โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เขมรประณามไทย! “ฮุน มาเนต” ลั่นยิงปืนใหญ่-บุกพื้นที่เปรยจัน ขัดขวางการสำรวจร่วม หวังไทยยึดหนทางสันติ

เดลินิวส์

อัพเดต 9 ธันวาคม 2568 เวลา 6.55 น. • เผยแพร่ 46 นาทีที่แล้ว • เดลินิวส์
‘ฮุน มาเนต’ ชี้ ‘กองทัพภาคที่ 1’ ไทย ยิงปืนใหญ่-เคลื่อนกำลังทหาร เข้าหมู่บ้านเปรยจัน , โจกเจย และพื้นที่อื่น ทั้งที่อยู่ในระหว่างคณะสำรวจร่วมลงพื้นที่ วัดแนวเขต-ปักหลักเขตแดนชั่วคราว ใกล้จะแล้วเสร็จ ขัดหลักสันติวิธีแก้ปัญหาชายแดน หวัง ‘ไทย’ ใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมาย กำหนดอธิปไตยของแต่ละประเทศ

เมื่อเวลา 21.40 น.วันที่ 8 ธ.ค.68 ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โพสต์ข้อความระบุว่า

คำประกาศใช้กำลังของ ‘กองทัพภาคที่ 1’ ของไทย ขัดหลักสันติวิธีแก้ปัญหาชายแดน

ผู้นำไทยเคยประกาศมาโดยตลอดผ่านสื่อมวลชนและเวทีนานาชาติว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสันติภาพและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ได้เกิดความตื่นตระหนกและความประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อมีรายงานข่าวเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ระบุว่า กองทัพภาคที่ 1 ของไทย ประกาศจะใช้กำลัง เพื่อทวงคืนสิ่งที่เรียกว่าอธิปไตยของไทย รวมถึงการยิงอาวุธปืนใหญ่และการเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปในหมู่บ้านเปรยจัน หมู่บ้านโจกเจยและพื้นที่อื่นๆ หลายแห่งตามแนวชายแดนในจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา

หากประเทศไทยรักสันติภาพและหวงแหนผืนแผ่นดิน เช่นเดียวกับกัมพูชา รัฐบาลและกองทัพไทยควรยึดถือการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี โดยใช้กลไกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน และกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ หากประเทศไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรใช้กำลังทหารโจมตีหมู่บ้านของประชาชนพลเรือน ภายใต้ข้ออ้างในการทวงคืนอธิปไตยของตน

กัมพูชาย้ำว่า ได้ยึดมั่นหลักการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด แต่ก็จะไม่ยอมให้ประเทศใดละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับที่ผู้นำไทยเคยประกาศไว้

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองประเทศจึงได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา–ไทย (JBC) ซึ่งดำเนินงานมากว่า 20 ปี โดยอาศัยเอกสารทางกฎหมายที่สืบทอดมาจากสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส โดยเฉพาะบันทึกทางการ (Procès Verbaux) ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน–สยาม ปี 1908–1909 และคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีน–สยาม ปี 1919–1920 เมื่อเร็วๆ นี้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ JBC ทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ได้ตกลงส่งคณะสำรวจร่วมลงพื้นที่ เพื่อดำเนินการวัดแนวเขตและปักหลักเขตแดนชั่วคราว ในช่วงเสาหลักเขตแดนหมายเลข 42–47 ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย และหมายเลข 52–59 ในจังหวัดบัตดัมบัง

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยความร่วมมือที่ดีระหว่างคณะทำงานด้านเทคนิคของทั้งสองประเทศ โดยผลการดำเนินงานพบว่า การวัดแนวเขตและปักหลักเขตแดนชั่วคราวในช่วงเสาหลักหมายเลข 52–59 จังหวัดบัตดัมบัง ใกล้จะแล้วเสร็จเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ช่วงเสาหลักหมายเลข 42–47 ก็มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับสนธิสัญญา อนุสัญญา ข้อตกลงต่างๆ รวมถึงเอกสารทางกฎหมายในอดีตที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน

ดังนั้น การที่กองทัพภาคที่ 1 ของไทยประกาศจะใช้กำลังทหารในการแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชา-ไทย บริเวณพื้นที่จังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา และจังหวัดสระแก้วของไทย รวมถึงช่วงเสาหลักเขตแดนหมายเลข 42–47 จึงถูกมองว่า ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ผ่านกระบวนการวัดแนวเขตและปักปันเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ฝ่ายกัมพูชาแสดงความหวังว่า ฝ่ายไทยซึ่งประกาศตนมาโดยตลอด ว่าเป็นประเทศที่รักสันติภาพและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ จะยังคงใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการวัดแนวเขตและปักปันเขตแดน เพื่อกำหนดอธิปไตยของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน นี่เป็นวิธีที่ง่าย โปร่งใส และยุติธรรมที่สุด ทั้งยังย้ำว่า กัมพูชาไม่มีเจตนาจะละเมิดอธิปไตยโดยชอบด้วยกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ว่าผลการวัดแนวเขตจะออกมาเป็นเช่นไร กัมพูชาพร้อมเคารพผลดังกล่าว พร้อมคาดหวังให้ประเทศไทยมีความจริงใจในการยอมรับผลเช่นเดียวกัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...