โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

สมช.แถลงการณ์ไทยยึดมั้น JS ย้ำ JBC รอรัฐบาลใหม่

INN News

อัพเดต 31 ธันวาคม 2568 เวลา 22.01 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • INN News

สมช.ออกแถลงการณ์ ยัน ลงนามJoint Statement ตัดสินใจร่วมกัน รัฐบาล- หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ หากถูกละเมิดอธิปไตย มีมีสิทธิอันชอบธรรมป้องกันตนเอง ยึดหลักมนุษยธรรมปล่อยตัวเชลยศึก ลั่น ไทยพร้อมปกป้องอธิปไตย

สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ออกคําแถลงการณ์ ประเด็นสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา

1. สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยินดีกับแถลงการณ์ร่วม (joint Statement) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 7/2568

ที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจและเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่าน กรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน โดยแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวดําเนินการภายใต้ กรอบที่สภาความมั่นคงและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568

2. สมช. ขอยืนยันว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นผลจาก การพิจารณาและตัดสินใจร่วมกัน ของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยให้ความสําคัญสูงสุดกับการคุ้มครองชีวิต ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่และประชาชน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการ แห่งสันติภาพและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดอธิปไตย หรือถูกรุกรานอีกครั้ง ประเทศไทยมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมในการใช้สิทธิในการป้องกัน ตนเองตามหลักความจําเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้กรอบของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมาย ระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ

3. ประเด็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย - กัมพูชา

ที่ผ่านมารัฐบาล กองทัพ ภายใด้การสนับสนุนของประชาชน ได้ร่วมกันทําหน้าที่ในการปกป้อง อธิปไดยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างสุดความสามารถ ซึ่ง สมช. ขอแสดงความเสียใจอย่างสดซึ้ง ต่อความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์

อย่างไรก็ดี สมช. มีการบูรณาการ ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสํานักงานตํารวจแห่งชาติเพื่อดําเนินการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และต่อเนื่อง ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่และความปลอดภัย ของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่

4. ประเด็นด้านมนุษยธรรม

ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและ กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสําคัญกับการคุ้มครองชีวิต ศักดิ์ศรี และความปลอดภัย ของบุคคลที่ไม่เข้าร่วมการสู้รบเป็นหลัก จึงนํามาซึ่งการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชาจํานวน 18 คน ในวันนี้ ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 18/2568 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

ประเทศไทยคาดหวังให้กัมพูชา แสดงท่าทีและบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติตามหลัก กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผล กระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน

เช่น การคุ้มครองสวัสดิภาพและอํานวยความสะดวก คนไทยในกัมพชาให้กลับประเทศได้อย่างปลอดภัย การป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สุญูเสียข้าแล้วซ้าเล่า ทั้งนี้ กัมพูซาต้องแสดงความจริงใจในการร่วมือและเร่งรัด การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อย่างจริงจัง

ขอย้ำว่าการดําเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการสําคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่าง ประเทศ ได้แก่ หลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน (Principle of Distinction) หลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และหลักมนุษยธรรม (Humanity) รวมถึงเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทําลายทุ่นระเบิดดังกล่าว (Ottawa Convention)

ซึ่งมุ่งหมายให้รัฐภาคีงดการใช้และการกระทําใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนดําเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบและป้องกันมีให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียต่อทุกฝ่ายในอนาคต

เห็นว่าการยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวอย่าง จริงใจ จะเป็นรากฐานสําคัญในการสร้าง ความไว้วางใจ สันติภาพ และความปลอดภัยอย่างยั่งยืน ตามแนวชายแดนและในภูมิภาคโดยรวม

5. ประเด็นการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต

เมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศของไทยร่วมกับสํานักงานว่าด้วย ยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) จัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วน ระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 60 ประเทศ

ซึ่งไทยถือว่าปัญหา ดังกล่าวเป็นภัยคกคามร้ายแรงและเป็นปัญหาร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ นานาประเทศที่สนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีดังกล่าว อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาไม่ได้ เข้าร่วมการประชุมฯ

ที่ผ่านมา สํานักงานตํารวจแห่งชาติของไทยได้จัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อการความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติรวมถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ร่วมกับกัมพูชา แต่การดําเนินการยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จึงต้องการเห็นกัมพูชาร่วมมือในการดําเนินการปราบปราม - อาชญากรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาดและเป็นรูปธรรม เพื่อความมั่นคงของภูมิภาค

6. ประเด็นเขตแดน

การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะดําเนินการภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย - กัมพูชา ซึ่งไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง และยึดถือตาม แผนที 1 : 50,000 เป็นหลัก เนื่องจากมีความชัดเจน ถูกต้องแม่นยํา สอดคล้องกับภูมิประเทศจริง และลากเส้นตามฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในอนาคต จําเป็นต้องคํานึงถึงเงื่อนไขและห้วงเวลาที่เหมาะสม

เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลรักษาการ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในอนาคตที่จะพิจารณาการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีการทบทวน บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วย การสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) จึงต้องคํานึงถึงเงื่อนไขในอนาคตด้วย

7 สุดท้ายนี้ ยืนยันว่าประเทศไทยจะดำรงการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมฯ ตราบเท่าที่กัมพูชาจะดําเนินการ ตามแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวเช่นเดียวกันดังนั้น เจ้าหน้าที่ทหารจะดำรงความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน เป็นสําคัญ

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...