ความจริง 2 ด้าน ของ Psychological Safety ดีลเรื่องความปลอดภัยทางจิตใจ | โน้ต ศรัณย์ คุ้งบรรพต - Exclusive Writer
คุณกล้าพูดในที่ประชุมไหม? หรือเลือกที่จะเงียบ เพราะกลัวจะโดนตำหนิ โดนดูถูก หรือ คนมองว่าโง่? นี่แหละ… ปัญหา “Psychological Safety” ที่กำลังร้อนแรงที่สุดในโลกออฟฟิศตอนนี้
บางองค์กรได้รับผลสะท้อนออกมาจากความคิดเห็นของพนักงานว่า พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่กล้าพูด เพราะถ้าพูดออกมาแล้ว เกรงว่าจะเกิดผลเสีย เพราะส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้น้อย เป็นลูกน้อง เพราะพูดอะไรออกไปแล้วก็กลัวว่าเดี๋ยวจะได้รับผลกระทบหรือการเอาคืนจากหัวหน้าไม่ว่าก็ทางใดทางหนึ่ง
หลังจากนั้นก็เกิดกระแสการ ขยายขอบเขตของเรื่องนี้ ลุกลามจนเกิดเป็นกระแสในวงการ เกิดการรณรงค์เรื่องนี้และต่อยอดไปในเรื่องอื่น ๆ ต่อมาเช่น Feel Safe to Speak, การโดน Kill Idea, หรือกระทั่งการฆ่า Innovation เพราะคนไม่กล้าพูด
แต่ก็ไม่รู้ว่าไปตีความกันท่าไหน แม่น้ำทุกสายไหลเข้าสู่คนที่เป็นหัวหน้างาน กลายเป็นคนรับผิดไปเต็ม ๆ 100% ว่าเป็นผู้ร้ายที่ทำลายความสุข เสรีภาพ และการกล้าพูดกล้าแสดงออกของทีมงาน
ทว่า โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าหัวหน้างานมีส่วนแน่ ๆ ครับ ในการที่จะทำให้บรรยากาศในการทำงานเป็นอย่างไร คนจะกล้าพูดหรือเห็นต่างไหม หัวหน้าคือคนสำคัญ แต่การที่จะตีความ ตีขลุม ว่าปัญหาเรื่อง Psychological Safety เกิดมาจากหัวหน้างานล้วน ๆ นั้น อาจจะดูไม่ใช่ตรรกะ ที่สามารถตีขลุมได้ 100%
ทุกวันนี้แม้อาจจะไม่ได้มีวิจัยอะไรมารองรับ 100% แต่ผมว่าหัวหน้างานหลายคนเริ่มเกิดอาการคิดในใจว่า…
“สรุปแล้วฉันพูดอะไรได้บ้าง”
“จะยังสามารถแนะนำ ตำหนิ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด หรือให้ Feedback แบบตรงไปตรงมากับทีมงานได้ไหม”
เพราะในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างดูอ่อนไหวไปเสียหมด แน่นอนครับ…ไม่มีใครอยากตกเป็นผู้ร้าย จึงเกิดเป็นความกระอักกระอ่วนใจ เหมือนโลกจะเทไปข้างทีมงานที่หลายคนคอยแต่จะหงายการ์ด Psychological Safety และ I don't feel safe to speak ประหนึ่งว่า เอาสองวรรคทองนี้มาไว้จัดการกับหัวหน้า
วันนี้เลยขออนุญาตมาเสนอความคิดเห็นบางอย่าง เพื่อให้ “ทุกฝ่าย” ได้มองให้ครบ และยังสามารถ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับคนที่เป็นหัวหน้างาน
1. คุณต้องรู้ก่อนเลยว่า คนเกรงคุณจาก “ตำแหน่ง” อยู่แล้ว
คุณมีอำนาจที่สูงกว่าคนที่เป็นลูกน้องหรือทีมงาน คำพูดหรือการแสดงออกของคุณ มีผลต่อสภาพจิตใจของเขาโดยอัตโนมัติแน่นอน การแสดงออกจึงควรจะอยู่บนขอบข่ายที่เหมาะสม และมีความเป็นมืออาชีพในการเลือก Word Choice หรือ การเลือกใช้คำพูด รวมไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออกจึงสำคัญ
ไม่ใช่ไปใช้ถ้อยคำ หรือการแสดงออกที่กดดัน ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาโดนด้อยค่า ผมเคยได้ยินครับว่าหัวหน้าบางคนไม่พูดคำหยาบเลย แต่กดดัน กดขี่ และจิกลูกน้อง แล้วออกมาพูดว่า ”นี่ฉันไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะ“
(ลูกน้องหลายคนก็อาจจะคิดว่า …พี่ครับ ถ้าจะเหน็บแนม จะจิก จะบี้ จะชี้หน้า มองด้วยหางตา จนแสบทรวงขนาดนี้แล้ว ก็พูดหยาบไปเลยเถอะครับ เพราะมันฟังดูไม่ต่างกัน…)
2. ติด Self-Filter ตรวจสอบความตั้งใจ (Intention) ของตัวเองเสมอ
คุณต้องตรวจเช็กตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดหรือแสดงออกนั้น เป็นความหวังดีจริงๆ และอยู่บนเนื้อหาของงาน ไม่ใช่ว่านึกสนุกที่ได้เอาตัวเองไปข่มเขา หรือเป็นความสะใจ หรือเข้าข่ายว่า “ก็ฉันสะดวกแบบนี้” “ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้” หรือ ล้ำเส้น มันส์ปาก อันนี้ไม่ใช่นะครับ มันจะนำไปสู่การสร้างแรงกดดันที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกเชิงลบอย่างแน่นอน ลองคิดง่าย ๆ ว่าถ้าลูกน้องบางคนเขาเรียนชกมวยมา และเป็นความสะดวกของเขาเหมือนกัน ที่จะแสดงออกในแบบของเขาโดยใช้ศอกและเข่า เรื่องมันจะยาว ได้นอนนับดาวกันขึ้นมา
อย่าลืมนะครับ ความตั้งใจแท้ ๆ ของคุณเป็นเรื่องที่คนสัมผัสได้ คนเรามันดูกันออก สื่อมันออกมาครับให้ทีมงานได้เห็นทิศทาง ความมุ่งมั่น หวังดี เพราะทีมงานต้องการคุณในฐานะผู้นำ ผู้ชี้ทาง
3. แยกบทบาทระหว่าง บทบาท “เราคือหัวหน้า” กับ บทบาท “เราเมื่อถอดหมวกหัวหน้า” ให้เป็น
ต้องชัดเจนว่า สิ่งที่แสดงออกหรือให้คอมเมนต์นั้น คุณกำลังอยู่ในบทบาทของหัวหน้างานที่เป็นมืออาชีพ แต่ต้องไม่ลืมครับว่า เมื่อถอดหมวกหัวหน้างานออก คุณและทีมงานก็คือคนเหมือนกัน มีหน้าที่และบทบาทอื่น ๆ นอกเหนือจากชีวิตออฟฟิศเหมือนกัน
ดังนั้นคอมเมนต์จึงต้องเป็นคอมเมนต์แบบมืออาชีพและจบในเนื้อหางาน อย่ามาล้ำเรื่องส่วนตัว อย่าหยาบคาย หรือล่วงเกินความเหมาะสม โลยล่วงเกินไปเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น อย่าไปพูดตำหนิถึงเรื่องที่เราคาดเดาเองว่าเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ เรื่องครอบครัว หรือเรื่องที่มาของพฤติกรรมที่คุณคาดเดาไปเอง รวมถึงไม่ควรไปขุดเรื่องราวในอดีตมาตำหนิไม่จบไม่สิ้น เพราะเมื่อสื่อสารกันจบแล้ว มันควรลงเอยในแบบที่ว่า แม้จะทุ่มเถียงกันแทบตายในงาน แต่พองานจบ ยังตบไหล่ แล้วเดินไปกินกาแฟกินข้าวด้วยกันต่อได้ ในฐานะเพื่อนที่ดีต่อกัน หรืออย่างน้อย ไม่เก็บเอามาเป็นอารมณ์แบบ งานจบ คนไม่จบ
สำหรับคนที่เป็นลูกน้อง
1. สำรวจตัวเองก่อน อย่ารีบหงายการ์ด “โดนทำร้าย” ทันทีหรือตลอดเวลา
เมื่อได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ หรือคอมเมนต์จากหัวหน้างาน ก็อย่าพึ่งรีบด่วนสรุปไปว่าเค้ากำลังมาทำร้ายเราครับ บางทีฟังให้ถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริง ๆ เสียก่อน ว่ามันคือเพื่อการพัฒนาหรือไม่ เพราะหัวหน้าบางคนอาจจะสื่อสารไม่เก่ง แต่ตั้งใจดีก็มี
ถัดมา ลองเช็กตัวเราเองว่า…แล้วเราเองล่ะ ได้ส่งมอบงานที่ดีมีคุณภาพจริง ๆ หรือไม่ หรือถ้ามันเป็นจริงอย่างที่เขาพูด (เออ งานเรามันก็ยังไม่ได้จริง ๆ ) แล้วเราเห็นประโยชน์จากมันได้ เราก็ต้องน้อมรับมันครับ อย่าเปิดโหมด Default ผลักหัวหน้าไปอยู่ฝั่งตรงข้ามเสมอ หรือมองเป็นศัตรูในทุก ๆ เรื่อง หลายคนยังไม่ทันทำอะไรเลย เริ่มแบ่งฉันแบ่งเธอกับหัวหน้า ทั้งทั้งที่จริง ๆ แล้วเราลืมไปหรือเปล่าครับว่า ในการทำงานเราพึ่งพากัน ไม่ใช่แค่หัวหน้างานใช้งานเรา แต่จริง ๆ เราก็ใช้งานหัวหน้างานได้ โดยเฉพาะในบางเรื่องที่เราไม่สามารถไปถึงได้ บางเรื่องต้องใช้ประสบการณ์ เช่น การต้องไปดีลกับคนยาก ๆ หรืองานที่มีความซับซ้อน เราส่งมอบให้เขาช่วยได้ และอย่าลืมครับว่า ผลงานของเรา ก็ผลงานของเขาเหมือนกัน ถ้าเราเจ็บ เขาก็เจ็บ ดังนั้นเราจะเห็นความจริงนี้ได้ไม่ยาก ว่าจริง ๆ เราต่างเกื้อกูลกัน
2. รู้งานให้ถ่องแท้ และ เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง
คนที่ทำงานมีแบบแผน เป็นมืออาชีพ สามารถดีลกับปัญหาแบบมีสติ แก้ปัญหาแบบมองที่ปัญหา และมุ่งไปที่การแก้ปัญหาและทางออก เตรียมพร้อมเสนอทางออกในงาน จงมั่นใจได้เลยว่า อย่างไรเสียใครก็ทำร้ายหรือทำลายความมั่นคงทางใจของเราไม่ได้ เพราะเราคือคนที่รู้งานของเราดีที่สุด (ถ้ายังไปไม่ถึงจุดนั้น ต้องรีบไปให้ถึงให้ได้นะครับ)
เมื่อเราไปถึงจุดนั้นได้ เราจะมีวิทยายุทธติดตัว จะมี “พระรอด” มาคล้องที่คอแบบอัตโนมัติ และจะไม่มีใครทำร้ายเรา ไม่ว่าจะทางกาย วาจา หรือใจ (สาธุ) เพราะผลงาน ความรู้ ความสามารถจะคุ้มครองเรา หรือแม้วันที่เราเจอปัญหาแต่เรามีแนวทางที่ดีในการแก้ปัญหานั้น นั่นก็จะทำให้เราแข็งแรงพอ ในแบบที่ต่อให้ใครจะพยายามมาถากถาง เสียดสี ต่อว่าเรา เราก็จะพูดได้เต็มปากว่า นี่เรากำลังจัดการแบบมืออาชีพอยู่ และมีระบบแบบแผนดังต่อไปนี้บลา ๆ และถ้าใครมีคำแนะนำที่ดีกว่านี้ เชิญกล่าวมาเลยครับ/ค่ะ (ยื่นไมค์)
ดังนั้น ถ้าเราทำครบ คิดครบแล้ว ยังจะมีหัวหน้าหรือใครก็ตามพยายามมา “ป.ส.ด.” ใส่เรา เราจะสามารถยืนตระหง่าน ทระนง ในดงคน ป.ส.ด. ได้อย่างสง่างาม โดยที่เราไม่ต้องจิตแตกตาม
3. ถ้าเจอหัวหน้า Toxic จริง ๆ ต้องกล้า Take Action
สุดท้าย ถ้าสถานการณ์มันแย่และไม่เหมาะสมจริง ๆ ผมก็ไม่แนะนำให้ทนนะครับ แต่เราต้องได้ผ่านการกรองมาแล้วจากสองข้อด้านบน คือมันเห็นชัดแล้วแน่ ๆ ว่าหัวหน้างานคนนี้เป็นคนหยาบ และเป็นคนที่กดขี่มนุษย์ทางจิตใจ ไร้ความประสงค์ดี ในแบบที่เราเองก็ไม่ได้อ่อนแอโลกสวยหรืออ่อนไหวเกินกว่าเหตุ อันนี้แนะนำว่าควรที่จะพูดคุยโดยตรง ให้ฟีดแบค หรือถ้ายังไม่สำเร็จ ไม่มีการปรับปรุง ก็ควรที่จะยกระดับไปแจ้งหัวหน้าของหัวหน้า หรือ ไปกระซิบบอก HR ให้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร จากฝ่ายใดทั้งสิ้น มันอาจจะเป็นที่วัฒนธรรมขององค์กรนั้นก็ได้ครับ ที่ชอบให้องค์กรมีปลาฉลามหรือ ไฮยีน่า อยู่หลาย ๆ ตัว ไว้คอยล่าคนทำงาน และไม่ได้ต้องการความสงบสุข
และ ถ้ามันชัดแล้วว่าไม่ใช่จริตของเรา เดินออกมาเถอะครับ อย่าไปฝืนนั่งจิตแตกอยู่ทุกวันทุกวัน