โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ประโยชน์ของคาร์ซีท ที่พ่อแม่ต้องรู้ไว้

Motherhood.co.th

เผยแพร่ 28 ต.ค. 2562 เวลา 02.30 น. • Motherhood.co.th Blog

ประโยชน์ของคาร์ซีท ที่พ่อแม่ต้องรู้ไว้

ช่วงปิดเทอมอย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่คงจะพาเด็กๆไปเที่ยวกันบ่อยหน่อย หากต้องเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่ก็ควรคำนึงถึง "ประโยชน์ของคาร์ซีท" เอาไว้ให้หนัก เพราะหากให้ลูกนอนในส่วนของเบาะหลังหรือนั่งตักผู้ใหญ่แทนการใช้คาร์ซีท มองข้ามเรื่องของความปลอดภัยก็เท่ากับเราเพิ่มความเสี่ยงเรื่องของความปลอดภัยของเด็กๆให้มากขึ้นไปอีก

คาร์ซีทคืออะไร

คาร์ซีท (Car seat) คือ อุปกรณ์ที่นั่งสำหรับเด็ก อายุ 0-12 ปี สำหรับติดตั้งบนรถยนต์ในขณะเดินทาง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากการกระแทก การชน หรือการเบรกกะทันหัน เพราะหากไม่มีคาร์ซีทแล้วปล่อยให้เด็กนอนโดยไม่มีอะไรยึดตัวเขาไว้ หากเกิดการเบรกหรือเกิดอุบัติเหตุจะทำให้เด็กกระเด็นไปกระแทกกับตัวรถได้ หรือหากเลวร้ายกว่านั้น อาจกระเด็นออกจาตัวรถได้ เพราะเข็มขัดนิรภัยขนาดมาตรฐานก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน มันไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับกับสระรีระของเด็กช่วงวัย 0-12 ปี ทำให้แม้เด็กจะคาดเข็มขัดแล้วก็ยังหลวม ไม่พอดีตัว และไม่ช่วยทำให้เด็กปลอดภัยขึ้น คาร์ซีทเลยถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมันสามารถแก้ปัญหาและเพิ่มโอกาสรอดของลูกน้อยได้สูงขึ้นมากทีเดียว

ทุกครั้งที่ให้ลูกนั่งรถยนต์ ต้องให้เขานั่งบทคาร์ซีทเสมอ

ทำไมคาร์ซีทถึงจำเป็น

จากการสำรวจเคสอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น พบว่าเด็กที่ไม่ได้นั่งอยู่กับคาร์ซีทมีเปอร์เซ็นเสียชีวิตและบาดเจ็บสูงกว่าเด็กที่นั่งคาร์ชีท สูงสุดถึง 71% และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตสำหรับเด็ก 1-4 ขวบลดได้ถึง 54% ผลของการสำรวจนี้ตอบคำถามและเป็นเหตุผลได้อย่างดีว่า ทำไมคาร์ซีทถึงมีความจำเป็นต่อลูกน้อยสุดที่รักของคุณ แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาสำหรับคุณพ่อคุณแม่คือการตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อคาร์ซีทแบบไหนดี นอกจากพิจารณาจากรูปลักษณ์ รูปทรง ที่ตอบโจทย์การรองรับสรีระของลูกน้อยแล้ว ยังมีปัจจัยอะไรที่ต้องคำนึงถึงอีกบ้าง

การแบ่งประเภทของคาร์ซีท

เราสามารถแบ่งคาร์ซีทได้ตามช่วงอายุของเด็ก ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

1. คาร์ซีทสำหรับเด็กวัยแรกเกิด

ซึ่งยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ตามลักษณะของสินค้า คือ

  • แบบกระเช้า ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด- 18 เดือน (หรือ 12 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ)
  • แบบตัวใหญ่ ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด- 4 ปี (หรือ 7 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ)

2. คาร์ซีทสำหรับวัยเด็กเล็ก

สามารถใช้ได้กับเด็กอายุตั้งแต่ 9 เดือน - 4 ปี

3. คาร์ซีทบูสเตอร์สำหรับเด็ก (Booster seat) 

บูสเตอร์เหล่านี้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ ตามอุปกรณ์เสริมที่มีมาในชุด คือ

  • แบบมีที่กั้นด้านหน้า มีพนักพิงพร้อมเบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 1 – 12 ปี
  • แบบมีพนักพิงและเบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 3 – 12 ปี
  • แบบมีแต่เบาะรองนั่ง ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 5 – 12 ปี
คาร์ซีทมีหลายแบรนด์หลายรุ่น ต้องคำนึงถึงปัจจัยในการเลือก

ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อคาร์ซีท

  • นอกจากช่วงวัยการใช้งานของลูกแล้ว ยังต้องดูตำแหน่งติดตั้ง ลักษณะของเบาะรถ ซึ่งโดยส่วนใหญ่คาร์ซีทจะสามารถติดตั้งได้กับรถทุกประเภททั้งรถเก๋ง รถกระบะ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของเบาะรถยนต์ที่จะติดตั้งด้วย
  • ความแตกต่างของคาร์ซีทแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ จะต่างกันที่วัสดุ ราคา ลักษณะของเบาะ ที่มีทั้งแบบผ้าและแบบหนัง เบาะผ้าจะให้ความเย็น แต่ต้องหมั่นนำออกมาซักทำความสะอาด ส่วนเบาะหนังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย
  • น้ำหนักของคาร์ซีท ขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากคุณแม่จะยกขึ้น-ลงเองคนเดียวบ่อยๆ ก็ควรเลือกรุ่นที่มีน้ำหนักไม่มากเกินไปนัก
  • ระบบการติดตั้งคาร์ซีท มี 2 แบบคือ แบบเข็มขัด (Safety belt) และแบบ Isofix

ระบบการติดตั้งแบบเข็มขัดและแบบ Isofix ต่างกันอย่างไร?

Isofix เป็นระบบมาตรฐานสากลที่ให้ความปลอดภัยที่สุด รวมทั้งมีวิธีใช้งานง่ายที่สุด และเร็วที่สุดในการติดตั้ง ขณะที่ลดความเสี่ยงสูงในการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งกรณีเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นกับคาร์ซีทที่ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์

ภาพตัวอย่างงานวิจัยระบบแถบป้องกันด้านหน้า

มาตรฐานความปลอดภัยของคาร์ซีท

คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจสหภาพยุโรป (UNECE) จำนวน 56 ประเทศ ได้วางแนวทางการทำงานเพื่อพัฒนาความปลอดภัยในการใช้รถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาเพื่อพัฒนากฏระเบียบ ECE R44 และ 129 โดยการนำเสนอมาตรฐาน i-Size ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางโดยรถยนต์

โดยปกติแล้วเด็กคาร์ซีทซึ่งผ่านตามมาตรฐานความปลอดภัย ECE R44/04  นั้น จัดว่ามีความปลอดภัยและถูกต้องตามกฏหมาย แต่หากคาร์ซีทดังกล่าวผ่านมาตรฐาน i-Size แสดงว่าคาร์ซีทตัวนี้จะมีความปลอดภัยสูงกว่ามาก สาเหตุมาจาก

  • มีการปรับปรุงการป้องกันคอและศรีษะ
  • สามารถป้องกันจากการชนที่เกิดขึ้นจากด้านข้าง
  • ลดความเสี่ยงในการเดินทางโดยหันหน้าออกเมื่ออายุยังน้อย ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กมากกว่า
  • ลดความเสี่ยงในการติดตั้งผิดพลาด

เนื่องจากคาร์ซีทที่ใช้ระบบแถบป้องกันด้านหน้า (Shield system) มีความเสี่ยงต่อการหลุดของเด็กออกจากคาร์ซีท ทำให้เกิดการกระแทกของศรีษะกับหลังคารถหรือกับตัวคาร์ซีทเอง

ให้ลูกนั่งคาร์ซีทไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสูงถึง 140 ซม.

จะต้องให้ลูกใช้คาร์ซีทไปถึงเมื่อไหร่?

ตามข้อมูลแล้ว เด็กควรต้องนั่งคาร์ซีทไปจนถึงอายุ 4-7 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคาร์ซีทแต่ละรุ่นว่ารับน้ำหนักได้ถึงเท่าไหร่ หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนมาเป็นที่นั่งเสริม หรือ booster seat ที่ช่วยยกระดับตัวเด็กให้สูงขึ้นเพื่อจะได้สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยของตัวรถได้พอดี และที่สำคัญคือ ต้องให้เด็กนั่งเบาะหลังเสมอ จนกว่าเด็กจะมีความสูงเกิน 140 ซม.ขึ้นไป หรือถ้าวัดความปลอดภัยตามเกณฑ์อายุ ก็ต้องรอให้ลูกอายุถึง 13 ปี ถึงจะสามารถนั่งเบาะหน้าข้างคนขับได้ หรือในสหภาพยุโรปที่การบังคับใช้คาร์ซีทยังคงขึ้นอยู่กฎหมายแห่งชาติ ซึ่งกำหนดให้นั่งคาร์ซีทจนกว่าจะมีความสูงถึง 135 หรือ 150 ซม.

ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นเรื่องสำคัญนะคะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้เราจะคิดว่าเราระมัดระวังในส่วนของเราดีมากเพียงใดแล้ว แต่เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของลูกรัก ทุกครั้งที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องให้เขานั่งคาร์ซีทเสมอนะคะ

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...