เผด็จศึกเขมร ต้องทุบให้เดี้ยง! ไม่ควรทิ้งปัญหาให้ลูกหลาน
หากไม่เบ็ดเสร็จ มันก็เหมือนโรคร้าย ไม่อยากให้มันมีปัญหาเป็นมรดกให้ลูกหลานต้องมาแก้ แล้วนับวันปัญหามันยิ่งหนักขึ้น การสู้รบมันก็จะหนักขึ้น แทนที่ผลกระทบจะอยู่ที่ชายแดนและหมู่บ้านตามแนวชายแดน มันอาจจะลึกเข้ามาอีก เนื่องจากใครที่รบกัน คนที่รบก็ต้องการชัยชนะ การจะชนะก็ต้องมีการพัฒนาอาวุธขึ้นมาต่อสู้
จากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งล่าสุดจนถึงวันที่ 12 ธ.ค. มีทหารไทยเสียชีวิตแล้วรวมเป็น 11 นาย รายการ "ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" สัมภาษณ์พิเศษ "พลโทกนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี" ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อถามถึงมุมมองของอดีตทหารต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดย "พลโทกนก" กล่าวถึงเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างไทย-กัมพูชาว่า สถานการณ์ล่าสุดก่อนมาถึงปี 2568 เป็นเหตุการณ์ช่วงปี 2554 ที่เกิดปัญหาข้อพิพาทเรื่องการสร้างถนนขึ้นเขาพระวิหาร เพราะไทยก็จะสร้างของไทยขึ้นไปเขาพระวิหาร ซึ่งเขมรมีถนนของเขาอยู่แล้ว ก็พยายามไม่ให้ไทยเข้า ทำให้เกิดมีการยิงใส่ฝ่ายไทยเพราะต้องการให้เรื่องไปที่ศาลโลก
…สำหรับความขัดแย้งรอบนี้ที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงมิถุนายนปี 2568 จนเกิดการปะทะกัน ต้นเหตุเกิดจากเรื่องปัญหาพื้นที่เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งไม่ได้เป็นเส้นเดียวกัน ไทยก็ใช้หลักอ้างอิงตามแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ส่วนเขมรก็อ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยเขมรต้องการเอาพื้นที่พิพาท 3 ปราสาท คือ ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควายไปศาลโลก และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มันเป็นแผนที่ซึ่งไม่ถูกต้องกับภูมิประเทศจริง ทั้งภูเขา ลำน้ำ ซึ่งที่เห็นชัดคือตรงภูมะเขือ แผนที่มันผิด เขาก็ต้องการก้าวขึ้นไปสู่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อต้องการทำให้คนทั้งโลกเห็นว่าพื้นที่ในแผนที่ดังกล่าวเป็นเขตแดนของเขมร โดยหากมีการไปยอมรับ สุดท้ายมันจะไปออกที่หลัก 73 ที่ก็คือทรัพยากรใต้ทะเลที่เกาะกูด ว่ามันจะขยับขึ้นหรือขยับลง ซึ่งเขมรต้องการให้ขยับขึ้น เพราะทำให้เวลาลากออกไปมันจะไปกินพื้นที่เกาะกูด เขมรก็จะได้พื้นที่เพิ่ม
…และที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ พื้นที่ผลประโยชน์ทางทะเล โดยที่ไทยกับกัมพูชาอยู่ติดกัน แต่ยึดถือข้อกำหนดที่ไม่เหมือนกัน ทางบกของเราคือ 1 ต่อ 50,000 ของเขมรคือ 1 ต่อ 200,000 มันก็ไม่ตรงกัน พอมาที่ทางทะเลของเรายึดตามหลักสากล แต่ของเขมรขีดตามหลักตามใจของตัวเอง มันก็เลยไม่ตรงกัน พอไม่ตรงกันแล้วจะมาแบ่งสมบัติในทะเลด้วยกันได้อย่างไร
"พลโทกนก" กล่าวต่อไปว่า สำหรับสงครามรอบใหม่ครั้งนี้ระหว่างไทยกับกัมพูชา หากย้อนไปดูตอนที่เกิดเหตุสู้กันเมื่อช่วง 24-28 ก.ค. 2568 จะพบว่าการสู้รบกันตอนนั้น เมื่อวันที่ 28 ก.ค. มันยังไม่จบมันยังติดที่ปราสาทตาควาย แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าคำว่าจบมันมีหลายแบบ ที่ผมเห็นปัจจุบันมีอยู่สองแบบ จบแบบที่หนึ่งคือจบแบบเส้นปฏิบัติการ เหมือนกับที่ช่องอานม้า คือเราไปหยุดที่เส้นปฏิบัติการ เมื่อหยุดที่เส้นปฏิบัติการ พื้นที่บนภูเขาที่อยู่ด้านหลัง เขมรเขายังอยู่ได้ ที่ก็คือเขมรยังอยู่บนเขา เมื่ออยู่บนเขา มันก็จะมีปัญหากระทบกระทั่งกัน เช่นเราจะไปวางลวดหนาม เขมรก็ไม่ให้วาง มีการแอบมารื้อแล้วก็มาวางทุ่นระเบิด จบแบบที่สองคือแบบที่ภูมะเขือ ที่ไทยเรายึดหมดเลย เขมรขึ้นมาไม่ได้
"การที่จะทำให้ออกมาดีที่สุดต้องทำแบบที่ภูมะเขือ พูดง่ายๆ ว่าบนเขานี้เป็นของเรา เขมรอยู่ข้างล่าง ซึ่งการจะผลักดันไม่ให้เขมรมามีปัญหากับประเทศไทยต่อไป ไม่มีปัญหาชายแดน ต้องไล่ลงจากภูเขาทุกเนินในพื้นที่เทือกเขาพนมดงรักไปให้หมด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะปัญหาเกิดจากเขมรที่มารุกราน”
สำหรับการเกิดเหตุรอบนี้ สาเหตุเกิดจากการประชุมอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหรืออนุสัญญาออตตาวา ที่เจนีวา ที่มีการแฉเขมรกลางโลก มันทำให้เขาเสียหน้า เพราะดูจากช่วงเวลาซึ่งมีการประชุมดังกล่าวเมื่อ 5 ธ.ค. แล้วเว้นหนึ่งวัน พอวันที่ 7 ธ.ค.ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งหากฮุน เซน หรือฮุน มาเนตไม่สั่งมา พวกที่ก่อเหตุจะกล้าขึ้นมายิงไหม ก็ไม่กล้า
"พลโทกนก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2" กล่าวว่า สำหรับการสู้รบครั้งนี้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้รบเฉพาะแค่ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 แต่กองทัพภาคที่ 1 ก็รบด้วย รวมถึงทหารเรือ ด้านกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดก็รบ ที่คือความร่วมมือของกองทัพในการร่วมกันปกป้องรักษาอธิปไตย ความร่วมมือดังกล่าวก็ทำให้ กองกำลังทหารของกัมพูชา ทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ต้องกระจายไปแต่ละด้าน แทนที่จะรวมกันอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ของไทยด้านเดียว ทำให้การควบคุมการยุทธ์ที่ทำให้ฮุน เซน ต้องลงมาบัญชาการเองกับฮุน มาเนต เพราะเห็นแล้วว่าการสู้รบมันไม่ใช่แค่พื้นที่แคบๆ แต่มันยาว พื้นที่มันกว้าง
ฮุน เซน มีประสบการณ์ในการรบ ถึงต้องมาบัญชาการเอง โดยไทยเองในการสู้ครั้งนี้ เราได้ความชอบธรรมที่จะเอาดินแดนเราคืนที่เขมรล้ำเข้ามา รอบนี้คือโอกาสอันดีที่จะต้องทำ ซึ่งเขมรต้องการอยากให้เกิดการสู้รบกัน โดยเขมรรู้อยู่แล้วว่าสู้กันอย่างไรเขมรก็แพ้ แต่ต้องการให้การรบครั้งนี้มันดังเพื่อนำไปสู่เวทีนานาชาติ เพราะหากไปดูตอนที่เคยมีปัญหาในอดีตกับไทย อย่างตอนปี 2551 ตอนนั้นแม้กระทั่งกระสุนปืนใหญ่ยังไม่เคยถูกยิงมาตกใส่ผมเลย มีแค่เช่น อาร์พีจี ปืนกล พอเกิดปัญหาขึ้นตอนปี 2554 ก็มีปืนใหญ่ มี BM-21 เพิ่มขึ้นมา แล้วมารอบนี้มีอาวุธมากขึ้นกว่าเดิม จำนวนเยอะกว่าเดิม
“รบทุกครั้งเขาได้ ไม่ใช่เขาเสีย คือได้การสนับสนุนเพิ่มเติม กองทัพเขาเข้มแข็งขึ้น แล้วประชาชนในประเทศก็เชื่อเขามากขึ้น เพราะใช้วิธีปลุกกระแสเรื่องความรักชาติ”
อย่างสมัยที่ผมอยู่ภาค 2 เวลาจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น กัมพูชาจะมีการยิงกับไทย แล้วเขาก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ซึ่งตอนนี้เขาแย่ เพราะเศรษฐกิจในประเทศกัมพูชาแย่ แล้วงานด้านการต่างประเทศเขาเก่ง เราต้องยอมรับ แล้วมีพวกด้วยเช่นฝรั่งเศส ที่เขมรเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
"พลโทกนก" ยังกล่าวถึงอาวุธที่กัมพูชาใช้ในการสู้รบกับไทยครั้งนี้ โดยเฉพาะ "โดรนพลีชีพ-โดรนสังหาร" ว่าเรื่องของโดรนต้องไปดูสงครามรัสเซียกับยูเครน ที่ตอนนี้ยูเครนใช้โดรนมากที่สุด เพราะสาเหตุเช่นต้นทุนไม่สูง ราคาถูก เมื่อราคาไม่แพงก็ส่งไปทำภารกิจเยอะ ส่งไปรอบหนึ่งร้อยลำ ซึ่งหากเข้าเป้าสักสิบลำก็ถือว่าได้ผล และโดรนมีการพัฒนาต่อเนื่องไม่หยุด ต่อไปโดรนจะทำได้มากกว่าเดิม แต่โดรนก็ยังมีระยะทำการไม่ไกล มีการบอกว่าหากจะให้ได้ผล ต้องอยู่ในระยะ 200-300 เมตรจากคนบังคับถึงจะได้ผล
สำหรับการทำลายฐานที่มั่นของกัมพูชาโดยทหารไทย มองว่ายังไม่หมด ยังมีบางพื้นที่ยังไม่ได้มีการดำเนินการ เช่นตรงพื้นที่ช่องสะงำ ส่วนช่องจอม เท่าที่ดูภาพที่่ว่าถูกระเบิดถูกทำลายไป แต่ผมดูแล้วคิดว่ายังไม่หมด ที่หมดจริงๆ มันไปหมดที่ช่องอานม้า เพราะบางพื้นที่ยังไม่โดนเต็ม ยังเห็นตัวอาคารก็ยังอยู่ ตรงช่องสะงำกับช่องจอมก็ควรจัดการเสีย ส่วนที่ปอยเปต หากจะไปทำอะไร โดยนอกจากบอกว่าที่ต้องทำเพราะเป็นที่ตั้งหรือที่เก็บของอาวุธยิง หรือโดรนสังหารแล้ว ก็ต้องบอกว่าหากยังมีการยิงจรวดมายังฝั่งไทย โดยยิงใส่บ้านประชาชนไทย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เราก็จะทำลายตรงจุดนั้น เราก็บอกเขาไป มันคือการสร้างความชอบธรรม แล้วเราก็ทำได้ พอเราทำได้ ซึ่งพอทำได้ ผลประโยชน์ก็อยู่ที่คนทั้งโลก เพราะคือการทำลายสแกมเมอร์ เพราะที่ปอยเปตยังมีอีกหลายแห่ง และที่นั่นมีกาสิโนเยอะ
สงครามครั้งนี้ คือการสั่งสอนเขมร
ในรายการยังได้มีการสัมภาษณ์ "พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.)" ด้วย โดยเขากล่าวถึงการสู้รบไทย-กัมพูชาว่า มาถึงวันนี้คิดว่าต้องจบภายใน 7 วัน โดยเมื่อดูจากสถานการณ์รอบด้าน จะพบว่าฝ่ายทหารของเราก็รุกในส่วนของพื้นที่ซึ่งเราต้องการกลับคืนมา ไม่ได้ต้องการออกไปมากกว่านั้นเพื่อใช้ต่อรองกับกัมพูชา เมื่อมีจุดประสงค์เพียงเท่านี้ เงื่อนเวลาก็น่าจะจบภายใน 7 วัน แต่เรื่องก็คงไม่ยุติง่ายๆ เพราะหลังจากยุติ มีการเจรจากัน ฝ่ายเขมรก็คงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆ พื้นที่ซึ่งมีการยึดคืน
สิ่งสำคัญก็คือ การขยายพื้นที่การรบออกไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร หากเรายึดพื้นที่ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้แล้ว หากทำได้จะทำให้เขมรต้องมาขอต่อรองกับเรา พอเขามาขอต่อรองกับเรา ทหารไทยก็จะถอยกลับไปตั้งหลักอยู่ในพื้นที่เดิมอย่างสง่างาม แล้วเขาก็จะไม่เข้ามารบกวนอีก แต่หลังจากนั้นคาดว่าอีกประมาณหนึ่งเดือน เขมรก็จะข้ามเกาะขอบแดนเข้ามาก่อกวนตามเดิม
สงครามไทย-เขมรรอบนี้ มองว่าเป็นสงครามที่เราได้มีการสั่งสอนเขมรแบบนิดๆ ซึ่งโอกาสแบบนี้มีน้อยมาก มองว่าต่อไปไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะหากต่อไปจะเกิดขึ้น ก็จะเป็นลักษณะการก่อกวนไทย แต่จะไม่มาก่อสงครามแบบตอนนี้ ในเมื่อเรายังจำเป็นต้องอยู่บนโลกที่มีการบีบบังคับจากมหาอำนาจที่เข้ามาบีบทั้งสองฝ่าย เราก็จำเป็นต้องหยุดภายใน 7 วัน ผมก็ขอให้หากจะต้องหยุด ก็เอาเท่าที่พอ อย่าไปฝืน เพราะต้องยอมรับว่ารอบนี้ กัมพูชามีการเตรียมตัวมาดี เรามีตัวอย่างให้เห็นแล้วหลายสงคราม เช่นสงครามเวียดนามกับสหรัฐฯ ที่แม้สหรัฐฯ มีอาวุธทันสมัยแต่ก็ไม่สามารถชนะได้ หรือสงครามยูเครนกับรัสเซีย ที่รัสเซียก็ยังไม่สามารถชนะได้ แม้จะมีอาวุธที่เหนือกว่าเยอะ เพราะรัสเซียไม่สามารถใช้อาวุธได้เต็มที่ เราก็เหมือนกัน เราก็ต้องอยู่ในสภาพนี้ เรามีอาวุธที่เหนือกว่าเขมรมาก แต่เราก็ไม่สามารถใช้อาวุธได้เต็มที่ แต่ก็หวังว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในกัมพูชาในปีหน้า คือรัฐบาลกัมพูชาอาจจะเป็นรัฐบาลผสมหลายฝ่าย ที่ไม่ได้มีแต่อำนาจของฮุน เซนคนเดียว ซึ่งตรงกับความต้องการของมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่ต้องการให้รัฐบาลกัมพูชาเป็นรัฐบาลผสม
หากจบแบบไม่เบ็ดเสร็จ มันก็เหมือนโรคร้าย เป็นปัญหาให้ลูกหลาน
ด้าน "พลโทกนก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2" กล่าวเสริมหลังถูกถามว่า หากได้เป็นผู้นำเหล่าทัพ ให้ยกสัก 1 ประเด็นสำคัญที่จะไปบอกกับนายกฯ โดยกล่าวว่า "ก็คือจะจบแบบไหน หากจะจบโดยไม่ให้มีปัญหาต่อ ก็จะใช้เวลามาก คือเขมรต้องลงมาจากเขา แต่หากจบแบบที่พลโทนันทเดชบอก คือจบตอนนี้แล้วต่อไป เขมรก็เข้ามาอีก มันก็จะเรื้อรัง”
…คือจบตอนนี้อาจจะสวยอยู่ แต่พออีกสักพัก เดี๋ยวเขมรจะกลับขึ้นมา ซึ่งหากขึ้นมา การรักษาพื้นที่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากเราได้พื้นที่มาแล้ว ต่อไปเราจะรักษาพื้นที่ไว้อย่างไร เพราะพื้นที่มันจะเยอะขึ้น โดยการให้เขมรลงจากเขา หากจะให้ลงมาสักส่วนหนึ่งเช่น 70-80 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ดี เพราะตราบใดที่เขมรคิดจะรุกราน มันก็ยากที่เราจะรับมือกับเขา
เมื่อถามว่าแต่หากมีการทุบสแกมเมอร์ กาสิโน ยังคงปิดด่านอีกเป็นปี จะทำให้เขมรก่อกวนไทยน้อยลงหรือไม่ "พลโทกนก" กล่าวว่า ก็น้อยลง จะทำให้หยุดเขมรได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าเขมรจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมา เพราะเขมรไม่ยอมเลิกง่ายๆ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่มีผลต่อเรื่องดินแดนตรงนั้นใครก็อยากได้ ส่วนสแกมเมอร์หากปล่อยให้เกิดขึ้นเยอะ เงินจากสแกมเมอร์ก็จะเข้ามากินประเทศไทยเรา เพราะรายได้ตรงนี้มันมหาศาล อย่างตึก 28 ชั้นที่ปอยเปต หากจะทำกันจริงๆ ก็ควรต้องให้หายไป ส่วนที่บอกว่าจะจบภายใน 7 วัน ผมไม่เชื่อ เพราะว่าอยู่ที่ การจบของเรา จบแบบไหน ถ้าจบแบบค้างคาเหมือนช่องอานม้า มันจบได้ ไม่กี่วันก็จบได้
"แต่หากจะจบให้เบ็ดเสร็จเลย ไม่ให้มีปัญหาเลย มันจบยาก เพราะหากไม่เบ็ดเสร็จ มันก็เหมือนโรคร้าย ก็ไม่อยากให้มันมีปัญหาเป็นมรดกให้ลูกหลานต้องมาแก้ แล้วนับวันปัญหามันยิ่งหนักขึ้น การสู้รบมันก็จะหนักขึ้น แทนที่ผลกระทบจะอยู่ที่ชายแดนและหมู่บ้านตามแนวชายแดน มันอาจจะลึกเข้ามาอีก เนื่องจากว่าใครที่รบกัน คนที่รบก็ต้องการชัยชนะ การจะชนะก็ต้องมีการพัฒนาอาวุธขึ้นมาต่อสู้"
ส่วน MOU 2543- MOU 2544 ไทย-กัมพูชา ถึงตอนนี้ก็เห็นแล้วว่าใช้ไม่ได้ บางคนคิดมากไป อ้างโน่นอ้างนี่ว่าเป็นกรอบเจรจา ก็ดูอย่างข้อตกลงที่ไทยกับกัมพูชาเซ็นกันที่มาเลเซียเรื่องการหยุดยิง ก็เห็นแล้วว่าเขมรก็ยังละเมิด เราคิดแบบสุภาพบุรุษ แต่เขมรไม่ได้คิดแบบนี้กับเรา และแผนที่ 1 ต่อ 200,000 คือยาพิษที่ทำให้เราเสียดินแดนเพราะเขมรเอาไปอ้าง ถ้าใครคิดจะกอด 1 ต่อ 200,000 คนนั้นคือคนที่ทำให้เสียแผ่นดินให้กับกัมพูชา ก็อยากให้ร่วมมือร่วมใจกันในการรักษาแผ่นดินให้กับลูกหลานของเราและประเทศไทย.