โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

เอกชนลุ้นภาษีสหรัฐจบที่ 20% ลดเสียเปรียบเวียดนาม ส่งออกไทยสูญ 6 แสนล้าน

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 03 ก.ค. เวลา 05.16 น. • เผยแพร่ 03 ก.ค. เวลา 21.29 น.

หลังจากสหรัฐอเมริกาและเวียดนามบรรลุข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่ โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามในอัตรา 20% (จากเดิมที่กำหนดไว้สูงถึง 46%) และกำหนดภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ส่งผ่านแดนเวียดนามมายังสหรัฐ ขณะที่เวียดนามตอบรับด้วยการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0%

ความคืบหน้าดังกล่าวส่งแรงกดดันต่อทีมเจรจาการค้าของไทย ซึ่งยังอยู่ระหว่างเร่งหารือกับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าข้อตกลงเวียดนาม-สหรัฐฯ อาจกลายเป็น “แรงเปรียบเทียบ” ที่ทำให้ไทยต้องเร่งบรรลุข้อตกลงที่ไม่น้อยหน้า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกสหรัฐ

โอกาสสูงไทยถูกเก็บภาษี 15-20%

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากวิเคราะห์ตามแบบจำลองผลการเจรจาของเวียดนามกับสหรัฐ ที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 20% มีโอกาสที่การเจรจาภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากไทยจากเดิม 36% (ที่ชะลอการจัดเก็บ 90 วัน ครบกำหนด 9 ก.ค. 2568) จะลดลงมาอยู่ในอัตรา 15-20%

โดยคิดตามสูตรการคำนวณภาษีของสหรัฐที่เดิมจะเรียกเก็บสินค้าจากเวียดนามที่ 46% จากในปีที่ผ่านมาเวียดนามเกินดุลการค้าสหรัฐ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2567 ไทยส่งออกไปสหรัฐ 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เป็นสินค้าต่างประเทศ(ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจีน)ที่มาใช้ไทยเป็นจุดพักสินค้า และสวมสิทธิ์ส่งออก(transshipment)ไปยังตลาดสหรัฐรวมถึงตลาดอื่น ๆ คิดเป็น 20% ของการส่งออก มีผลให้ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐในปีที่ผ่านมา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ(เป็นตัวเลขการเกินดุลการค้าที่สหรัฐใช้คำนวณอัตราภาษีตอบโต้ไทยตัวเลข 36%)

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน

“ภายใต้แบบจำลองของเวียดนามที่เกินดุลการค้าสหรัฐที่เกินดุลการค้าสหรัฐในปีที่แล้วกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้เวียดนามจะเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐ แต่ก็ยังถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้ที่ 20% ขณะที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกินดุลการค้าสหรัฐน้อยกว่าเวียดนาม

ดังนั้นหากคิดคำนวณตามสูตรนี้ไทยมีโอกาสสูงที่จะถูกสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 15-20% อย่างไรก็ดีในข้อเท็จจริงไทยอาจจะถูกสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้มากกว่า 20% ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันว่าจะสร้างความพึงพอใจและให้ผลประโยชน์สหรัฐมากน้อยแค่ไหน”

จับตายอดส่งออกได้ดุลการค้าวูบ

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า มีโอกาสสูงเช่นกัน ที่ไทยอาจจะถูกสหรัฐกดดันต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐเป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม เพื่อแลกกับอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทยในอัตราต่ำ เพื่อทำให้ยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐได้ เพราะไม่เช่นนั้นสินค้าไทยที่มีสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 จะเสียเปรียบสินค้าจากเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐมากขึ้น รวมถึงสินค้าต่างประเทศที่มา transshipment หรือสวมสิทธ์สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐก็มีโอกาสที่จะถูกสหรัฐเก็บภาษีในอัตรา 40% เช่นเดียวกับเวียดนาม

อย่างไรก็ดีหากไทยบรรลุผลการเจรจาและถูกสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ที่ 20% คาดจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าทางตรง รวมถึงสินค้าที่มา transshipment ในไทยไปสหรัฐ โดยคาดจะทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐในครึ่งหลังของปีนี้ จะหายไปประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 6 แสนล้านในรูปเงินบาท และการเกินดุลการค้าของไทยที่มีต่อสหรัฐในปีนี้จะลดลงเหลือประมาณ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับกรณีที่ไทยต้องลดภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐเป็น 0%(ตามโมเดลเวียดนาม) ที่มองว่าจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศ คือในสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวจะทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้น ส่วนสินค้าเกษตรที่สหรัฐมีศักยภาพสูงในการส่งออกมาไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และข้าวสาลี คงไม่กระทบมาก เพราะเป็นสินค้าที่ไทยมีการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ แต่ในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาครัฐคงต้องหามาตรการลดผลกระทบ

สินค้าเกษตรแข่งเดือดเวียดนาม

ขณะเดียวกันสินค้าเกษตรที่ไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจากเวียดนามในตลาดสหรัฐ เช่น ทุเรียน มะม่วง มะพร้าว ขนุน แก้วมังกร เป็นต้น ซึ่งโดยภาพรวมสินค้าจากเวียดนามมีความได้เปรียบไทยด้านต้นทุนการผลิต ส่วนในสินค้าอุตสาหกรรม มีสินค้าหลายรายการที่เวียดนามมีศักยภาพการแข่งขันสูงกว่าสินค้าไทยในตลาดสหรัฐ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน(ไอโฟนมีโรงงานผลิตในเวียดนาม) ที่มีนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เข้าไปตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม

“สหรัฐเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุด และเป็นตลาดอันดับ 1 ของสินค้าจากเวียดนาม เช่นเดียวกับสินค้าจากประเทศไทยที่มีสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 โดยในปีที่ผ่านมาเวียดนามส่งออกไปสหรัฐมูลค่ากว่า 1.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐ 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เวียดนามส่งออกไปสหรัฐมากกว่าไทยเท่าตัว เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมลดภาษีให้สินค้าจากสหรัฐเป็น 0% โดยเวลานี้เวียดนามมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กในสหรัฐจำนวนมาก บางแห่งมีขนาดใหญ่เท่าห้างแม็คโครบ้านเรา โดย 80% ของสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าจากเวียดนาม”

บิ๊กสภาอุตฯ ลุ้นภาษีเหลือ 20%

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากผลการเจรจาระหว่างสหรัฐและเวียดนาม ที่ได้ข้อสรุปสหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าโดยตรงจากเวียดนามที่ 20% จากเดิมที่จะเก็บ 46% ถือเป็นเค้าลางว่าการเจรจาของไทยกับสหรัฐที่จะเกิดขึ้นวันนี้ (3 ก.ค. 68) ซึ่งตรงกับเวลาในประเทศไทยประมาณ 21.00 น. กับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) แบบตัวต่อตัวน่าจะมีแนวทางที่คล้ายกัน

ทั้งนี้ เนื่องจากหากคิดตามการประกาศเก็บภาษีนำเข้าที่ 46% จากเวียดนามของสหรัฐฯในเบื้องต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์มีการระบุว่าภาษีจะอยู่ในกรอบประมาณ 15-20% ที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บจากเวียดนาม ส่วนรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผย จนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศชัดเจนว่าบรรลุข้อตกลงกับเวียดนามเป็นประเทศที่ 3 โดยผลที่ออกมาก็คือจากเดิมเรียกเก็บภาษีนำเข้า 46% จะถูกปรับลดเหลือ 20% ส่วนกรณีสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์โดยผ่านเวียดนามจะถูกเรียกเก็บที่ 40% ส่วนเวียดนามยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็น 0%

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ในเรื่องภาษี 0% สินค้านำเข้าจากสหรัฐในทุกรายการ ไทยก็อาจจะถูกตั้งเงื่อนไขแบบเดียวกัน ซึ่งอาจจะเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยยังไม่นับรวมอีกหลายเงื่อนไขที่อาจถูกพ่วงมาด้วย โดยเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถเจรจาหรือเปิดเผยทางสาธารณชนได้

อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนจะเป็นอย่างไร คงต้องลุ้นกันคืนนี้ที่ทีมเจรจาของไทยจะได้หารือกับ USTR อย่างเป็นทางการนัดแรก เพราะกำหนดเดดไลน์การผ่อนปรนมาตรการการเก็บภาษีนำเข้าคือวันที่ 9 ก.ค. 68 ซึ่งยังไม่รู้ว่าไทยจะเจรจาได้ทันหรือไม่ โดยสหรัฐฯอาจจะใช้แนวทางเดียวกับเวียดนามกับประเทศในแถบนี้ แค่รายละเอียดในแต่ละประเทศที่อาจจะแตกต่างกัน แต่หากไม่ทันกำหนดก็ต้องดูว่าสหรัฐฯจะยืดเวลาออกไปอีกเท่าไหร่

“ลองนึกภาพดูว่า หากสหรัฐยืดเวลาเจรจาให้กับไทย หลังจากที่เดดไลน์ครบแล้ว ไทยก็ยังได้รับสิทธิ์เสียภาษีนำเข้า 10% (ภาษีพื้นฐาน)อยู่ ก็จะได้เปรียบเวียดนาม แต่หากไม่มีการยืดเวลาไทยจะเสียภาษีที่ 36% ขณะที่เวียดนามเสียแค่ 20% ไทยก็จะเสียเปรียบ”

สรท.ห่วงส่งออกกระทบสวมสิทธิ์

ด้าน นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เผยว่า กรณีที่เวียดนามมีการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐ โดยล่าสุดสินค้าส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐจะลดลงเหลือ 20% ขณะที่สหรัฐส่งออกมาเวียดนามภาษีเหลือเป็น 0% นั้น การเจรจาของไทยกับสหรัฐ อาจได้รับลดภาษีเหลือ 20% เช่นกัน

ขณะเดียวกันหากสินค้าส่งออกของไทยถูกตรวจพบว่ามีการสวมสิทธิ์จากสินค้าต่างประเทศจะถูกสหรัฐเก็บภาษีในส่วนนี้ถึง 40% อาจส่งผลกระทบรุนแรงในกลุ่ม เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ เนื่องจากไทยส่งออกกลุ่มนี้มากไปยังสหรัฐ

“ไทยเรามีความเสี่ยงที่โดนภาษีหนักกว่าเวียดนามเพราะทีมเจรจาไม่ได้ยอมหมดแบบเวียดนาม อย่างไรก็ตามไทยมีการนำเสนอการควบคุม Transshipment ก็อาจได้รับการพิจารณาพิเศษได้ เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการสร้างความน่าเชื่อใจให้กับสหรัฐว่าเราจะควบคุม Transshipment ได้จริงไม่ให้ประเทศเป็นเครื่องมือของจีนได้สำเร็จ”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...