โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

โปรเจ็กต์ CFP 1.7 แสนล้าน “ไทยออยล์” ยันยึดประโยชน์ผู้ถือหุ้น

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 04 ธ.ค. 2567 เวลา 11.50 น. • เผยแพร่ 04 ธ.ค. 2567 เวลา 02.39 น.

โครงการพลังงานสะอาด CFP (Clean Fuel Project) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันของบริษัท และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งโครงการนี้ยังจัดเป็นโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนโครงการแรกในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย

แต่โครงการดังกล่าวกลับต้องเผชิญกับบททดสอบใหญ่ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้โครงการหยุดชะงัก และต้องเจรจาแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมกับผู้รับเหมาหลัก The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ Unincorporated Joint Venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (เดิมชื่อ Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Onshore Contractor) (เรียกรวมกันว่า “UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem”)

ส่งผลให้ผู้รับเหมาช่วง 27 รายรวมตัวกันยุติปฏิบัติงานเนื่องจาก UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ชำระเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับเหมาช่วง

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า อยากให้มั่นใจว่าไทยออยล์ได้ดำเนินการโครงการ CFP อย่างเต็มที่ ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนและความโปร่งใสของไทยออยล์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้โครงการ CFP เกิดความล่าช้าออกไป จากเดิมที่กำหนดเสร็จสิ้นภายในปี 2568 ซึ่งขณะนี้โครงการ CFP มีความก้าวหน้าประมาณ 90% โดยการก่อสร้างยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการหยุดก่อสร้างแต่อย่างใด

โดยในยูนิตแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนการปรับปรุงส่วนผลิตน้ำมันยูโร 5 ได้เริ่มทดลองดำเนินการเชิงพาณิชย์เพื่อผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ารูปแบบการสร้างในส่วนที่เหลือนั้นค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในยูนิตที่ก่อสร้างในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมัน นับเป็นส่วนสำคัญที่สุดของโครงการนี้ เนื่องจากเป็นตัวลดต้นทุนและทำกำไรให้กับบริษัทได้มากที่สุด

นายบัณฑิตกล่าวว่า ที่ผ่านมา สัญญา EPC ระหว่างไทยออยล์กับผู้รับเหมาหลัก ได้มีการพิจารณาอย่างเป็นลำดับขั้นตอนและรัดกุม ระบุคุณสมบัติสำคัญ เช่น การกำหนดขั้นตอนในการทดสอบและการส่งมอบโครงการ การรับประกันคุณภาพ, เงื่อนไขความรับผิดชอบ และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นต้น หากเกิดกรณีผิดสัญญาหรือเลิกสัญญา บริษัทสามารถที่จะเรียกร้องความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญา

โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าโครงการนี้เกิดขึ้นและมีปัญหาช่วงโควิด-19 ไทยออยล์และผู้รับเหมาหลัก ได้ร่วมมือแก้ปัญหาและแก้ไขสัญญา EPC โดยไทยออยล์ได้อนุมัติแก้ไขสัญญา โดยให้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 550 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2562 ทำให้เงินลงทุนสูงขึ้นประมาณ 5,375 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันแนวทางความชัดเจนในการเสร็จสิ้นโครงการอาจจะต้องเพิ่มเม็ดเงินลงทุนจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 5,375 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ จากปัญหาระหว่างผู้รับเหมาหลักกับผู้รับเหมาช่วง ส่งผลให้มีการก่อสร้างลดน้อยลงจากแผนงานที่กำหนด บริษัทพยายามเจรจาทั้งผู้รับเหมาหลักและบริษัทแม่ให้จ่ายเงินคงค้างให้ผู้รับเหมาช่วงโดยเร็ว

“โครงการดังกล่าวใช้ระยะเวลานาน เพราะแต่ละขั้นตอนมีการประมูล มีการออกแบบกระบวนการผลิตแล้วก็ต้องมีการทบทวนกระบวนการต่าง ๆ จนกว่าจะมีการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท ผ่านผู้ถือหุ้น รวมถึงจะต้องมีการประมูลคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก เรียกว่ามีความเข้มข้นเพราะเป็นโครงการใหญ่ มีบุคคลอิสระเข้ามาช่วยดูในขั้นตอนการประกวดราคา มีคณะกรรมการชุดย่อยมาช่วยดูทุกขั้นตอน” นายบัณฑิตกล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับความล่าช้าทำให้ CFP ไม่ได้เปิดตามกำหนดในปี 2568 อาจจะไม่ได้กระทบในแง่ผลดำเนินการของบริษัทมากนัก ผลกระทบส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมาหลักต่อผู้รับเหมาช่วงไม่เป็นไปตามสัญญา รวมถึงมีปัญหาจากปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน เงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับโครงการ

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในปีหน้า แม้ค่าการกลั่นจะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว ประกอบกับปัญหาสงครามการค้า จากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีหน้า ซึ่งต้องติดตามราคาน้ำมัน ค่าการกลั่น อย่างใกล้ชิด หากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวก็ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ซัพพลายได้ด้วย

สำหรับกรณีนโยบายของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของไทยออยล์ มีแผนจะเจรจากับพาร์ตเนอร์ เพื่อเข้าร่วมทุนในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีของกลุ่ม ปตท. หากมีพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมทุนในโรงกลั่นไทยออยล์ ก็จะเป็นการดำเนินการโดยบริษัทแม่ หากเข้ามาในช่วงที่กำลังก่อสร้าง CFP ก็จะทำให้พาร์ตเนอร์จ่ายเงินร่วมทุนในวงเงินที่ต่ำกว่าช่วงที่โครงการ CFP แล้วเสร็จ

ทั้งนี้ โครงการ CFP เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันของบริษัท จะให้ค่าการกลั่นและผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้น เพราะมีหน่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจะส่งผลทำให้กำลังการกลั่นเพิ่มจาก 2.7 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะดึงดูดผู้สนใจเข้าเป็นพาร์ตเนอร์เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ เพื่อให้ดำเนินการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ บริษัทขอยืนยันทุกแนวทางที่จะศึกษา จะมีการใช้สิทธิตามสัญญาที่มีอยู่ และรักษาผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น จึงขอให้มั่นใจว่าบริษัทจะมีแผนงานที่ชัดเจน คาดว่าจะสรุปและเปิดเผยได้ในต้นปี 2568 โดยจะมีการเสนอคณะกรรมการบริหารบริษัท (บอร์ดบริหาร) ให้เห็นชอบ หลังจากนั้นจะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อความโปร่งใส โดยบริษัทยืนยันว่าได้เตรียมแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อผลักดันโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของไทยออยล์และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โปรเจ็กต์ CFP 1.7 แสนล้าน “ไทยออยล์” ยันยึดประโยชน์ผู้ถือหุ้น

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...