฤษ ที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศไทย บทความเชิงวิชาการนี้จะฉายภาพให้เห็นว่า โครงสร้างการแข่งขันตลาดค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ขยับจากตลาดแข่งขันสมบูรณ์สู่ตลาดไม่สมบูรณ์ และกำลังจะกลายเป็นตลาดผูกขาด monopoly ได้อย่างไร ?

“ตลาด” ในมิติการแข่งขัน แล้ว Hypermarket อยู่พิกัดไหน ?

ความหมายสั้น ๆ ของคำว่า “ตลาด” (market) หมายถึง การที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าโดยไม่คำนึงว่าต้องมีสถานที่ติดต่อซื้อขายหรือไม่ ถ้ามีการตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น ถือว่าเกิดตลาดสินค้านั้น ๆ แล้ว ตลาดแบ่งได้ดังนี้

1.ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfectly competitive market)ตลาดในอุดมคติของนักเศรษฐศาสตร์ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfectly competitive market) ถือว่าเป็นตลาดที่ดีที่สุด ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ คือ ใครใคร่ค้า ค้า ใครใคร่ขาย ขาย ผู้ค้ามีจำนวนมาก การกำหนดราคาจะต้องซื้อขายสินค้าในราคาตลาด (market price) หรือปฏิบัติตามราคาตลาด (price taker)

2.ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (nonperfect competitive market) ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ

2.1 ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (monopolistic competition market) ลักษณะเด่นของตลาดนี้ คือ ผู้ค้าหรือผู้ขายมีจำนวนไม่มาก และไม่มีการรวมตัวกัน ที่สำคัญ สินค้าของผู้ค้าแต่ละรายก็ไม่แตกต่างกันมาก ทั้งด้านรูปร่าง คุณภาพ หรือความรู้สึก หากเจ้าใดตั้งราคาสินค้าสูงกว่าผู้ผลิตรายอื่นมากก็มีโอกาสสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งได้ง่าย

2.2 ตลาดผู้ขายน้อยราย (oligopoly market) ตลาดที่ประกอบด้วย ผู้ค้าหรือผู้ขายตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป แต่ไม่ว่าจำนวนผู้ค้าหรือผู้ขายจะมีกี่รายก็ตาม หากผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งเปลี่ยนแปลงราคาและปริมาณขาย มักส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายอื่นในตลาด สถานการณ์เช่นนี้ รายอื่น ๆ จะไม่อยู่เฉย พยายามหาทางโต้ตอบกลับเช่นกัน เพื่อรักษาฐานที่มั่นของตัวเอง และป้องกันการแย่งชิงลูกค้า

2.3 ตลาดผูกขาดแท้จริง (pure monopoly market) ลักษณะสำคัญของตลาด คือ มีผู้ค้าหรือผู้ขายเพียงรายเดียว เรียกว่า “ผู้ผูกขาด” (monopolist) สินค้าไม่สามารถหาสินค้าอื่นทดแทน และผู้ค้าจะพยายามกีดกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาผลิตแข่งขันได้ ทำให้ผู้ผูกขาดมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า (price maker) หรือกำหนดปริมาณขาย (price searcher) อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามต้องการ

3 ยุคแห่งสมรภูมิรบ สถานการณ์การแข่งขันในตลาด Hypermarket

ยุคบุกเบิก เปิดตัวด้วยตลาดแข่งขันสมบูรณ์

สถานการณ์ไฮเปอร์มาร์เก็ต ยุคเริ่มต้นปี พ.ศ. 2536 กลุ่มเซ็นทรัลนับเป็นเจ้าแรกที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจค้าปลีกประเภทนี้ ที่สาขาแจ้งวัฒนะ ใช้ชื่อว่า “Big C Supercenter” เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างซูเปอร์มาร์เก็ต ชั้นบนดิสเคานต์สโตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 กลุ่ม CP หรือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เปิด “Lotus Supercenter” ในศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ด้วยพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร ในเวลาใกล้กัน คุณอนันต์ อัศวโภคิน Land & House ร่วมทุนกับกลุ่มผู้บริหารโรบินสันเดิม ที่มี คุณมานิตย์ อุดมคุณธรรม และคุณปรีชา เวชสุภาพร ได้ก่อตั้ง “Save One Supercenter” ตั้งอยู่บริเวณศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต อย่างไรก็ตาม ภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างเซ็นทรัลกับโรบินสัน “Save One Super-center” ได้โอนมาให้กับ Big C ซึ่งก็คือ Big C สาขารังสิต ทุกวันนี้

ในปีถัดไป พ.ศ. 2538 ห้าง Carrefour จากฝรั่งเศส ร่วมทุนกับเซ็นทรัล ตั้งบริษัท Cencar บริหารค้าปลีกรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเต็มตัว โดยสาขาแรกตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล 3 (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นถนนรามคำแหง)

ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกท้องถิ่นทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดก็ให้ความสนใจรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต และเริ่มขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อาทิ Big King กลุ่มเมอร์รี่ คิงส์, Save Co. ของกลุ่มเมเจอร์, เมโทร, อมรพันธุ์, เอดิสัน, เอ็กเซล, บิ๊กเบลล์, นิวเวิลด์, อิมพีเรียล และสยามจัสโก้

กล่าวได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคบุกเบิกตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ต การค้าขายเป็นไปอย่างเสรี มีการแข่งขันสมบูรณ์ผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก ทั้งทุนขนาดกลางและขนาดใหญ่ หลากหลายรูปแบบ ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 10,000 ตารางเมตร จนถึงขนาดเล็กราว 2,000-3,000 ตารางเมตร มุ่งชูจุดขายเรื่องราคาถูก มีทั้งไฮเปอร์มาร์ตแบบสากลเต็มรูปแบบ จนถึงไฮเปอร์มาร์ตแบบไทย ๆ เน้นราคาถูก สุดคุ้ม

เห็นได้ว่าพัฒนาการของไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย ส่วนใหญ่อิงกับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก โดยลูกค้าเป้าหมายที่เป็นแม่บ้าน มีกำลังซื้อสินค้าระดับปานกลางจนถึงระดับล่าง แต่ต้องการสินค้ามีคุณภาพและราคาสมเหตุสมผล ไม่สนใจแบรนด์เนม ซึ่งการที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตมีทั้งส่วนที่เป็นสินค้าบริโภคประจำวัน (food) และส่วนที่เป็นสินค้าอุปโภคที่จำเป็น (general merchandise) ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เบ็ดเสร็จ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยให้บริการ อาทิ ที่จอดรถกว้างขวาง มีธนาคารเปิดให้บริการ มีโรงภาพยนตร์ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จในที่เดียว จึงทำให้ค้าปลีกรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นที่นิยมอย่างมาก

ยุคหลังต้มยำกุ้ง Hypermarket เข้าสู่ตลาดไม่สมบูรณ์ (Nonperfect Competition Market)

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของไทยเริ่มประสบปัญหาหนี้สินต่างประเทศอย่างรุนแรง โดยปัญหาดังกล่าวเกิดจากผู้ประกอบการขนาดกลางขยายกิจการด้านค้าปลีกและการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์เกินตัว เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ภาระหนี้จึงเพิ่มกว่าเท่าตัว ทำให้ธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต เปลี่ยนมือเป็นของต่างชาติมากขึ้น หลังจากที่กฎหมาย ปว.281 อนุญาตให้นักลงทุนจากต่างชาติสามารถถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 50% ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีสิทธิ์ในการบริหารงาน นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแถบยุโรป

-ปี พ.ศ. 2540 ห้างท้องถิ่นอย่าง Save Co., Big King, Imperial, Tan Hua Seng และห้างขนาดกลาง ๆ เลิกกิจการ

-ปี พ.ศ. 2541 Lotus ขายกิจการให้ Tesco จากอังกฤษ และเปลี่ยนชื่อเป็น Tesco Lotus

-ปี พ.ศ. 2542 Central ขายหุ้นบริษัท Cencar คืนให้กับ Carrefour

-ปี พ.ศ. 2545 Big C ร่วมทุนกับ Casino Group จากฝรั่งเศส

-ปี พ.ศ. 2546 Auchon ซึ่งมีอยู่สาขาเดียวที่เชียงใหม่ ขายกิจการให้ Big C

ยุคตลาดกึ่งแข่งขัน กึ่งผูกขาดสู่ตลาดผู้ขายน้อยราย จาก 3 เหลือแค่ 2

คาร์ฟูร์ (Carrefour) เป็นกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตจากฝรั่งเศส มีสาขาอยู่ทั่วโลก ถ้าคิดจากรายได้แล้ว คาร์ฟูร์จะเป็นกลุ่มค้าปลีกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่เพียงวอลมาร์ต คาร์ฟูร์ในประเทศไทย เปิดสาขาแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538 สิบห้าปีผ่านไป คาร์ฟูร์ไม่อาจฉีกตัวเองให้โดดเด่นจากคู่แข่งที่แข็งแกร่งได้ และจำนวนสาขามีเพียง 45 สาขาเท่านั้น รั้งท้าย ถือเป็นรายที่ 3 ในจำนวนผู้เล่นทั้งหมด โดยมี Tesco Lotus เป็นอันดับ 1 และ Big C เป็นอันดับ 2

ในปี พ.ศ. 2553 คาร์ฟูร์ประกาศถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย Casino Group ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่และบริหาร Big C ตัดสินใจออกจากตลาด ประกาศขาย Big C ในประเทศไทย ทางกลุ่ม BJC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยเบฟเวอเรจ ปิดดีลเข้าซื้อกิจการ Big C มาจากกลุ่ม Casino Group ได้สำเร็จ ทำให้ไฮเปอร์มาร์เก็ตเหลือเพียง 2 เจ้า ในตลาดตอนนี้ แบ่งเป็นของกลุ่มทุนไทย (Big C) และกลุ่มทุนต่างชาติ (Tesco Lotus)

ความจริงที่น่าคิด ? ทำไมยุคบุกเบิกมีผู้เล่นในตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตมากกว่า 10 ราย ผ่านไป 2 ทศวรรษ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างทำให้ทางเลือกในการจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลง จาก 10 ราย เหลือเพียง 2 ราย เท่านั้น

ยุคปัจจุบัน ไฮเปอร์มาร์เก็ตกำลังเข้าสู่ตลาดผูกขาดรายเดียว Monopoly จริงไหม ?

ล่าสุดปลายปี พ.ศ. 2562 กลุ่ม Tesco ได้ประกาศว่า อาจขายกิจการ Tesco Lotus จำนวน 1,967 สาขาในประเทศไทย ท่านใดติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดจะพบว่า กลุ่ม BJC ซึ่งเป็นเจ้าของ Big C ประกาศสนใจที่เข้าร่วมประมูลซื้อ Tesco Lotus หากกลุ่ม BJC เป็นผู้ชนะการประมูลครั้งนี้ จะทำให้ไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารแบบเจ้าของคนเดียว นั่นหมายความว่า ตลาดการแข่งขันค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เคยแข่งขันกึ่งผูกขาดในอดีต จะกลายเป็นตลาดแข่งขันแบบผูกขาดอย่างเบ็ดเสร็จ

เราคงต้องพึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ให้ปฏิบัติหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ป้องกันการผูกขาดอย่างเคร่งครัด และกล้าที่จะบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะการปล่อยให้มีกลุ่มธุรกิจที่ผูกขาดทางการแข่งขันและครอบครองตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตได้ทั้งหมด จะนำไปสู่ปัญหาความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สินของประชาชน

หลังจากอ่านบทความจบ ตอนนี้คุณมีคำตอบในใจแล้วหรือยังว่า

ตลาดค้าปลีก hypermarket เปลี่ยนแปลงสู่การผูกขาดหรือไม่ ?

แล้วอำนาจแท้จริงอยู่ในมือใครกันแน่ ?

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...