‘โรม’ แฉเครือข่ายทุนสีเทาโยงเอ็มโอยู กระทรวงดีอี กับก๊วนเอกชน
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีความผิดปกติของการลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับภาคเอกชน ว่า เบื้องต้นมีหลายประเด็น ซึ่งถ้ามองแบบแยกประเด็นก็จะไม่เห็นว่าปัญหาใหญ่แค่ไหน การดำเนินคดีก็จะยากมาก เพราะแต่ละส่วนถ้าไม่เอามาต่อเนื่องกัน ก็จะไม่เห็นว่ามีความผิดอย่างไร ทั้งนี้กรณีบริษัท ไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) ซึ่งทำเอ็มโอยูกับกระทรวงดีอี โดยเบื้องต้นหน่วยนั้นมีสถานะเป็นกองทุน โดยปกติก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังกองทุน ซึ่งหาไม่ยาก เพราะก็อยู่ในห้องที่มีการเซ็นเอ็มโอยู
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตัวเอ็มโอยูมีการยกเลิกไปแล้ว ทางกระทรวงดีอีระบุว่าจะจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาว่า คนที่เกี่ยวข้อง รายละเอียดผู้กระทำความผิดจะเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่จะมาเป็นพยานทั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ และนางสาวนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ รวมถึงกรณีนายเบน สมิธ ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในสถานะอะไรนั้น ซึ่งจากการสอบถามก็ไม่พบว่ามีหนังสือเชิญ ถือเป็นพฤติการณ์ที่ผิดปกติของระเบียบราชการ
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ บริษัท Prime Opportunity Fund VCC ยังมีความเชื่อมโยงกับบริษัทที่ทำคริปโตชื่อว่า WorldCoin ซึ่งมีส่วนในการดำเนินการสแกนข้อมูลชีวมาตรหรือม่านตาของผู้ใช้งานจำนวนมากกว่าล้านราย และปัจจุบันได้มีการสั่งให้ลบข้อมูลในการสแกนไปแล้ว เรื่องนี้หากไม่สามารถลบข้อมูลได้ หรือพบว่ามีการกระทำความผิด จะมีการประสานงานข้ามหน่วยงานเพื่อร้องทุกข์และดำเนินคดี ทั้งอาญาและแพ่งต่อไป โดยบทลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือผู้กระทำความผิดอาจถูกปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อหนึ่งบัญชีผู้ใช้งาน (ID) รวมๆ เป็นเงินหลายพันล้านบาท
รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษในเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะไปเชื่อมถึงอีกบริษัทหนึ่งชื่อว่าฮุ่ยวันกรุ๊ป หรือฮุ่ยวันเปย์ โดยพบว่าเคยมีคดีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตำรวจสอบสวนกลางเคยทลายไปแล้วรอบหนึ่ง แต่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะพบเพียงหนึ่งวอลเล็ตที่เกี่ยวข้องกับความผิด มีเงินประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันยังมีการยึดอายัดได้เพียง 46 ล้านบาทเท่านั้น แต่เราทราบว่าทาง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สอบสวนกลาง และตำรวจไซเบอร์ ได้มีการขยายผลในเรื่องนี้ เราก็คาดหวังว่าการขยายผลดังกล่าว จะนำไปสู่การพบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ไปเซ็นเอ็มโอยูกับกระทรวงดีอี ที่เชื่อมโยงกับบริษัทต่างๆ เช่น ฮุ่ยวันกรุ๊ป, กองทุน Prime Opportunity Fund VCC และ WorldCoin
“ทั้งฮุ่นวันก็ดี ทั้งไพรม์ฯ ก็ดี แล้วก็รวมไปถึงเวิลด์คอยน์ ก็ดี วันนี้เราพบว่า ทั้งหมดนี้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน และอยู่ในเครือข่ายที่เป็นผู้ต้องสงสัยทำผิดกฎหมายหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล และอาจจะเกี่ยวพันกับสแกมเมอร์ที่มีความผิดร้ายแรงต่อไปในการดำเนินการต่อ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีนายเบน สมิธ นั้นอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายจับ ส่วนของนายยิม เลียก และภรรยานั้น ปัจจุบันมีการออกหมายจับแล้ว และขอออกหมายแดงเรียบร้อยแล้ว หากไปปรากฏตัวที่ไหนก็สามารถดำเนินการจับกุมได้ หากหลบหนีไปอยู่ที่กัมพูชา ไทยก็มีกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับกัมพูชาอยู่ แม้ว่าจสถานการณ์ของสองประเทศไม่ปกติ แต่ก็สามารถใช้กลไกนี้ในการดำเนินการเพื่อขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากกัมพูชาได้ ไม่ว่าจะเป็นคนกัมพูชา หรือภรรยาที่เป็นคนไทย เพื่อเข้ามาดำเนินคดีตามกฎหมายไทยได้ นอกจากนั้น ในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ ตนจะไปชี้แจงต่อกระทรวงดีอีที่เป็นเจ้าภาพต่อไป.