ส่องปัจจัยหนุนดัน ‘ทองคำ-โลหะ’ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2568
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ว่าสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจน้อยลงในปีนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบัน ขณะที่แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
ในทางกลับกัน ราคาทองคำในปีนี้พุ่งขึ้นมากกว่า 70% และทะลุ 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (ราว 139,815 บาท) เป็นครั้งแรก เมื่อวันพุธ (24 ธ.ค.) ขณะที่เงินแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 72 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (ราว 2,237 บาท) โดยราคาสูงขึ้นประมาณ 2.5 เท่า นับตั้งแต่เดือน ม.ค.
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่ายังช่วยหนุนราคาโลหะอุตสาหกรรม เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ จะมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อเมื่อค่าเงินอ่อนลง
ขณะเดียวกัน ราคาทองแดงได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (24 ธ.ค.) แตะ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (ราว 372,840 บาท) โดยมีแรงหนุนจากการที่จีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศมาตรการกระตุ้นความต้องการ
นอกจากนั้น อะลูมิเนียม ซึ่งเป็นทางเลือกที่ราคาถูกกว่าทองแดง และเงิน ก็ได้รับประโยชน์จากความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน ส่วนแพลทินัมและแพลเลเดียม ซึ่งใช้ในตัวเร่งปฏิกิริยาในรถยนต์ ก็ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุด หลังจากสหภาพยุโรป (อียู) ตัดสินใจอนุญาตให้ขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในใหม่ได้หลังปี 2578
ราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้นในปีนี้จากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐ ทำให้บริษัทต่าง ๆ เร่งกักตุนสินค้า โดยภาษีจะเรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป และอาจขยายไปถึงทองแดงกลั่น ซ้ำเติมด้วยอุปสงค์จากการหยุดชะงัก ตามเหมืองหลายแห่งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ดีอาร์คองโก) ชิลี และอินโดนีเซีย ขณะที่ตลาดเงิน แพลทินัม และอะลูมิเนียม ก็ตึงตัวเช่นกัน.
เครดิตภาพ : AFP