โปรเจ็กต์ CFP 1.7 แสนล้าน “ไทยออยล์” ยันยึดประโยชน์ผู้ถือหุ้น
โครงการพลังงานสะอาด CFP (Clean Fuel Project) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันของบริษัท และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งโครงการนี้ยังจัดเป็นโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนโครงการแรกในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย
แต่โครงการดังกล่าวกลับต้องเผชิญกับบททดสอบใหญ่ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้โครงการหยุดชะงัก และต้องเจรจาแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมกับผู้รับเหมาหลัก The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ Unincorporated Joint Venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (เดิมชื่อ Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Onshore Contractor) (เรียกรวมกันว่า “UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem”)
ส่งผลให้ผู้รับเหมาช่วง 27 รายรวมตัวกันยุติปฏิบัติงานเนื่องจาก UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับเหมาช่วง
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า อยากให้มั่นใจว่าไทยออยล์ได้ดำเนินการโครงการ CFP อย่างเต็มที่ ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนและความโปร่งใสของไทยออยล์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้โครงการ CFP เกิดความล่าช้าออกไป จากเดิมที่กำหนดเสร็จสิ้นภายในปี 2568 ซึ่งขณะนี้โครงการ CFP มีความก้าวหน้าประมาณ 90% โดยการก่อสร้างยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการหยุดก่อสร้างแต่อย่างใด
โดยในยูนิตแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนการปรับปรุงส่วนผลิตน้ำมันยูโร 5 ได้เริ่มทดลองดำเนินการเชิงพาณิชย์เพื่อผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ารูปแบบการสร้างในส่วนที่เหลือนั้นค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในยูนิตที่ก่อสร้างในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมัน นับเป็นส่วนสำคัญที่สุดของโครงการนี้ เนื่องจากเป็นตัวลดต้นทุนและทำกำไรให้กับบริษัทได้มากที่สุด
นายบัณฑิตกล่าวว่า ที่ผ่านมา สัญญา EPC ระหว่างไทยออยล์กับผู้รับเหมาหลัก ได้มีการพิจารณาอย่างเป็นลำดับขั้นตอนและรัดกุม ระบุคุณสมบัติสำคัญ เช่น การกำหนดขั้นตอนในการทดสอบและการส่งมอบโครงการ การรับประกันคุณภาพ, เงื่อนไขความรับผิดชอบ และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นต้น หากเกิดกรณีผิดสัญญาหรือเลิกสัญญา บริษัทสามารถที่จะเรียกร้องความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญา
โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าโครงการนี้เกิดขึ้นและมีปัญหาช่วงโควิด-19 ไทยออยล์และผู้รับเหมาหลัก ได้ร่วมมือแก้ปัญหาและแก้ไขสัญญา EPC โดยไทยออยล์ได้อนุมัติแก้ไขสัญญา โดยให้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 550 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2562 ทำให้เงินลงทุนสูงขึ้นประมาณ 5,375 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันแนวทางความชัดเจนในการเสร็จสิ้นโครงการอาจจะต้องเพิ่มเม็ดเงินลงทุนจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 5,375 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ จากปัญหาระหว่างผู้รับเหมาหลักกับผู้รับเหมาช่วง ส่งผลให้มีการก่อสร้างลดน้อยลงจากแผนงานที่กำหนด บริษัทพยายามเจรจาทั้งผู้รับเหมาหลักและบริษัทแม่ให้จ่ายเงินคงค้างให้ผู้รับเหมาช่วงโดยเร็ว
“โครงการดังกล่าวใช้ระยะเวลานาน เพราะแต่ละขั้นตอนมีการประมูล มีการออกแบบกระบวนการผลิตแล้วก็ต้องมีการทบทวนกระบวนการต่าง ๆ จนกว่าจะมีการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท ผ่านผู้ถือหุ้น รวมถึงจะต้องมีการประมูลคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก เรียกว่ามีความเข้มข้นเพราะเป็นโครงการใหญ่ มีบุคคลอิสระเข้ามาช่วยดูในขั้นตอนการประกวดราคา มีคณะกรรมการชุดย่อยมาช่วยดูทุกขั้นตอน” นายบัณฑิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับความล่าช้าทำให้ CFP ไม่ได้เปิดตามกำหนดในปี 2568 อาจจะไม่ได้กระทบในแง่ผลดำเนินการของบริษัทมากนัก ผลกระทบส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมาหลักต่อผู้รับเหมาช่วงไม่เป็นไปตามสัญญา รวมถึงมีปัญหาจากปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน เงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับโครงการ
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในปีหน้า แม้ค่าการกลั่นจะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว ประกอบกับปัญหาสงครามการค้า จากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีหน้า ซึ่งต้องติดตามราคาน้ำมัน ค่าการกลั่น อย่างใกล้ชิด หากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวก็ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ซัพพลายได้ด้วย
สำหรับกรณีนโยบายของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของไทยออยล์ มีแผนจะเจรจากับพาร์ตเนอร์ เพื่อเข้าร่วมทุนในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีของกลุ่ม ปตท. หากมีพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมทุนในโรงกลั่นไทยออยล์ ก็จะเป็นการดำเนินการโดยบริษัทแม่ หากเข้ามาในช่วงที่กำลังก่อสร้าง CFP ก็จะทำให้พาร์ตเนอร์จ่ายเงินร่วมทุนในวงเงินที่ต่ำกว่าช่วงที่โครงการ CFP แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ โครงการ CFP เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันของบริษัท จะให้ค่าการกลั่นและผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้น เพราะมีหน่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจะส่งผลทำให้กำลังการกลั่นเพิ่มจาก 2.7 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะดึงดูดผู้สนใจเข้าเป็นพาร์ตเนอร์เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เพื่อให้ดำเนินการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ บริษัทขอยืนยันทุกแนวทางที่จะศึกษา จะมีการใช้สิทธิตามสัญญาที่มีอยู่ และรักษาผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น จึงขอให้มั่นใจว่าบริษัทจะมีแผนงานที่ชัดเจน คาดว่าจะสรุปและเปิดเผยได้ในต้นปี 2568 โดยจะมีการเสนอคณะกรรมการบริหารบริษัท (บอร์ดบริหาร) ให้เห็นชอบ หลังจากนั้นจะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อความโปร่งใส โดยบริษัทยืนยันว่าได้เตรียมแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อผลักดันโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของไทยออยล์และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โปรเจ็กต์ CFP 1.7 แสนล้าน “ไทยออยล์” ยันยึดประโยชน์ผู้ถือหุ้น
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net