ใกล้ถึงเวลาของหุ่นยนต์เพื่อผู้สูงอายุ ..ประเทศไทยจะอยู่จุดใด
เกาหลีมีโครงการของรัฐในการจัดหาหุ่นยนต์เพื่อสนับสนุนการดูแลคนสูงอายุ มีผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ที่ทำเป็นหุ่นยนต์เด็กเล็กที่คอยพูดคุยกับคนสูงอายุ ตั้งแต่ต้อนรับกลับบ้าน เตือนการรับประทานยา ไปจนกระทั่งพูดคุยเรื่องต่าง ๆ
หุ่นยนต์เลียนแบบเด็กนี้ยังช่วยแจ้งเตือนอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น การหกล้ม การเจ็บป่วยกระทันหัน ให้ญาติ หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ
หุ่นยนต์นี้มีรายงานการวิจัยยืนยันชัดเจนว่า ช่วยลดความเสี่ยงนานาประการ โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตายจากความซึมเศร้า และยังช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพด้านสติปัญญาดีขึ้นหลังจากการใช้งานเพียงหกสัปดาห์
ในขณะที่ญี่ปุ่นทำเป็นหุ่นยนต์เลียนแบบแมวน้ำ ที่ออกแบบให้ดูเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความพิเศษแตกต่างไปจากสัตว์เลี้ยงที่มีกันอยู่ทั่วไป เช่น สุนัข หรือแมว
หุ่นยนต์แมวน้ำนี้เข้าใจคำพูดของมนุษย์ แต่ตอบสนองด้วยอาการต่าง ๆ แทนที่จะเป็นการพูดคุยตอบสนองคนสูงอายุ เพื่อหลีกเลี่ยงความผูกพันที่เกินเลยกับหุ่นยนต์เด็ก เช่นคิดว่าหุ่นยนต์เด็กเป็นลูกเป็นหลาน จนสร้างปัญหาด้านสุขภาพจิตขึ้นมาอีก
หรือช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว จากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้หุ่นยนต์เด็กได้ทราบ ประหนึ่งว่ากำลังคุยอยู่กับลูกหลาน
หุ่นยนต์แมวน้ำจากญี่ปุ่นมีการใช้งานกระจายไปกว่าสามสิบประเทศ ทั้งในกิจการด้านดูแลคนสูงอายุ และการรักษาผู้ป่วย Dementia
โดยเฉพาะในเดนมาร์ก หุ่นยนต์แมวน้ำเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับชาติเพื่อการดูแลผู้ป่วย Dementia ในสหรัฐอเมริกา หุ่นยนต์นี้ได้รับการรับรองจาก FDA ว่าเป็นเครื่องมือในการรักษาโรค
หุ่นยนต์เพื่อคนสูงอายุ ไม่ได้เพิ่งมีขึ้น เพียงแต่ AI ทำให้มีความก้าวหน้าขึ้นมากมายในไม่กี่ปีมานี้
ประเทศที่ได้ประโยชน์จากหุ่นยนต์เพื่อการดูแลคนสูงอายุ ล้วนแต่เป็นประเทศที่ร่ำรวย หุ่นยนต์แบบนี้ราคาหลายแสนบาทจึงยากที่จะมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยอย่างบ้านเรา แม้ว่าจะมีการยืนยันชัดเจนถึงประสิทธิผลของการดูแลผู้สูงอายุด้วยหุ่นยนต์
คำถามชวนคิดคือทำอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ดูแลคนสูงอายุ ในยามที่เรามีแรงงานหนุ่มสาวลดลง จนกระทั่งภาคการผลิต และบริการต่าง ๆ ต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างประเทศ
และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนเพียงพอสำหรับการดูแลคนสูงอายุในภาวะที่ประเทศกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ในอนาคตอันใกล้
แม้การดูแลผู้สูงอายุอาศัยโครงสร้างครอบครัวเป็นหลัก แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในไทย เช่น การย้ายถิ่นมาทำงานของคนวัยแรงงาน การมีบุตรน้อยลง และจำนวนผู้สูงอายุที่อาศัยลำพังมากขึ้น ทำให้การดูแลรูปแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ หุ่นยนต์จึงมีศักยภาพในการช่วยเสริม แต่ไม่ใช่แทนที่มนุษย์
การใช้หุ่นยนต์ในประเทศกำลังพัฒนายังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ราคาที่แพงเกินกว่าแต่ละครอบครัวจะซื้อมาใช้งานได้ มีเงินซื้อมาได้ก็อาจติดปัญหาทางเทคนิคทั้งเรื่องความเสถียรของอินเทอร์เน็ต ไปจนกระทั่งการซ่อมบำรุง
หรืออาจรวมถึงความตระหนักรู้ในเรื่องการใช้ประโยชน์หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ของครอบครัวส่วนใหญ่ จากการอ่อนด้อยทักษะดิจิทัลใหม่ ๆ อาจมีบางครอบครัวที่มีเงินทองพอที่จะซื้อหามาใช้งานได้ แต่ถึงมีแล้วก็ยังใช้งานไม่เป็น หรือใช้ไม่ได้เพราะอินเทอร์เน็ตไม่ดีพอ
การใช้หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุในประเทศกำลังพัฒนาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่ต้องอาศัยการบูรณาการที่เหมาะสมกับข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม อาจจำเป็นต้องมีพัฒนา “หุ่นยนต์ราคาประหยัด” ที่ผลิตในประเทศ
ที่มีการออกแบบให้ทำงานเฉพาะฟังก์ชันที่จำเป็น เช่น การเตือนยา การสนทนาเบื้องต้น หรือการตรวจจับการล้ม เพื่อช่วยลดต้นทุนลงเมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ขั้นสูงในต่างประเทศ
โดยส่งเสริมการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย บริษัทสตาร์ตอัป และภาครัฐ เพื่อให้เกิดกิจการนี้ขึ้นในประเทศ หรือมีการสร้างนวัตกรรมให้มีศูนย์ผู้สูงอายุชุมชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่มีหุ่นยนต์ประจำ เพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสมอง แทนการให้แต่ละครัวเรือนซื้อเอง
หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ราคาประหยัด และบูรณาการเข้ากับระบบสาธารณสุขชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ่นยนต์เหล่านี้อาจจะกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ช่วยลดภาระของครอบครัวและระบบสุขภาพ และทำให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุคสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่กำลังมาถึงในอนาคตอันใกล้
เราอาจต้องสละเวลาแก้ไขปัญหาซ้ำซากดั่งเดิมบางส่วน มาใช้เตรียมความพร้อมสำหรับรับมือปัญหาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นกันบ้าง แทนที่จะรอให้กลายเป็นปัญหาซ้ำซากใหม่ในอนาคต.