‘ชีวิตแย่’ หรือแค่ชอบ ‘เปรียบเทียบ’? นี่เรากำลังเปรียบเทียบตัวเองมากเกินหรือเปล่า
spoil
- การเปรียบเทียบถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มีไว้เพื่อกระตุ้นพัฒนาการตัวเอง
- แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติแต่การเปรียบเทียบก็ยังส่งผลร้ายได้อยู่ดี โดยเฉพาะในยุคที่มีโซเชียลมีเดีย
ไถฟีดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมทีไรทำไมทุกคนชีวิตดีจัง?บางคนได้ไปเรียนต่างประเทศ บางคนได้ไปเที่ยวทุกวีค บางคนหารายได้เสริมจนร่ำรวย ตัดภาพกลับมาที่เรานั่งเคลียร์การบ้านงก ๆ จนอดเทียบไม่ได้ว่าทำไมชีวิตตัวเองถึงไม่ดีเหมือนคนอื่น!?
จริง ๆ แล้วการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นถือเป็นเรื่องธรรมชาติมาก เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่ออยู่รวมกันก็ย่อมเปรียบกันไปกันมาว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนไหน ความสามารถของเราเป็นยังไง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้พัฒนาตัวเองต่อ
คุณ Thomas Mussweiler ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์กร จาก London Business Schoolกล่าวว่าการเปรียบเทียบถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ว่าตนเองนั้นเป็นใคร เก่งอะไร และแตกต่างจากคนอื่นยังไงซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อการดำรงชีวิต
โดยยังสามารถอธิบายผ่านทฤษฎี Social comparison theory (ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม) ได้อีกด้วย
- ทฤษฎีทางสังคมถูกเสนอครั้งแรกในปี ค.ศ.1954 จากนักจิตวิทยา Leon Festinger ที่เชื่อว่าทุกคนล้วนเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพื่อสร้างเกณฑ์ในการประเมินตัวเอง
- ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งสมัครเรียนคลาริเน็ต เธอเริ่มเปรียบเทียบความสามารถของตัวเองกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะกับนักเรียนที่เล่นได้เก่งกว่าและแย่กว่ารวมถึงนักเรียนที่เล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นอีกด้วย
- การเปรียบเทียบจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่ การเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลที่เหนือกว่า (Upward Social Comparison) คือการเปรียบเพื่อให้มีแรงกระตุ้น มีเป้าหมาย และแรงผลักดัน
- การเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลที่ด้อยกว่า (Downward Social Comparison)เพื่อให้มองเห็นคุณค่าของตัวเองที่สูงขึ้น รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
จากเดิมที่มนุษย์ชอบการเปรียบเทียบอยู่แล้ว เมื่อเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดีย ก็ยิ่งทำให้การเปรียบเทียบเยอะขึ้นกว่าเดิม เพราะสามารถดูคนอื่นได้ตลอด ตอนไหนก็ส่องได้ เสี้ยววิก็โพสต์ได้ โดยการศึกษาจาก Moira Burke, Justin Cheng และ Bethany de Gant นักวิจัยจากเฟซบุ๊ก ระบุว่า ยิ่งคนใช้เวลาอยู่บนโซเชียลฯ นานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเปรียบเทียบตัวเองกับสังคมมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งการเปรียบเทียบยังเชื่อมโยงไปยัง Self-esteem ที่ต่ำลง และความวิตกกังวลทางสังคมที่สูงขึ้น
นอกจากนี้งานวิจัยจาก National University Singapore ยังกล่าวอีกว่า ผู้คนมักนำเสนอแต่ด้านดี ๆ ของตัวเอง เช่น การปรับแต่งรูป คิดแคปชั่น เพื่อสร้างความประทับใจและสร้างความแตกต่างจึงไม่แปลกที่เราจะเจอแต่ภาพดี ๆ ของคนอื่นอยู่เสมอ คิดง่าย ๆ ว่าแม้แต่เราเองก็ยังเลือกแต่ด้านดี ๆ โพสต์ลงให้โลกโซเชียลเห็นเลย จริงไหมคะ?
แม้การเปรียบเทียบตัวเองจะเป็นเรื่องปกติแค่ไหน แต่อะไรที่เยอะเกินไปย่อมส่งผลเสียได้เสมอ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบคนอื่นกับตัวเองที่มากเกินพอดี โดยผลเสียได้แก่
- ทำให้ Self-esteem หรือความนับถือในตนเองต่ำลงไม่เชื่อมั่น คิดว่าตัวเองไม่เก่ง
- ไม่มีแพชชั่นทำอะไรใหม่ ๆ เพราะคิดว่าตัวเองมีแต่จุดบกพร่องเต็มไปหมด
- เสี่ยงต่อโรคทางจิตเวชไม่ว่าจะซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ โรคเครียด เพราะมีแต่ความคิดแง่ลบกับตัวเอง
- อาจมีใช้จ่ายเกินตัว เนื่องจากเห็นใครมีอะไรก็อยากได้บ้าง อยากทำบ้าง เลยเจียดเงินเพื่อให้มีเหมือนคนอื่น
เห็นผลเสียกันไปแล้ว งั้นลองไปดูวิธีรับมือและป้องกันเพื่อไม่ให้เราเป็นคนเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมากเกินไปกันค่ะ
ลดการใช้โซเชียลมีเดียลงบ้าง
โลกโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ฯลฯ มักเป็นโลกที่ผู้คนเปิดเผยแต่ด้านดี ๆ พอเราเสพมากเข้าก็อาจทำให้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ดีเหมือนคนอื่น
วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการลดการใช้โซเชียลมีเดียลงบ้างอาจจำกัดเวลาเล่นแล้วไปทำกิจกรรมอย่างอื่น หรือแม้แต่เลิกติดตามคนที่เราชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบอยู่บ่อย ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราโฟกัสไปที่อื่น หยุดคิดเปรียบเทียบตัวเอง และมองโลกที่กว้างขึ้นนอกจากหน้าจอ
พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำในทุกวัน
ไม่ว่าจะทำงานบ้าน เคลียร์การบ้าน หรือ ทำกิจวัตรประจำวัน ให้เราหมั่นชื่นชมตนเองอยู่เสมอเพราะการชื่นชมถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในตัวเอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ก็นับว่าเป็นการพัฒนาหาความสุขจากเรื่องที่แสนเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน
ยอมรับจุดเด่นของตัวเองบ้าง
บางครั้งเราก็เทียบมากเกินจนหลงลืมไปว่าเรามีอะไรดี หรือทำอะไรได้ดีบ้าง
การยอมรับในข้อดีเปรียบเสมือนพลังบวกที่จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าของตัวเองไม่เปรียบเทียบและด้อยค่าในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งวิธีการตามหาจุดเด่นก็ไม่ยากเลย เพียงหากระดาษสักแผ่น ปากกาสักแท่ง กางก่อนเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ ว่ามีเรื่องอะไรที่ทำได้ดีบ้าง ชอบทำอะไร และอยากทำอะไร การเขียนออกมาจะทำให้เราตระหนักกับตัวเอง รู้ว่าจุดเด่นคืออะไร แถมยังมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วย
ยอมรับว่าไม่มีใครเพอร์เฟกต์ทุกเรื่อง
นอกจากจะยอมรับจุดเด่นของตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาคือการยอมรับว่าทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปหมดทุกเรื่อง ทุกคนย่อมมีข้อดี แต่นั่นไม่ได้หมายความเราว่าจะประสบความสำเร็จราบรื่นตลอด ทุกคนต่างมีเรื่องที่ทำได้ไม่ดี และต่างเคยมีเรื่องที่ทำผิดพลาด
เปลี่ยนการเปรียบเทียบเป็นชื่นชม
แทนที่จะเอาชีวิตที่ดีของคนอื่นมาบั่นทอนให้รู้สึกแย่ ลองเปลี่ยนเป็นการแสดงความยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นแทนเพราะนั่นจะทำให้เรามีความคิดแง่บวกกับตัวเองมากขึ้น เป็นผู้รับฟังที่ดีมากขึ้น ไม่จมปลักอยู่แต่กับความรู้สึกแย่ ๆ ที่ถาโถมว่าทำไมไม่ดีเหมือนคนอื่น
แม้การเปรียบเทียบจะเป็นเรื่องยากที่จะห้ามใจไม่ให้คิด แต่ถ้าเราเปรียบเทียบอย่างพอดี ผลลัพธ์ร้าย ๆ ก็จะกลายเป็นดีคอยสนับสนุนผลักดันให้เราอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นแทน ไหนใครคิดเห็นยังไงบ้างกับเรื่องนี้ อย่าลืมคอมเมนต์บอกกันนะ