กลากเกลื้อนขึ้นอีกแล้ว! รวมวิธีรักษาให้หายจริง ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
เคยไหม?? ผิวเริ่มคัน มีผื่นแดง ๆ เป็นวง หรือมีดวงขาวซีดขึ้นตามตัว แล้วพอทายาเองก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่กี่เดือนต่อมาก็กลับมาอีก! อาการแบบนี้มีโอกาสสูงว่า “กลากเกลื้อน” กำลังถามหาเลยนะ โรคผิวหนังที่ใครก็มีสิทธิ์เป็นได้ โดยเฉพาะในบ้านเรา ที่อากาศร้อนชื้น เหงื่อออกง่าย เชื้อราก็เลยเติบโตสบาย ๆ
แต่ข่าวดีคือ กลากเกลื้อนรักษาให้หายขาดได้จริง ถ้าดูแลให้ถูกวิธี ดังนั้นบทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจตั้งแต่ กลากเกลื้อนคืออะไร, ต่างกันยังไง, ทำไมถึงเป็นซ้ำ และวิธีรักษาให้หายแบบไม่กลับมาอีก!
มาเริ่มต้นรู้เท่าทันโรคผิวหนังเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้าม แต่ถ้าเข้าใจและดูแลถูกวิธี ผิวก็จะกลับมาสวยใสได้เหมือนเดิมแน่นอน
กลากเกลื้อน คืออะไร?
กลากเกลื้อน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจาก เชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง โดยทั่วไปแล้วสามารถพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนชื้นอย่างบ้านเรา ซึ่งอุณหภูมิสูงและมีเหงื่อมากเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อราชื่นชอบสุด ๆ และหลายคนมักสับสนระหว่าง “กลาก” กับ “เกลื้อน” ว่าเหมือนกันไหม จริง ๆ แล้ว ทั้งสองอย่างเกิดจากเชื้อราเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ชนิดของเชื้อและลักษณะอาการ ดังนี้
- กลาก (Tinea) เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes มักทำให้เกิดผื่นแดง คัน มีขุย ขอบวงชัดเจน สามารถขึ้นได้หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรือบริเวณเล็บ
- เกลื้อน (Pityriasis versicolor) เกิดจากเกิดจากเชื้อรา Malassezia furfur ทำให้ผิวเป็นดวงสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน ส่วนมากไม่คัน และขึ้นได้ทุกที่ของผิวหนัง
ฟังดูไม่รุนแรง แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา หรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อย ๆ ก็ทำให้ผิวลอก คัน ผิวไม่เนียนสวยจนขาดความมั่นใจได้ไม่น้อยเลย
กลากเกลื้อน ติดต่อกันไหม?
คำตอบคือติดต่อได้ โดยเชื้อราสามารถแพร่จากคนสู่คน หรือจากสัตว์เลี้ยงมาสู่คนได้ผ่านการสัมผัสโดยตรง หรือทางอ้อมผ่านของใช้ร่วม เช่น
ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หมวก หมอน
ของใช้เหล่านี้สามารถเป็นแหล่งสะสมเชื้อราได้ดี โดยเฉพาะถ้ามีความชื้นเยอะ ๆ เช่น ผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่แห้งสนิท หรือเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไม่ได้ซักทันที เมื่อมีคนในบ้านเป็นกลากเกลื้อน ควรแยกของใช้ส่วนตัวออกให้ชัดเจน และซักด้วยน้ำร้อนหรือน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ
นอนหรือใช้เตียงร่วมกับผู้อื่น
นั่นก็เพราะ เตียง, หมอน หรือผ้าปูที่นอนที่ไม่ได้เปลี่ยนบ่อย อาจมีเชื้อราหลงเหลืออยู่ได้ง่าย โดยเฉพาะในอากาศร้อนชื้น การนอนเตียงเดียวกันจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละครั้ง และตากแดดให้แห้งทุกครั้ง
เล่นกับสัตว์เลี้ยงที่มีเชื้อราโดยไม่ล้างมือ
สัตว์เลี้ยงอย่างแมวหรือสุนัขที่เป็นกลาก มักมีขนร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือมีสะเก็ดตามผิวหนัง หากสัมผัสโดยตรงแล้วไม่ล้างมือทันที เชื้ออาจเข้าสู่ผิวหนังเราได้ง่าย ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ และหมั่นล้างมือทุกครั้งหลังเล่นหรืออาบน้ำให้สัตว์
เช็กอาการของกลากเกลื้อนที่ควรสังเกต
อาการของกลาก
- ผื่นแดงเป็นวง ขอบชัด มีขุยรอบ ๆ
- คัน โดยเฉพาะเวลามีเหงื่อ
- มักขึ้นบริเวณแขน ขา ลำตัว ขาหนีบ หรือแผ่นหลัง
อาการของเกลื้อน
- ผิวเป็นดวงสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน
- มักไม่คันหรือคันเพียงเล็กน้อย
- เห็นชัดขึ้นเมื่อโดนแดด เพราะผิวบริเวณนั้นไม่สร้างเม็ดสี
สัญญาณเตือนว่ากลากเกลื้อนเริ่มลุกลาม
- ผื่นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
- คันมาก จนมีรอยเกา
- ใช้ยาทาเองแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์
ทำไมกลากเกลื้อนถึงกลับมาเป็นซ้ำ?
หลายคนรักษาจนหาย แต่พอผ่านไปไม่กี่เดือนก็กลับมาอีก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่เผลอทำให้เชื้อรากลับมาเติบโตอีกครั้งนั่นเอง
หยุดยาก่อนเวลา
หลายคนพอเห็นว่าผื่นเริ่มจาง คันลดลง ก็รีบหยุดทายาทันที ทั้งที่จริง ๆ แล้วเชื้อราอาจยังไม่หมดไปจากผิวหนัง ดังนั้นการหยุดยาก่อนกำหนดจึงทำให้เชื้อที่เหลืออยู่และฟื้นกลับมาแข็งแรงกว่าเดิม ทางที่ดีควรทายาต่อเนื่องอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์หลังผื่นหายสนิท เพื่อให้แน่ใจว่ากำจัดเชื้อได้หมดจริง
ความอับชื้น
เหงื่อ ความร้อน เสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้คือสวรรค์ของเชื้อราเลยนะ โดยเฉพาะในจุดที่อับชื้นอย่างข้อพับ ขาหนีบ ใต้ร่มผ้า หรือหลังออกกำลังกาย ถ้าไม่รีบอาบน้ำหรือเช็ดตัวให้แห้ง เชื้อราก็พร้อมกลับมาทำร้ายผิวได้ทันที แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง ระบายอากาศดี และหลีกเลี่ยงการใส่ซ้ำโดยไม่ซัก
ใช้ของร่วมกับผู้อื่น
ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว รองเท้า เสื้อผ้า หรือหมวก ดังนั้นอย่าลืมว่าพวกนี้คือแหล่งสะสมเชื้อราชั้นดี และถ้าเผลอใช้ร่วมกับคนที่มีเชื้ออยู่ เชื้อราก็สามารถ “ย้ายบ้าน” มาหาเราได้ง่าย ๆ ดังนั้นควรแยกของใช้ส่วนตัวชัดเจน ซักให้สะอาดและตากแดดให้แห้งทุกครั้ง
ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ใครที่พักผ่อนน้อย เครียดบ่อย หรือมีโรคประจำตัวอย่าง เบาหวานมักมีภูมิคุ้มกันผิวอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้เชื้อราเกาะติดผิวได้ง่ายขึ้น และเมื่อเป็นแล้วก็มักหายช้ากว่าเดิม เพราะช่วงนี้ร่างกายที่อ่อนล้าหรือเครียดสะสมยังทำให้ผิวฟื้นตัวช้าอีกด้วย ดังนั้นอย่ามองข้ามการนอนหลับให้เพียงพอทานอาหารที่มีประโยชน์ และดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เพราะผิวแข็งแรงเริ่มต้นจากภูมิคุ้มกันที่ดีจากภายใน
วิธีรักษากลากเกลื้อนให้หายจริง
1.ยาทากลากเกลื้อน
เป็นวิธีแรกที่แพทย์มักแนะนำ โดยใช้ยาฆ่าเชื้อรากลุ่ม Clotrimazole, Ketoconazole หรือ Miconazole ให้ทาวันละ 2 ครั้งต่อเนื่องอย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ แม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
2.ยากินรักษากลากเกลื้อน
หากเป็นบริเวณกว้าง หรือเป็นซ้ำบ่อย แพทย์อาจให้ยากินฆ่าเชื้อรา เช่น Fluconazole หรือ Itraconazole แต่ยากลุ่มนี้ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะมีผลต่อการทำงานของตับและยาบางชนิด
3.รักษากลากเกลื้อนที่คลินิก
คลินิกผิวหนังมีทางเลือกการรักษาที่เฉพาะเจาะจง เช่น ยาทาแบบสูตรเฉพาะที่ออกฤทธิ์เร็ว โดยการรักษาร่วมกับยากิน โดยอันดับแรกแพทย์ผิวหนัง จะตรวจหาชนิดของเชื้อราเพื่อให้ยาเหมาะกับแต่ละเคส และทำการรักษาในวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคนมากที่สุด
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นกลากเกลื้อน
การรักษาเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ต้องดูแลผิวในชีวิตประจำวันควบคู่กันด้วย เพื่อให้เชื้อราหายขาดและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก การดูแลผิวให้สะอาด แห้ง และลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเชื้อราชอบอยู่ในที่อับชื้นและเหงื่อออกง่ายนั่นเอง
รักษาความสะอาดของผิว
อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง และเช็ดตัวให้แห้งทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณที่เหงื่อออกง่าย เช่น ขาหนีบ รักแร้ หลัง และลำตัว
นอกจากนี้ ควรเลือกสบู่สูตรอ่อนโยน ไม่ผสมน้ำหอมหรือสารระคายเคือง เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือไม่ระบายอากาศ เพื่อให้ผิวหายใจได้ดีขึ้นและลดการอับชื้น
เปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ
ควรซักเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวด้วยน้ำร้อน หรือผึ่งแดดจัด ๆ เพื่อฆ่าเชื้อรา ถ้าเป็นไปได้ ควรแยกซักของใช้ส่วนตัวออกจากของคนอื่นในบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และอย่าลืมเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย
หลีกเลี่ยงการเกา
เพราะจะทำให้เชื้อราแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ และอาจเกิดแผลติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำได้ และถ้าหากรู้สึกคันมาก แนะนำให้ทายาตามที่แพทย์สั่ง หรือประคบเย็นเบา ๆ แทนการเกา เพื่อช่วยบรรเทาอาการโดยไม่ทำร้ายผิวไปในตัว
งดใช้ครีมที่ไม่รู้ส่วนผสม
โดยเฉพาะครีมผสมสเตียรอยด์ เพราะแม้จะทำให้ผื่นดูดีขึ้นในช่วงแรก แต่จริง ๆ แล้ว กดภูมิคุ้มกันผิว ทำให้เชื้อราลุกลามหนักกว่าเดิม แต่ถ้าหากไม่แน่ใจว่าครีมที่ใช้อยู่มีส่วนผสมอะไร ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับยาที่เหมาะสมและปลอดภัยกับสภาพผิวของคุณที่สุด
แนะนำวิธีป้องกันกลากเกลื้อนไม่ให้กลับมาเป็นอีก
1.เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี ไม่แน่นเกินไป
เสื้อผ้ารัดรูปหรือผ้าที่อับชื้น ทำให้เหงื่อสะสมและกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อราได้ง่าย ควรเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายอากาศดี ใส่สบาย และไม่อับชื้น โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนหรือระหว่างออกกำลังกาย
2.ซักและเปลี่ยนของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ
ของใช้ใกล้ตัวอย่างผ้าเช็ดตัว, เสื้อผ้า, หมวก หรือปลอกหมอน ควรซักบ่อย ๆ และผึ่งแดดให้แห้ง เพื่อฆ่าเชื้อราที่อาจสะสมอยู่ และที่สำคัญเลยนะ ห้ามใช้นาน ๆ โดยไม่ซักเลย
3.หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว, เสื้อผ้า, หวี, หมวก หรือผ้าห่ม ควรใช้แยกจากผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะหากมีคนในบ้านที่เป็นกลากเกลื้อนอยู่ เพราะเชื้อสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสทางอ้อมได้ง่ายมาก
4.พักผ่อนให้เพียงพอ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
การนอนหลับไม่พอหรือเครียดสะสมอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนลง และทำให้เชื้อรามีโอกาสกลับมาได้ง่ายขึ้น พยายามนอนให้ได้วันละ 6–8 ชั่วโมง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวแข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อรามากขึ้น
เป็นกลากเกลื้อนขนาดไหน ควรไปพบหมอผิวหนัง?
- กลากเกลื้อนลามเร็ว หรือมีตุ่มน้ำ หนอง
- ใช้ยาทาเองแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์
- เป็นซ้ำบ่อย หรือเกิดในบริเวณบอบบาง เช่น ใบหน้า ศีรษะ หรือขาหนีบ
- มีอาการคันมากจนรบกวนการนอน
สรุป กลากเกลื้อนรักษาได้ แค่ดูแลให้ถูกทางไม่กลับมาเป็นซ้ำง่าย ๆ แน่นอน
กลากเกลื้อนแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญใจและกระทบความมั่นใจได้ไม่น้อย การรักษาให้หายขาดจึงต้องอาศัยทั้งยารักษาที่เหมาะสมกับอาการและการดูแลผิวที่ถูกวิธี” และอย่าลืมรักษาให้ครบตามแพทย์สั่ง รักษาความสะอาดของผิว และเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นความอับชื้น เพียงเท่านี้ผิวคุณก็จะกลับมาสุขภาพดี ไม่กลัวกลากเกลื้อนขึ้นอีกแล้ว อีกต่อไป