โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘Cheap Dopamine’ ความสุขราคาถูกที่กำลังขโมยประสิทธิภาพการทำงาน

THE STANDARD

อัพเดต 05 ธ.ค. เวลา 02.56 น. • เผยแพร่ 05 ธ.ค. เวลา 02.56 น. • thestandard.co
‘Cheap Dopamine’ ความสุขราคาถูกที่กำลังขโมยประสิทธิภาพการทำงาน

กำลังรู้สึกใช่ไหมว่างานที่เคยทำได้เสร็จในไม่ถึงชั่วโมง ตอนนี้กลับใช้เวลาเป็นวัน หรือขณะที่กำลังตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง รู้ตัวอีกทีก็นอนไถมือถือเล่นเสียแล้ว

นี่ไม่ใช่แค่ความขี้เกียจหรือไร้วินัยแต่คุณกำลังตกอยู่ในภัยเงียบที่กำลังกัดกินศักยภาพของคนทำงานทั่วโลก ที่มีชื่อว่า ‘Cheap Dopamine’ หรือ ‘โดปามีนราคาถูก’

🟡 โลกธุรกิจกำลังเผชิญ ‘วิกฤตคนวอกแวก’

รายงาน State of the Global Workplace 2024 โดย Gallup เผยว่า ภาวะที่พนักงานไม่มีใจจดจ่ออยู่กับงานเพราะถูกรบกวนด้วยอุปกรณ์และสื่อดิจิทัล กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกคิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 9% ของ GDP โลก

สถานการณ์ในไทยก็น่ากังวลไม่แพ้กัน ข้อมูลจากสภาพัฒน์ (สศช.) ปี 2567 ชี้ว่าคนไทยกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งสัมพันธ์กับความเครียดและพฤติกรรมการเสพติดหน้าจอ สิ่งนี้นำไปสู่ภาวะหมดไฟและการลาออกที่สูงขึ้น โดยมีการประเมินว่าการลาออกของพนักงานระดับหัวหน้างานหนึ่งคน สร้างต้นทุนความเสียหายให้องค์กรสูงถึง 200% ของเงินเดือนต่อปี ทั้งค่าสรรหา ค่าเสียโอกาส และความรู้ที่ไหลออกไปจากองค์กร

🟡 เมื่อ 47 วินาที คือขีดจำกัดของสมาธิ

ศาสตราจารย์ ดร. กลอเรีย มาร์ค (Gloria Mark) ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ ค้นพบว่าในปี 2004 คนทำงานสามารถจดจ่อกับหน้าจอได้เฉลี่ย 2.5 นาที แต่ในปี 2024 ตัวเลขนี้ดิ่งลงเหลือเพียง 47 วินาที เท่านั้น ก่อนจะวอกแวกไปสนใจสิ่งอื่น และเมื่อสมาธิหลุดลอยไปแล้ว สมองต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึง 23 นาที 15 วินาที กว่าจะกู้คืนสมาธิให้กลับมาจดจ่อในระดับเดิมได้

🟡 กำเนิด ‘สมองป๊อปคอร์น’ และกับดักความสุขเทียม

‘Cheap Dopamine’ คือความพึงพอใจรูปแบบสำเร็จรูปที่ได้มาทันทีโดยไม่ต้องออกแรง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย คลิปสั้นบน TikTok หรือน้ำตาลจากชานมไข่มุก สิ่งเหล่านี้ทำให้สารเคมีในสมองพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และตกลงมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สมองโหยหาการกระตุ้นระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม

วงจรนี้ทำให้เกิด ‘Popcorn Brain’ หรือ ‘สมองป๊อปคอร์น’ หมายถึงสภาวะที่สมองคุ้นชินกับการถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลมหาศาล จนความคิดกระโดดไปมาแตกกระจายเหมือนเมล็ดข้าวโพดคั่ว ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการจดจ่อกับเรื่องเรียบง่ายในชีวิตจริงที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าหน้าจอมือถือ

ดร. แอนนา เลมบ์เก (Dr. Anna Lembke) จิตแพทย์และผู้เขียนหนังสือ Dopamine Nation อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเราเสพติดความสุขง่ายๆ มากเกินไป สมองจะพยายามปรับสมดุลด้วยการสร้างความรู้สึกเจ็บปวดในรูปแบบของความเบื่อหน่าย หงุดหงิด และวิตกกังวล เพื่อกดระดับความสุขลง เราจะสูญเสียแรงจูงใจในการทำ ‘งานยาก’ ที่ต้องใช้ความอดทน เพราะสมองมองว่ามันไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการไถหน้าจอ

🟡 ปฏิบัติการกู้คืนสมอง

ข่าวดีคือ สมองมนุษย์มีความยืดหยุ่น และเราสามารถกู้คืนระบบโดปามีนให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ หากเรารู้วิธีที่ถูกต้อง

🧘 1. ระดับบุคคล: เปลี่ยนความสุขง่าย ให้เป็นชัยชนะที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ดร. คาเมรอน เซปาห์ (Dr. Cameron Sepah) จิตแพทย์ผู้ริเริ่มแนวคิด ‘Dopamine Fasting’ หรือการอดโดปามีน แนะนำให้เราลอง ‘รีเซ็ต’ สมองด้วยการงดเว้นกิจกรรมที่กระตุ้นความสุขระยะสั้น เช่น การงดเล่นโซเชียลมีเดียหรือทานของหวาน ในช่วงเวลาสั้นๆ ของวัน เพื่อให้ตัวรับความรู้สึกในสมองฟื้นตัวและกลับมาไวต่อความสุขจากการทำงานปกติได้อีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ดร. แอนดรูว์ ฮูเบอร์แมน (Dr. Andrew Huberman) นักประสาทวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เสนอให้เราสร้าง ‘Earned Dopamine’ หรือโดปามีนที่ได้จากความพยายาม ผ่านหลักการที่เรียกว่า Hormesis หรือการพาตัวเองไปลำบากเล็กน้อย เช่น การอาบน้ำเย็นจัด หรือการเลือกทำงานชิ้นที่ยากที่สุดเป็นสิ่งแรกของวัน เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้จะกระตุ้นให้สมองหลั่งโดปามีนออกมาอย่างสม่ำเสมอและยั่งยืน โดยไม่เกิดอาการดิ่งวูบในภายหลัง

🧘 2. ระดับองค์กร: ออกแบบวัฒนธรรมที่เอื้อต่อสมาธิ องค์กรยุคใหม่ไม่สามารถผลักภาระให้พนักงานใช้ ‘วินัย’ ต่อสู้กับอัลกอริทึมเพียงลำพังได้ แนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างจากงานวิจัยของ MIT Sloan School of Management ชี้ให้เห็นว่า การประกาศนโยบาย ‘No-Meeting Days’ หรือวันที่ห้ามมีการประชุม เพียง 1 วันต่อสัปดาห์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงถึง 71% เพราะเป็นการคืนเวลาอันมีค่าให้พนักงานได้ดำดิ่งสู่การทำงานเชิงลึกอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ องค์กรชั้นนำยังเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ ‘Right to Disconnect’ หรือสิทธิในการตัดขาดการสื่อสารนอกเวลางาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สวัสดิการทางใจ แต่คือการอนุญาตให้สมองของพนักงานได้ ‘ชาร์จแบตเตอรี่’ เพื่อให้พวกเขากลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นด้วยระดับโดปามีนที่สมบูรณ์ พร้อมสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

ถึงเวลาแล้วที่ทั้งคนทำงานและองค์กรต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติวิถีชีวิต หยุดวิ่งไล่ตามความพึงพอใจชั่วครู่ แล้วหันมาสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เอื้อต่อความสำเร็จระยะยาว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสุขจากการทำงานที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น ‘หอมหวานและยั่งยืน’ กว่ายอดไลก์บนหน้าจอหลายเท่าตัว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...