โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

มะโรงนักษัตรทัวร์ เรื่องเล่าของ นาค มังกร ที่ซ่อนไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

Sarakadee Lite

อัพเดต 09 ม.ค. 2567 เวลา 11.51 น. • เผยแพร่ 29 ธ.ค. 2566 เวลา 03.52 น. • เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต

ต้อนรับปีมะโรง 2567 ซึ่งเป็น ปีงูใหญ่ หรือ มังกร กับ มะโรงนักษัตรทัวร์ กิจกรรมเสริมมงคลและอัดแน่นด้วยความรู้คู่ความสนุกในการนำชมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ในตำนานอย่าง นาค มังกร มกร และเหรา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับปีมะโรง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2566

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Night at the Museum รอบสุดท้ายของปี 2566 กับการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อดีตพื้นที่วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ให้เข้าชมฟรีในยามค่ำคืน (16.00-20.00 น.) มะโรงนักษัตรทัวร์จะจัดวันละ 1 รอบและแบ่งเป็น 3 เส้นทางด้วยการนำชมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุสำคัญราว 10-12 รายการโดยภัณฑารักษ์และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ณ บริเวณศาลาลงสรง และเริ่มนำชมเวลา 18.00 น. โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที

มังกร

“ปีมะโรง หรือ งูใหญ่ มีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่อง นาค ของคนไทยและสัตว์ในตำนานอย่าง งูหงอน มกร และเหรา อีกทั้งยังเป็นปีมังกรธาตุไม้ตามความเชื่อแบบจีน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีคอลเคลชันที่เกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้เยอะมากและเราสามารถหยิบมาเล่าเรื่องต่างๆ ได้มากมายตั้งแต่สถาปัตยกรรมเฉพาะแบบของวังหน้าจนถึงคติความเชื่อในศาสนาต่างๆ” ศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ กล่าวถึงการออกแบบเส้นทาง มะโรงนักษัตรทัวร์

มังกร

เสริมสิริมงคลก่อนเริ่มทัวร์ด้วยการสักการะพระพุทธรูปที่กรมศิลปากรได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่มีคติการสร้างเกี่ยวข้องกับพญานาค เช่น พระพิมพ์ปางมหาปาฏิหาริย์ พระไภษัชยคุรุนาคปรก และพระบัวเข็ม มาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ซึ่งมีพระพุทธสิหิงค์เป็นพระประธาน ส่วนไฮไลต์ของทัวร์ครั้งนี้คือการเปิดให้ชม “ภาพจิตรกรรมด้านหลังพระทวารคู่กลางของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย” แบบเต็มทั้ง 2 บานที่เล่าเรื่องปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรสื่อถึงความเพียรพยายามจนประสบความสำเร็จ และของชิ้นเล็กที่ปกติไม่สะดุดตาผู้เข้าชมมากนักคือ “รางวางธูปรูปเรือมังกรประดับมุก” ที่ใช้เป็นนาฬิกาจับเวลาได้ด้วย รวมไปถึง “ธรรมาสน์ทรงกลมสมัยอยุธยา” ที่ประดับด้วยบันไดรูปนาคจำแลงเป็นมนุษย์เรียกว่า “มนุษยนาค”

กาชาปอง “ลูกมังกรทั้งเก้า”

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้ร่วมลุ้นรับของที่ระลึกเป็น “เครื่องรางโอมาโมริแก้ชงปีมะโรงธาตุไม้” วันละ 10 ชิ้น และกาชาปองชุดพิเศษรับปีมังกรทอง “ลูกมังกรทั้งเก้า” โดยศิลปินอาร์ตทอย วันละ 9 ตัว เมื่อจบกิจกรรมในแต่ละวัน หรือจะมาหมุนกาชาปอง “ลูกมังกรทั้งเก้า” และอาร์ตทอยรับปีมังกรก็มีมาตลอดช่วง 29-31 ธันวาคม 2566 ด้วยเช่นกัน

สำหรับเครื่องรางโอมาโมริภายในบรรจุยันต์ “องค์ไท่ส่วย” ปี 2567 ที่ได้รับเมตตาอธิษฐานจิตจากเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ด้านหน้าของเครื่องรางเป็นรูปองค์ไท่ส่วยประจำปี 2567 พร้อมอักษรไทยประดิษฐ์แบบจีนว่า “ไท่ส่วย” ส่วนด้านหลังเป็นรูปมังกรพร้อมคำอวยพรอักษรไทยประดิษฐ์แบบจีนว่า “คุ้มครองชะตา” พร้อมแล้วก็สามารถปักหมุดเซฟลิสต์แล้วไปตามรอย มะโรงนักษัตรทัวร์ กันได้เลย

มังกร

01 จิตรกรรมปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกร

พิกัด: ด้านหลังพระทวารคู่กลางของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย

พระทวารคู่กลางเป็นประตูหลักในการเปิดเข้าชมพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย นั่นจึงทำให้จิตรกรรมสำคัญที่อยู่ด้านหลังประตูทั้ง 2 บานนั้นแทบไม่ได้มีโอกาสอวดความงดงามสู่สายตาผู้ชมเลย แต่ในระหว่างการจัด มะโรงนักษัตรทัวร์ ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 พระทวารคู่กลางหรือที่เรียกว่า ประตูมังกร จะปิดเพื่อให้ผู้ชมได้เห็นจิตรกรรมด้านหลังแบบเต็มทั้ง 2 บาน และเปิดประตูข้างด้านซ้ายและขวาที่เรียกว่า ประตูหงส์ เป็นประตูทางเข้าพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยแทนชั่วคราว

ภาพจิตรกรรมนี้เขียนด้วยเทคนิคลายกำมะลอคือใช้ทั้งทองคำและสีในการวาดและคาดว่าเขียนโดยช่างจีนในไทยและสร้างในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 3)

ปลาหลีฮื้อ

“ด้านล่างของพระทวารทั้งคู่เป็นภาพ ปลาหลีฮื้อ หรือ ปลาไน ที่กำลังว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำฮวงโห หรือแม่น้ำเหลือง จนไปถึงจุดที่เป็นผาลาดชันมีประตูมังกรและพยายามกระโดดข้ามประตู เมื่อข้ามพ้นประตูสำเร็จทำให้ปลาหลีฮื้อกลายเป็น ปลามังกร และเมื่อว่ายสูงขึ้นไปก็กลายเป็นมังกรน้อย จากนั้นทะยานเป็นมังกรห้าเล็บซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ์ เป็นการสื่อถึงความเพียรพยายามในการเอาชนะอุปสรรคเพราะแม้แต่ปลาธรรมดายังกลายเป็นมังกรได้” ศุภวรรณ อธิบาย

พัดใบกล้วยของเซียนฮั่นจงหลี
น้ำเต้าของเซียนหลี่เถียไกว่
เงื่อนผานฉาง

นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์สื่อความหมายมงคลมากมาย เช่น อาวุธประจำกายของเซียนอันได้แก่ พัดใบกล้วยของเซียนฮั่นจงหลีที่สามารถโบกพัดคนตายให้กลับฟื้นคืนชีพได้ และน้ำเต้าของเซียนหลี่เถียไกว่ที่สามารถรักษาโรคและบันดาลความสุขให้มนุษย์ รวมถึงสัญลักษณ์มงคลบางอย่างของ “จี๋เสียงปาเป่า” หรือ “อัษฏมงคลแปดประการ” ของพุทธศาสนามหายาน เช่น ธงชัย และเงื่อนผานฉางที่มีลักษณะคล้ายเลข 8 หรืออินฟินิตี้สื่อถึงรักอมตะนิรันดร์

นาค

02 ธรรมาสน์ทรงกลมบันไดนาคจำแลง

พิกัด: มุขเด็จ

นาค เป็นสัตว์ในเทวตำนานตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์และไทยรับความเชื่อดังกล่าวผ่านคัมภีร์พุทธศาสนาและนำมาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม ในงานพุทธศิลป์มักสร้างรูปนาคสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และเป็นทวารบาลหรือประดับตกแต่งอาคารเพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน

มนุษยนาค

ส่วนฐานของธรรมาสน์นี้ประดับโดยรอบด้วยไม้จำหลักรูปนาคประจำทิศและบันไดซึ่งเป็นทางขึ้นของพระภิกษุเพื่อแสดงธรรมจำหลักเป็นรูปนาคจำแลงเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า มนุษยนาค ส่วนหลังของมนุษยนาคจำหลักเป็นรูปงูเลื้อยทอดยาวให้เป็นราวจับบันได

“นาคไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเดรัจฉานจึงบวชไม่ได้ตามบัญญัติพระวินัย ตามตำนานเล่าว่านาคเคยจำแลงเป็นมนุษย์มาบวชในพระพุทธศาสนา แต่ภายหลังโดนจับได้ว่าไม่ใช่คนตอนนอนหลับและกายกลับร่างเป็นนาคเนื่องจากมี 4 สถานการณ์ที่นาคไม่สามารถแปลงกายได้ คือ เกิด ตาย หลับ และผสมพันธุ์ ทำให้ต่อมามีบัญญัติห้ามนาคบวชเนื่องจากมีชาติเป็นเดรัจฉานไม่สามารถเข้าถึงสัทธรรมได้ ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าในพิธีอุปสมบทพระอุปัชฌาย์จะถามผู้ขออุปสมบทว่า ‘มนุสโสสิ’ ที่หมายความว่า เป็นมนุษย์หรือไม่ เพื่อป้องกันมิให้อมนุษย์แปลงกายมาบวช” ศุภวรรณ อธิบาย

นาค

ธรรมาสน์กลมยอดทรงมงกุฎหลังนี้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาและเป็นรูปแบบศิลปกรรมพิเศษที่พบเหลือเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทยด้วยงานเข้าไม้แบบโบราณโดยไม่ใช้ตะปูยึดและลวดลายจำหลักโบราณพร้อมทั้งลงรักปิดทองประดับกระจกในส่วนฐานธรรมมาสน์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงได้มาจากวัดค้างคาว เมืองนนทบุรี ต่อมาพระราชทานแด่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

นาค

03 รางธูปรูปเรือมังกรและนาฬิกาจับเวลา

พิกัด: พระที่นั่งพรหมเมศธาดา

รางธูปประดับมุกอายุราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 หรือ 200-300 ปี นอกจากจะใช้สำหรับวางธูปแล้วยังเป็นนาฬิกาจับเวลารุ่นแรกๆของโลกด้วย แต่ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มีไม่ครบชุดเพราะขาดรางจับเวลาและลูกตุ้มบอกเวลา สันนิษฐานว่านาฬิกาธูปรูปเรือมังกรมีกำเนิดมาจากประเทศอินเดียซึ่งจะจุดธูปจับเวลาในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะในพระพุทธศาสนามหายาน และแพร่หลายเข้าสู่ประเทศจีนจนพัฒนารูปแบบของตนเอง และส่งต่อสู่เวียดนาม เกาหลี และญี่ปุ่น

“ในการใช้งานจะวางธูปยาวตามราง รางธูปจะมีสเกลและด้ายห้อยลูกตุ้มยาวตามสเกลแต่ละจุด ด้านล่างมีถาดโลหะไว้รองรับลูกตุ้ม เมื่อจุดธูปและไฟลามมาถึงด้ายแต่ละจุดลูกตุ้มก็จะหล่นลงถาดเป็นการบอกเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมงตามแต่กำหนดระยะเวลาของสเกล น่าเสียดายว่าที่พิพิธภัณฑ์มีไม่ครบชุดแต่จะมีการจัดทำรูปสันนิษฐานให้ผู้ชมได้เห็นภาพการทำงานของนาฬิกาธูปจับเวลา ชิ้นนี้เป็นศิลปะเวียดนามจากเทคนิคการประดับมุก”

04 นารายณ์บรรทมสินธุ์บนหลังมกร

พิกัด: ห้องลพบุรี, อาคารมหาสุรสิงหนาท

ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์บรรทมบนหลังมกรที่เกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) จากปรางค์กู่สวนแตง เทวาลัยในศาสนาฮินดูที่ตำบลกู่สวนแตง อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 โบราณวัตถุชิ้นนี้เคยถูกโจรกรรมออกนอกประเทศไทยเมื่อพ.ศ.2507 และตกอยู่ในมือนักสะสมชาวต่างชาติ ต่อมาทางการไทยได้มีการทวงคืนและสามารถนำคืนกลับมาได้ใน พ.ศ.2513 นับว่าเป็นทับหลังชิ้นแรกที่ทางไทยทวงคืนมาได้จากต่างประเทศได้สำเร็จ

มกร ถือเป็นสัตว์ในจินตนาการและมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาผสมกัน ศิลปะเขมรในพุทธศตวรรษที่ 17 นิยมปั้นรูปมกรมี 4 ขา ปะปนกับรูปนาค ทับหลังชิ้นนี้เป็นรูปแบบศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากเขมรและพบบริเวณที่ราบสูงโคราชโดยปั้นให้ตัวมกรเป็นที่ประทับบรรทมของพระนารายณ์เหนือเกษียรสมุทร และมีรูปสลักอนันตราคราชพญานาคในขนาดที่เล็กกว่า

“มกรมีขาแต่นาคไม่มีขา ตามคัมภีร์ศาสนาฮินดูกล่าวว่าเมื่อครั้งพระศิวะทำลายโลก พระนารายณ์เข้าฌาณประทับบนหลัง เศษะนาค หรือ อนันตนาคราช กลางเกษียรสมุทร และบังเกิดดอกบัวทองผุดขึ้นมาจากพระนาภี บนดอกบัวมีพระพรหมประทับอยู่เพื่อทำหน้าที่สร้างโลกขึ้นมาใหม่”

มะโรงนักษัตรทัวร์

05 พระแท่นขาราชสีห์มังกร

พิกัด: ห้องธนบุรี-รัตนโกสินทร์, อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

พระแท่นไม้ลงรักปิดทองสันนิษฐานว่าเป็นของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยมีอักษรจีนแกะสลักแปลว่ากษัตริย์และประดับด้วยลายดอกไม้มงคลในศิลปะจีน เช่น ดอกโบตั๋น ดอกบ๊วย และดอกเบญจมาศ ซึ่งมีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภและ อายุยืนยาว

มะโรงนักษัตรทัวร์

“ฐานของพระแท่นจำหลักลายรูปขาสิงห์ซึ่งเชื่อมโยงกับความเชื่อของชาวจีนว่าเป็น 1 ใน 9 ของลูกมังกรที่ชื่อว่า ‘ซวนหนี’ ลูกมังกรทั้ง 9 ไม่มีตัวไหนมีลักษณะเหมือนมังกรเลย ซวนหนีมีลักษณะเหมือนสิงโตจึงเรียกว่า ‘ราชสีห์มังกร’ โดยมีนิสัยอยู่นิ่งและชอบนั่งจึงนิยมนำลวดลายมาประดับแท่นอาสนะรองรับสิ่งสำคัญและกระถางธูปในวัด”

มะโรงนักษัตรทัวร์

06 พระเก้าอี้พับจำหลักรูปมังกรและสิงโต

พิกัด: ห้องธนบุรี-รัตนโกสินทร์, อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

พระเก้าอี้พับสันนิษฐานว่าเป็นพระเก้าอี้ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงใช้ในกระบวนเสด็จพระราชดำเนินกรณีที่เจ้าพนักงานไม่ได้ทอดพระแท่นที่ประทับ เมื่อต้องทรงยืนอยู่นานเจ้าพนักงานจะเชิญพระเก้าอี้เข้าไปทอดถวายแทนและทรงใช้ในคราวเสด็จงานพระราชสงคราม

โครงพระเก้าอี้ทำด้วยไม้จำหลักรูปมังกร สิงโต และลายพันธุ์พฤกษา ส่วนที่ประทับทำด้วยหนังและกลางพนักมีนวมหนังสำหรับรับพระปฤษฎางค์ (ส่วนหลัง)

07 อรหันต์ปราบมังกร

พิกัด: หอแก้ว, ด้านข้างพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์

หอแก้ว เป็นศาลพระภูมิประจำวังหน้าสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 1 สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นพร้อมๆ กับวังหน้าเมื่อ พ.ศ.2325 หรือหลังจากนั้นเล็กน้อยเพื่อเป็นที่สถิตของพระภูมิเจ้าที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินที่สร้างวัง

ลักษณะการสร้างเป็นแบบพิเศษ คือ สร้างเป็นหอเหนือเขามอหรือเขาจำลองขนาดย่อม ก่อด้วยศิลาเลียนแบบโขดหินในธรรมชาติตามแบบอิทธิพลศิลปะจีนเรียกว่า “หอแก้ว” ภายในประดิษฐานรูปเจว็ด หรือแผ่นไม้ทรงเสมาเขียนรูปเทวดาซึ่งเป็นพระภูมิเจ้าที่ปกปักรักษาสถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่เคารพสักการะของชาววังหน้ามาแต่อดีตกาล ปัจจุบันนับถือเป็นสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งประจำกรมศิลปากร

บริเวณเขามอยังประดับตกแต่งด้วย อับเฉา หรือประติมากรรมหินศิลปะจีนแกะสลักรูป “เซียงหลงหลอฮั่น” หรือ “อรหันต์ปราบมังกร” ซึ่งเป็น 1 ใน 18 อรหันต์ของจีน

“พุทธศาสนามหายานจากอินเดียกล่าวถึงอรหันต์เพียง 16 รูป แต่ในช่วงปลายราชวงศ์ถังของจีนได้เพิ่มมาอีก 2 รูปเป็น 18 อรหันต์ทองคำโดยที่เพิ่มเข้ามาคือ อรหันต์ปราบเสือ และอรหันต์ปราบมังกรดังเช่นอับเฉานี้ปั้นเป็นรูปอรหันต์กำลังเหยียบมังกรอยู่” ศุภวรรณ กล่าว

Fact File

  • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถนนหน้าพระธาตุ กรุงเทพฯ เปิดพิพิธภัณฑ์ให้ชมยามค่ำ (16.00-20.00 น.) ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 โดยไม่เสียค่าเข้าชม
  • มะโรงนักษัตรทัวร์จะจัดวันละ 1 รอบ ระหว่างวันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 เปิดลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 17.00 น. ณ บริเวณศาลาลงสรง และเริ่มนำชมเวลา 18.00 น.
  • สอบถามเพิ่มเติม: โทรศัพท์ 02-224-1333 และ 02-224-1402 หรือ Facebook.com/nationalmuseumbangkok

The post มะโรงนักษัตรทัวร์ เรื่องเล่าของ นาค มังกร ที่ซ่อนไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร appeared first on SARAKADEE LITE.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...