พ.ต.อ.ภาคภูมิ ลูกน้องเก่า บิ๊กโจ๊ก เปิดหน้าสู้ความจริง หลายคนถูกทำร้ายจิตใจ-ร่างกาย
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2568 พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย อดีตรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 และอดีตลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาชี้แจงว่า การตัดสินใจเปิดหน้า และนำหลักฐานมาให้ตำรวจในวันนี้ เป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ ที่เห็นว่าน้อง ๆ ต่างได้รับความเดือดร้อน เพราะถูกบังคับให้รับผิดแทน จนครอบครัวได้รับผลกระทบและต้องประสบความลำบาก รวมทั้งมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในคลิปที่นำมามอบให้ตำรวจ เพื่อให้ตนเองเป็นผู้กระทำความผิด รวมถึงคลิปในคดีอื่น ๆ หลายคดีที่พี่น้องตำรวจต้องรับผิดร่วมด้วย ต้องแบกรับในสิ่งที่ไม่ได้กระทำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อครอบครัว จึงเป็นเหตุผลหลักที่ตัดสินใจออกมาในวันนี้
เมื่อถูกถามว่า การเปิดหน้าหรือให้ข้อมูลในวันนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกลับมารับราชการตำรวจอีกครั้งหรือไม่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ กล่าวว่า ตอนเกิดเรื่องใหม่ ๆ เคยทำหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอพิจารณาออกจากราชการ เนื่องจากต้องการต่อสู้ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอย่างเต็มตัว แต่ติดปัญหาคดีวินัยและคดีอาญาที่ไม่สามารถลาออกได้ ก่อนจะถูกไล่ออกในที่สุด หากสังเกตที่ผ่านมา ตนไม่เคยออกไปเรียกร้องที่ไหน มีแต่ต่อสู้ในคดีอาญาและคดีวินัย เพื่อให้กลับเข้ามารับราชการ
กรณีลูกน้องถูกทำร้ายนั้น พ.ต.อ.ภาคภูมิ กล่าวว่า ผู้ที่ถูกกระทำคงเข้าให้การแล้ว ส่วนตนเองไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากพยานในคดีต่าง ๆ ถูกข่มขู่หรือถูกรบกวน ซึ่งอาจเป็นอันตรายและทำให้รูปคดีเสียหาย แต่ยืนยันว่าเคยเห็นบางเหตุการณ์และมีพยานอื่น ๆ ยืนยันเช่นกัน ว่ามีการทำร้ายจริง
วันนี้น้อง ๆ หลายคนกลัวและไม่กล้าออกมา แต่ผมตัดสินใจออกมาเพราะสงสารน้อง ๆ เหล่านั้น ผมเอาชนะความกลัวด้วยความกล้า เอาชนะความเท็จด้วยความจริง ต่อสู้อย่างเปิดเผย เพื่อเอาชนะวิธีสกปรก และเมื่อผมออกมา ผมรู้แล้วว่าจะต้องเผชิญอะไร ก่อนหน้านี้สองวัน มีการพยายามติดต่อมาทางคนรู้จัก เพื่ออยากพบเจอ แต่เมื่อเราตัดขาดการติดต่อไป ก็เริ่มมีไอโอเข้ามาทำลายพ่อแม่และครอบครัวผม สิ่งเหล่านี้ไม่เกินความคาดหมาย แต่ถ้าผมไม่ออกมาพูดความจริง ขบวนการและวิธีการเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ทำลายคนต่อไปเรื่อย ๆ
พ.ต.อ.ภาคภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองไม่ได้ขายนาย แต่ถ้าต้องทำเพื่อน้อง ๆ และองค์กร เพื่อความเป็นธรรม แม้จะถูกกล่าวหาว่าทรยศ ตนก็ไม่ลังเล เพราะการพูดความจริงช่วยให้ผู้อื่นหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่ต้องรับมาเป็นเวลา 10 ปี ส่วนความปลอดภัยของน้อง ๆ บางคนได้รับการดูแลแล้ว สำหรับตนเองไม่กลัว และหากต้องพูดก็อยากบอกว่า ท่านคงรู้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ เรื่องนี้ใกล้จบแล้ว สุดท้ายหนีความจริงไม่พ้น
เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาบอกว่าเสียความรู้สึก พ.ต.อ.ภาคภูมิ กล่าวว่า ไม่โกรธ และยังเคารพในฐานะผู้บังคับบัญชา สิ่งที่ท่านเคยสนับสนุน ตนยังรำลึกบุญคุณ แต่ต้องแยกแยะระหว่างบุญคุณและความถูกต้อง
ส่วนรายละเอียดทางคดีและเอกสารต่าง ๆ ที่มอบให้ตำรวจ ขอให้รอแถลงใหญ่วันที่ 5 มกราคม คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานบุคคลและวัตถุพยาน ซึ่งปัจจุบันมีการข่มขู่พยานและทำลายหลักฐาน ทำให้การทำงานของพนักงานสอบสวนยากลำบาก แต่หลังวันที่ 5 มกราคม จะมีความชัดเจนทั้งหมด ยืนยันว่าไม่ต้องห่วง เพราะความจริงจะถูกเปิดเผย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ ป.ป.ช. ด้วย
พ.ต.อ.ภาคภูมิ กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงและสามารถเอาผิดได้แน่นอน ส่วนคดีเว็บพนันซึ่งเป็นคดีเก่า ตำรวจกำลังหาความจริง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีทอง เป็นคนละกรรม ตนเองมีหน้าที่นำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงไปให้คณะพนักงานสอบสวน ทำงานกันก่อน คาดว่าการสอบสวนจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน