Slow Burn Dating การเดตแบบค่อยๆ คืบ อาจช่วยยืดระยะความโรแมนติก และสร้าง Emotional Connection ในความสัมพันธ์ได้ดีกว่า
จากผลสำรวจล่าสุดในปีนี้ที่พบว่าคนเจนฯ Z กำลังมองหาความรักโรแมนติกและความสัมพันธ์ที่จริงจังยั่งยืนมากกว่าความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย โดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ที่พวกเขารู้สึกว่าทั้งไม่แน่นอนและไม่มั่นคง เทรนด์ของการเดตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ จึงอาจไม่ใช่การเดตที่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของ Love at first sight หรือจะต้องเกิดสปาร์กไฟแล่บกันก่อนเสมอไป เพราะการไม่ได้รู้สึกสปาร์ก รู้สึก ‘ว้าว’ เหมือนลอยๆ อยู่ในสวนสนุกอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรก ก็ไม่ได้หมายความมันจะไม่สามารถพัฒนาไปเป็นความรู้สึกหยั่งลึก กลายเป็นความผูกพันที่มีความหมายลึกซึ้งในระยะต่อๆ ไปของความสัมพันธ์
และเทรนด์การเดตที่ถูกพูดถึงอันหนึ่งก็คือ Slow Burn Dating คล้ายๆ กับความหมายของ Slow Burn ที่หนังหรือซีรีส์บางเรื่องต้องการเล่าอย่างช้าๆ ค่อยๆ หว่านให้เราเดินตาม ไม่เน้นตะโกน ไม่เน้นหวือหวา แต่ก็ให้เราติดหนึบจนถอนตัวไม่ขึ้นในภายหลังได้อย่างประหลาด อะไรแบบนั้น เช่นเดียวกับ Slow Burn ในความหมายของการเดตที่เป็นการค่อยๆ บิวต์ความรู้สึกไปแบบช้าๆ ไม่รีบร้อน ให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปทีละสเต็ปอย่างใจเย็น ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง เน้นปล่อยจอย แล้วดูว่ามันจะนำพาเราไปในทิศทางไหน
คำถามที่หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วการเดตแบบสโลว์เบิร์นมันจะไม่เป็นการเดตแบบกั๊กๆ ที่ต่างคนต่างไว้เชิง จนสุดท้ายมันจะลงเอยเป็นความสัมพันธ์แบบไม่คิดผูดมัด เช่น Situationship เอย Ghosting เอย หรืออะไรต่างๆ ที่เลวร้ายกว่านั้นไหม
คำตอบที่เราพอจะบอกได้คือมัน ‘อาจ’ จะเป็น หรือไม่ก็เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัยด้วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้อดีของการเดตแบบสโลว์เบิร์นอย่างหนึ่งคือมันเป็นขั้วตรงข้ามของการเดตแบบ Love Bombing ที่เน้นปาความหวานเจี๊ยบใส่กันแบบรัวๆ พร่ำเพรื่อแน่ๆ สโลว์เบิร์นทำให้แต่ละคนมี ‘เวลา’ กับ ‘พื้นที่ส่วนตัว’ มากกกว่าให้ได้รีเช็กความรู้สึกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกับคนคนนั้น หรือมีสัญญาณอะไรหรือเปล่าที่บ่บองว่าใช่ และอยากไปต่อ
ขณะเดียวกัน การ ‘ค่อยๆ’ แบบไม่เร่งร้อนนี่แหละ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาไม่มากก็น้อย พอให้ได้เห็นนิสัย เห็นพฤติกรรมบางอย่างของกันและกัน ก่อนที่ใครสักคนจะรีบโดดเข้าไปผูกมัดทั้งตัวทั้งใจกับความสัมพันธ์นั้นๆ โดยที่อาจยังไม่ได้ทำความรู้จักทั้งด้านดีและร้ายมากพอ
จริงๆ แล้วหัวใจของการเดตแบบสโลว์เบิร์นนั้นค่อนข้าง ‘Grounded’ อยู่เหมือนกัน ที่ทำให้เรากลับมายืนอยู่บน ‘ความเป็นจริง’ อีกทั้งยังต้องอาศัยความเชื่อมั่นกับความแข็งแกร่งในตัวเองอยู่พอสมควรที่จะรู้ (แบบไม่โกหกตัวเอง) ว่าคนที่เรากำลังเดตด้วยอยู่ตอนนี้ ใช่จริงๆ หรือเราแค่มโน แค่จิตปรุงแต่งไปเอง ซึ่งจะเป็นการช่วยเป็นฟิลเตอร์อีกชั้น ป้องกันไม่ทำให้เรารีบกระโจนใส่ความรู้สึก แฟนตาซี มากเกินไปเสียก่อน
การเดตแบบสโลว์เบิร์นยังเป็นการพัฒนาความไว้เนื้อเชื่อใจไปด้วยกัน ช่วยให้มองเห็น Red Flag ได้ง่ายขึ้น และการไม่กระโจนลงไปทั้งตัว ยังทำให้เราพร้อมถอยออกมาเมื่อเห็นสัญญาณอันตรายได้ง่ายกว่าอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว การเดตแบบสโลว์เบิร์นยังมีพื้นที่ให้ความโรแมนติกได้ค่อยๆ ทำงานของมันไปได้มากกว่า และมีโอกาสให้มันพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ที่มี Emotional Connection หยั่งลึก ยั่งยืน ระหว่างคนสองคนได้อีกด้วย
บางครั้งการเดตสโลว์เบิร์นก็เหมือนกับการทำอาหารแบบ Slow-cooked ที่เราต้องค่อยๆ เคี่ยวให้ข้นไปอย่างช้าๆ แม้จะใช้ศิลปะแห่งการอดทนรออยู่สักหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจอร่อยกว่ามาก
อ้างอิง
https://www.instagram.com/p/DA3dAX9RCbQ/?img_index=1
https://www.popsugar.com/relationships/slow-burn-relationship-49376760
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- Slow Burn Dating การเดตแบบค่อยๆ คืบ อาจช่วยยืดระยะความโรแมนติก และสร้าง Emotional Connection ในความสัมพันธ์ได้ดีกว่า
- บางครั้ง Self-care ที่จำเป็นคือการเรียนรู้ที่จะ ‘ปฏิเสธ’ และ ‘ตัด’ คนออกไปจากชีวิตบ้าง
- ไม่เป็นไร… ถ้าเราจะผ่านปีใหม่ไปเพียงลำพัง
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com