รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ขึ้นแท่นรวยสุดในประวัติศาสตร์ หลังทรัมป์กวาดดึงตัวเศรษฐีเข้าคณะบริหาร
โดนัลด์ ทรัมป์ ระดมมหาเศรษฐีพันล้าน แต่งตั้งเข้าคณะบริหาร ซึ่งอาจทำให้ รัฐบาลทรัมป์ สมัยที่ 2 เป็นคณะรัฐบาลที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และอาจเผชิญการตรวจสอบเข้ม
วันที่ 8 ธันวาคม 2567 สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะบริหาเต็มไปด้วยบุคคลที่มีความมั่งคั่งมหาศาล โดยมีทรัพย์สินรวมกันเกิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการบรรจบกันระหว่างความมั่งคั่งและอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่การกลับสู่ทำเนียบขาวเป็นครั้งที่ 2 นั้น คณะบริหารชุดใหม่ของนายทรัมป์ในสมัยนี้ อาจทำให้ความร่ำรวยของเจ้าหน้าที่ในชุดแรกเป็นเพียงตัวเลขเล็กน้อย เพราะความมั่งคั่งจะมากกว่านั้นหลายเท่า และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีโจ ไบเดนไว้ที่ 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
ในบรรดาผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลของเขา เป็นที่ยืนยันแล้วว่ามีมากกว่า 6 คน เป็นมหาเศรษฐี และยังมีมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์หรือมหาเศรษฐีร้อยล้านดอลลาร์อีกหลายคนที่ถูกลือว่าจะถูกเลือก
ณ จุดสุดของบันไดแห่งความมั่งคั่งนั้น คือ นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) และสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ซึ่งเป็นได้รับเลือกให้เป็นประธานร่วมของสำนักงานควบคุมประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ DOGE
นายมัสก์ ถือเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก โดยมีการประมาณการว่าทรัพย์สินสุทธิของเขานั้นมากกว่า 3.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจสูงถึง 3.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ นายวิเวก รามาสวามี ซึ่งเป็นอดีตผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งแคนดิเดตของพรรครีพับลิกัน และเป็นนักธุรจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ถูกเลือกเป็นประธานร่วมกับนายมัสก์ในการบริหาร DOGE พบว่า มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของ Forbes
ทางด้าน องค์กรไม่แสวงหากำไร Americans for Tax Fairness ก็ได้ประมาณการว่า นายเจดี แวนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐ มีทรัพย์สินอยู่ที่ 616 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้แต่งตั้งนายวอร์เรน สตีเฟนส์ ซีอีโอบริษัทบริการทางการเงินระดับมหาเศรษฐี ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหราชอาณาจักร รวมถึงแต่งตั้ง นายสตีเฟน ไฟน์เบิร์ก นักลงทุนระดับมหาเศรษฐี ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และแต่งตั้ง นายเดวิด แซกส์ นักลงทุนร่วมทุน ให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านคริปโท
นอกจากนี้แล้ว นางเคลลี เลิฟเลอร์ อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ และครั้งหนึ่งเคยถือเป็นสมาชิกรัฐสภาที่ร่ำรวยที่สุด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของสำนักงานบริหารธุรกิจขนาดย่อม รวมถึงแต่งตั้งนาย จาเร็ด ไอแซคแมน ซีอีโอมหาเศรษฐี ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา (NASA)
ทางด้าน นายชาร์ลส์ คุชเนอร์ มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งนิวยอร์ก ขึ้นเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำฝรั่งเศส โดยนายคุชเนอร์เป็นบิดาของนายจาเร็ด คุชเนอร์ สามีของนางอีวานก้า ทรัมป์ บุตรสาวคนโตของนายทรัมป์ นอกจากนี้แล้ว นายทรัมป์ยังดึงตัวอีกหนึ่งคนใกล้ชิด ซึ่งก็คือ นายมอสซาด บูลอส มหาเศรษฐีเชื้อสายเลบานอน ผู้เป็นบิดาของนายไมเคิล บูลอส สามีของนางทิฟฟานี ทรัมป์ บุตสาวคนที่ 2 ของเขา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสด้านกิจการตะวันออกกลาง
ขณะที่ดร. เมห์เมต ออซ ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดัง และศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าศูนย์บริการ Medicare และ Medicaid โดยข้อมูลจากนิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า ทรัพย์สินสุทธิของนายออซสูงถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565
การแต่งตั้งเพิ่มเติมดังกล่าว นับเป็นการดึงตัวบุคคลร่ำรวยมหาศาลเข้าสู่คณะบริหารที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ซึ่งมี นายโฮเวิร์ด ลุตนิก ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางลินดา แม็คมาฮอน ผู้ก่อตั้งร่วม WWE ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายมัสก์และนายรามาสวามีไม่จำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากวุฒิสภา เนื่องจากกลุ่มที่ปรึกษาของพวกเขาจะดำเนินการโดยอิสระจากรัฐบาล โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม บรรดาเศรษฐีคนอื่น ๆ ที่ถูกแต่งตั้ง จะต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากสาธารณะ ในการแต่งตั้งของวุฒิสภา ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดเผยความขัดแย้งทางการเงินและจริยธรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านนั้น คณะบริหารที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐีและเศรษฐีพันล้านเหล่านี้ยังเสี่ยงต่อการทำลายภาพลักษณ์ประชานิยมของนายทรัมป์ ซึ่งเป็นรากฐานของการดึงดูดใจชนชั้นแรงงานผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2567
อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งเหล่านี้อาจไม่ใช่ภาระและเป็นปัญหาต่อนายของทรัมป์ เพราะตัวเขาเองเป็นบุคคลร่ำรวย โดยสถานะมหาเศรษฐีของนายทรัมป์ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวและเป็นบุคลิกภาพของเขามาโดยตลอด ซึ่งจุดนี้ทำให้ผู้สนับสนุนจำนวนมากชื่นชมความสำเร็จของเขา นอกจากนี้แล้ว นายทรัมป์ยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดย Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาไว้มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อ้างอิง : cnbc.com